นักวิชาการชี้ ไล่รื้อริมคลองใช้เงินกว่า 1 พันล้าน ขณะชาวบ้านหลายหมื่นเสี่ยงเสียอาชีพ

นักวิชาการชี้ไล่รื้อ เพื่อพัฒนาริมคลอง แค่การย้ายความเสี่ยง ใช้งบประมาณราว 1,020 ล้านบาท ทำชาวบ้านกว่าหมื่นคนสูญงานเดิม

28 ก.ย.2558 เพจคนคูคลอง รายงานว่า จากข่าวการปรับปรุงพื้นที่ริมคลองทั้ง 9  สายหลักของกรุงเทพมหานครเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม โดยหนึ่งในนโยบายคือ การขยายพื้นที่คลองให้กว้างขึ้น ผลให้เกิดการไล่รื้อชุมชนริมคลองทั้ง 9 สาย กระทบต่อชาวบ้านหลายหมื่นคนที่อาศัยริมคอลง

ผศ.ดร.วิจิตรบุษบา มารมย์ อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงการพัฒนาพื้นที่คลองเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมว่าจำเป็นต้องนำมาชั่งน้ำหนักกันระหว่างผลได้และผลเสีย ซึ่งนำไปสู่การคิดหาแนวทางการลดผลกระทบ ในแบบวิน-วิน ไม่มีใครได้ทั้งหมดและสูญเสียทุกอย่าง

“ถ้าย้ายคนออกจากพื้นที่จะกระทบยังไง เราก็คำนวณออกมาเป็นผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม ยกตัวอย่างค่าใช้จ่ายจากการย้ายบ้าน เช่น ค่าหาที่เรียนใหม่ให้ลูก หางานใหม่ หรือต้องให้สมาชิกบางคนในครอบครัวย้ายกลับไปอยู่ต่างจังหวัด และเมื่อคำนวณพบว่า ต่อหลังจะมีรายจ่ายประมาณ 170,000 บาท เฉพาะค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการย้ายบ้าน 6,000 ครัวเรือนก็คูณเข้าไป นี่คือความสูญเสียทางเศรษฐกิจและสังคมที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่”

เริ่มต้นจากตัวตั้งในการคิดเรื่องคน คลอง และเมือง นั่นก็คือประโยชน์สาธารณะ คำนี้จึงไม่ใช่การทำเพื่อคนจน เพื่อสำนักระบายน้ำ หรือเพื่อรัฐบาล เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากต้องกินความถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด ทั้งคนที่อยู่ในพื้นที่เดิม คนที่ประกอบกิจการโดยรอบ และคนเมืองทั่วไป เพราะการพัฒนาเมืองต้องคิดแบบองค์รวม มิเช่นนั้น บรรดาโครงการใดๆ ก็จะเป็นแค่การโยกย้ายความเสี่ยงจากคนกลุ่มหนึ่งไปยังคนอีกกลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง

ผศ.ดร.วิจิตรบุษบา กล่าวต่อว่า ไม่ได้บอกว่าไม่ให้ทำอะไรเลย แต่การพัฒนาเมืองต้องดูด้วยว่าศักยภาพที่ดินในอนาคตเป็นยังไง ไม่ใช่แค่ทำเพื่อคนรายได้น้อย แล้วให้เขาอยู่ริมน้ำไปโดยไม่คืนอะไรสังคมเลย ไม่ใช่ คนทั่วไปก็อาจจะอยากได้ระบบขนส่งที่ดีขึ้น ตรงนั้นกำลังจะมีรถไฟฟ้า เราอาจปรับใช้คลองให้เป็นระบบเชื่อมต่อการขนส่งได้ไหม หรือทำเป็นทางจักรยาน

เมื่อต้องคำนึงถึงหลายฝ่ายและภาพอนาคตของเมือง ทางทีมวิจัยจึงพยายามคุยกับชุมชนว่าแค่ดึงชุมชนขึ้นมาจากคลองคงไม่เพียงพออีกต่อไป แต่ต้องจัดผังการใช้ที่ดินและที่อยู่อาศัยใหม่ ต้องมองศักยภาพที่ดิน เพราะหลายพื้นที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะทำให้ที่ดินราคาสูงขึ้นและจะเป็นแรงกดดันที่จะก่อให้เกิดการไล่รื้อชุมชนในอนาคต

“ถามว่าด้วยศักยภาพที่ดินตรงนั้น มันควรเป็นที่ตั้งของที่อยู่อาศัยของคนมีรายได้น้อยอย่างเดียวหรือเปล่า ในเชิงหลักการก็ไม่ควร เราจึงพยายามใส่แนวคิดว่าจะเป็นจุดเชื่อมต่อการขนส่งระหว่างรถไฟฟ้ากับเรือได้ แล้วก็เปิดพื้นที่สาธารณะให้คนใช้คลองได้มากขึ้น ไม่ใช่เป็นชุมชนปิดอย่างที่ผ่านมา”

ขณะเดียวกันก็พยายามให้ชุมชนได้อยู่ที่เดิมให้มากที่สุด เพื่อลดผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคม และกันพื้นที่ส่วนหนึ่งคืนให้กับเมืองไปพร้อมๆ กัน โดยชุมชนจะต้องมีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดในทุกกระบวนการ

“พอเป็นอย่างนี้การออกแบบที่อยู่อาศัยของแต่ละชุมชนจึงไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการของชาวบ้านและสภาพพื้นที่ ทีมอาจารย์ที่ลงไปก็บอกข้อจำกัดด้วย แต่หลักๆ คือให้ชาวบ้านมีส่วนในการตัดสินใจและมีกลไกทางสังคมออกมา เช่น ต่อไปนี้ห้ามมีบ้านเช่านะ เพราะรัฐช่วยแล้วเรื่องผลประโยชน์ก็ต้องไม่มี ไม่อย่างนั้นทำบ้านเสร็จก็ให้คนอื่นเช่า เป็นต้น”

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท