พท.ขอทบทวน ม.44 ขัดหลักนิติธรรม ยิ่งซ้ำเติมปัญหาประเทศ

รักษาการรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ขอรัฐบาลทบทวน ม.44 ในคดีจำนำข้าว ชี้ขัดหลักนิติธรรม ยิ่งซ้ำเติมปัญหาประเทศ  ขณะที่ ‘ยรรยง’ ขออย่ามัดมือชกชาวนา หวั่นกลไกตลาดข้าวล่มสลาย

2 พ.ย.2558 ชวลิต วิชยสุทธิ์ รักษาการรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่ารู้สึกสับสนกับการที่รัฐบาลมีคำสั่งใช้ ม.44 ในคดีจำนำข้าว เพราะเมื่อ 13 ต.ค.58 ที่ผ่านมา รัฐบาลว่าจะไม่ใช้ ม.44 ในคดีจำนำข้าว โดยให้เหตุผลว่าจะไม่ใช้กลไกพิเศษในการแก้ปัญหานี้ เพราะจะทำให้ปัญหาทับซ้อนไปเรื่อย ๆ จึงรู้สึกสับสนเพราะเวลาไม่ห่างกันเท่าไหร่กลับปรับเปลี่ยนในหลักการสำคัญซึ่งเป็นประเด็นปัญหาในเชิงหลักการของกฎหมายที่จะต้องได้รับการยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ นั่นคือ หลักนิติธรรม ซึ่งสำคัญยิ่งในยุคโลกาภิวัฒน์

ดังนั้น เมื่อรัฐบาลตัดสินใจใช้ ม.44 เพื่อคุ้มครองบุคคล คณะบุคคล คณะทำงาน คณะกรรมการหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย ตนมองว่าสุ่มเสี่ยงต่อการขัดกับหลักนิติธรรมอย่างยิ่ง อันอาจส่งผลให้ได้รับการต่อต้านจากนานาชาติ จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาอื่นๆตามมาอีกมากมายหรือไม่

ชวลิต กล่าวว่า คดีโครงการรับจำนำข้าว ทั้งที่อยู่ในศาลแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และที่เกี่ยวเนื่องโดยเฉพาะการจะเรียกค่าเสียหายหรือไม่ ควรให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมปกติ อันจะเป็นไปตามหลักนิติธรรม ซึ่งจะได้รับการยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ประการสำคัญที่สุดโครงการรับจำนำข้าวนั้นเหตุการณ์และห้วงเวลาไม่ได้เกิดในรัฐบาลนี้ ทั้งท่านก็กล่าวอยู่เนือง ๆ ว่า เข้ามาทำหน้าที่เป็นกรรมการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ก็ไม่น่าที่จะมากระทำการในสิ่งที่ท่านไม่ได้ก่อ โดยมาทำหน้าที่เป็นผู้เล่นเสียเอง แทนที่จะเป็นกรรมการที่เป็นกลางดังกล่าว ซึ่งถ้าหากเห็นว่าทำผิด หรือทุจริต ก็สามารถดำเนินการส่งเรื่องให้กระบวนการยุติธรรมได้ทำหน้าที่ก็ไม่สายเกินการณ์ ถือว่าท่านได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แล้ว จึงขอฝากข้อสังเกตนี้ไว้เพื่อทบทวนในสิ่งที่ท่านได้เคยสื่อสารยังสาธารณะอย่างต่อเนื่องดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ เพื่อให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าได้ด้วยหลักนิติธรรม

‘ยรรยง’ ขออย่ามัดมือชกชาวนา หวั่นกลไกตลาดข้าวล่มสลาย

วันเดียวกัน(2 พ.ย.58) ยรรยง พวงราช อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเป็นอดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์ อดีตอธิบดีกรมการค้าภายใน โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘Yanyong Puangraj’ ว่า ตนเฝ้าเกาะติดการทำงานของรัฐบาลเรื่องข้าวอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพราะตนได้เกิดความรู้จากประสบการณ์จริงว่า จุดอ่อนหรือจุดตาย เรื่องข้าวมีอยู่ 2 จุด คือ 1.ชาวนา และ 2. กลไกตลาดข้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ โรงสีและโกดังเก็บข้าว ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยจัดการแปรรูปและเก็บรักษา หากรัฐบาลไม่เร่งช่วยเหลือฟื้นฟูจุดอ่อนทั้งสองส่วนนี้โดยเร็วด้วยวิธีการที่ถูกต้องตรงจุดก็จะทำให้เกิดวิกฤติแก่ชาวนาและอุตสาหกรรมข้าวทั้งระบบอย่างแน่นอน

แต่ดูเหมือนรัฐบาลจะทำตรงกันข้าม คือห้ามหรือชะลอการทำนา ทำให้ชาวนามีผลผลิตลดลงมาก โรงสีและโกดังขาดวัตถุดิบต้องประกาศขายโรงสีหลายร้อยโรง แถมราคาข้าวยังตกตํ่าต่อเนื่อง ทำให้กลไกตลาดตัวจริงคือชาวนาแทบหมดลมหายใจ

“ผมเห็นว่ารัฐบาลกำลังจะนำประเทศเข้าสู่วิกฤติเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองอย่างรุนแรง คือ 1. การชะลอการขายข้าวคุณภาพดีแต่จะขายเฉพาะข้าวเสื่อมคุณภาพ และ 2. การออกคำสั่ง คสช. ที่ 39/2558 เพื่อนิรโทษกรรมล่วงหน้าสำหรับการบริหารจัดการข้าวรัฐบาลและการใช้อำนาจบริหารลงโทษโครงการรับจำนำข้าว” ยรรยง กล่าว

นอกจากนี้ ยรรยง ยังได้อธิบายสิ่งที่รัฐบาลนี้เองที่สร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมข้าวทั้งระบบและยังสร้างความเสียหายต่อรัฐเพราะการบริหารจัดการที่ผิดพลาด ดังนี้

1. ไม่เร่งรัดระบายข้าว โดยเฉพาะช่วงแรกตั้งแต่เดือนมิถุนายน -พฤศจิกายน 2557 แทบไม่ขายข้าวเลย ทั้งๆที่ชาวนาไม่มีข้าวขาย จึงไม่ต้องกลัวว่าจะกระทบราคาข้าวของชาวนา และจนถึงขณะนี้ก็มีการขายข้าวจริงทั้งแบบเปิดประมูลและแบบจีทูจีน้อยมากเดือนละไม่กี่แสนตัน แถมยังไม่ระบายโดยวิธีอื่นๆด้วยเช่น เปิดประมูลในตลาดชื้อขายสินค้ากษตรล่วงหน้า (AFET) เป็นต้น

ถ้ารัฐบาลวางแผนขายเดือนละ 8 แสนถึง 1 ล้านตัน ก็คงไม่มีข้าวเหลือเป็นภาระแต่อย่างใด ความเสียหายจากการไม่เร่งระบายข้าวสรุปได้ดังนี้

1.1 ทำให้เสียค่าโกดัง ค่ารมยาและค่าประกันภัยเดือนละหลายพันล้านบาทโดยไม่จำเป็น

1.2 ทำให้ข้าวเสื่อมคุณภาพตามระยะเวลา ยิ่งเก็บนานยิ่งเสื่อมมาก

1.3 ทำให้ราคาข้าวในตลาดตกตํ่า เพราะถูกพ่อค้ากดราคาทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ราคาข้าวเปลือกเจ้า5% เหลือตันละ 6,500-7,800 บาท (สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ตันละ 9,000-11,000 บาท) ราคาขายส่งข้าวสารขาว5% เหลือตันละ 10,500-11,000 บาท (สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ตันละ 14,000-15,000) และราคาส่งออก FOB ข้าวขาว5%เหลือเพียง ตันละ 340-370 เหรียญสหรัฐ (สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ตันละ 450-500 เหรียญสหรัฐ)

นอกจากจะทำให้ชาวนาลดลงมากทั้งที่ผลผลิตลดลงแล้ว ยังทำให้ GDP ข้าวลดลง และเศรษฐกิจหมุนเวียนน้อยลงมาก

2. นอกจากนี้รัฐบาลยังเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบคุณภาพข้าวแบบซํ้าซ้อนและไม่มีประสิทธิภาพ (ทราบว่าจนถึงขณะนี้ยังตรวจอยู่) เพราะข้าว 18 ล้านตันคือ 180 ล้านกระสอบ ต้องเก็บเป็นกองๆกองละประมาณ 20,000 กระสอบวางเรียงกันสูงไม่กิน 30 กระสอบ ในทางปฏิบัติจึงทำได้เพียงสุ่มตรวจเท่านั้น ไม่สามารถรื้อตรวจสอบละเอียดได้เพราะต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายสูงมาก ที่สำคัญคือไม่มีความจำเป็นต้องตรวจสอบ เพราะมีเงื่อนไขในสัญญากำหนดตัวผู้รับผิดชอบไว้อย่างชัดเจนว่าเจ้าของโกดังหรือเซอร์เวเยอร์จะต้องรับผิดชอบถ้าปรากฎว่าข้าวไม่ได้มาตรฐานหรือมีการปลอมปน และในทางปฏิบัติพ่อค้าที่จะเข้าร่วมประมูลข้าวก็จะส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบของตัวเองไปตรวจดูคุณภาพข้าวก่อนเสนอราคาอยู่แล้ว

กรณีที่มีข่าวล่าสุดว่ารัฐบาลจะระบายเฉพาะข้าวเสื่อมคุณภาพ ส่วนข้าวคุณภาพดีจะชะลอการประมูลจนถึงมีนาคม 2559 นั้น

ถ้าดูเผินๆเหมือนจะหวังดีและจะมีผลดีต่อชาวนาเพราะจะไม่ทำให้ข้าวราคาตกตํ่าในช่วงนี้ แต่ความเป็นจริงน่าจะเกิดผลเสียมากกว่า เพราะการเปิดประมูลข้าวเสื่อมโดยมุ่งจะให้ไปใช้ในอุตสาหกรรมพลังงานเท่านั้นแทนที่จะเปิดประมูลทั่วไปจะทำให้ได้ราคาตํ่ามากแค่ตันละ 3,000-5,000บาท จะมีผลทางจิตวิทยาเป็นการชี้นำตลาดให้ราคาข้าวส่วนรวมตกตํ่าลงไปอีก ส่วนการชะลอการขายข้าวคุณภาพดีออกไปหลังมีนาคม2559 นอกจากจะทำให้ข้าวดีเสื่อมสภาพไปอีกและเสียค่าเก็บรักษาจำนวนมากแล้วยังจะทำให้ราคาข้าวตกตํ่าต่อเนื่องไปอีก เพราะตลาดรู้ว่ารัฐบาลยังอุ้มสต็อคอยู่จึงควร จะทยอยระบายไปเรื่อยๆมากกว่า

ส่วนการที่ คสช.อาศัยอำนาจ ม.44 ออกคำสั่งที่ 39/2558 เพื่อนิรโทษกรรมล่วงหน้าการบริหารจัดการข้าวของรัฐบาลและการใช้อำนาจบริหารลงโทษโครงการรับจำนำข้าวนั้น ผมเห็นว่านอกจากจะเป็นคำสั่งที่ขัดต่อ ม.44 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวฯ เพราะไม่เข้าข่าย 3 กรณีที่ให้อำนาจ คสช.ออกคำสั่งได้แต่อย่างใด คือ 1. เพื่อปฏิรูปด้านต่างๆ 2. เพื่อส่งเสริมสามัคคีและสมานฉันท์ 3. เพื่อป้องกัน ระงับยับยั้ง ปราบปรามการบ่อนทำลายต่างๆ เพราะการบริหารจัดการข้าวเป็นการบริหารตามปรกติ ไม่มีเหตุผลและความชอบธรรมใดๆที่จะใช้อำนาจพิเศษเลย

นอกจากนี้ คำสั่งที่ 39/2558 นี้ ยังเป็นการซํ้าเติม "จุดอ่อน" หรือ "จุดตาย" เรื่องข้าวอย่างรุนแรง เพราะจะทำให้ขาดความเชื่อมั่นต่อกลไกการบริหารงานของรัฐบาล เพราะคำสั่งนี้นิรโทษกรรมไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่ว่าจะทำให้ใครได้รับความเสียหายรุนแรงแค่ไหน ถูกต้องตามหลักนิติธรรมหรือไม่ โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเพียงใด ก็จะอ้างว่าสุจริต และในที่สุดจะไม่ถูกตรวจสอบโดยกระบวนการยุติธรรมได้เลย

ที่สำคัญคือเป็นการซ้ำเติมและลิดรอนสิทธิชาวนา เจ้าของโรงสีและโกดัง รวมทั้งข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งของคณะกรรมการที่ได้รับความคุ้มครองภายใต้คำสั่งฉบับนี้ เช่น ถ้าประมูลข้าวเสื่อมให้พลังงานได้ราคาเพียงตันละ 3,000-5,000 บาท เจ้าของโกดังหรือเซอร์เวเยอร์จะถูกสั่งให้ชดใช้ส่วนต่างกับราคาตลาดคือตันละ 11,800-12,000 บาท ในขณะที่เจ้าของโกดังไม่ได้ร่วมตรวจสอบคุณภาพข้าวและไม่ยอมรับผลดังกล่าว ก็จะไม่มีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาล ส่วนชาวนาที่ถูกสั่งห้ามหรือให้ชะลอการทำนา และถูกซํ้าเติมด้วยราคาข้าวตกตํ่าก็ไมมีสิทธิเรียกร้องใดๆ ทั้งสิ้น

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท