Skip to main content
sharethis
 
เอกชนชงผุดระบบวัดมาตรฐานวิชาชีพครูอาชีวะ 
 
(2 ธ.ค.) พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า จากการประชุมขยายความร่วมมือในการจัดการอาชีวศึกษา กับนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นายอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และคณะ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประชุมได้ข้อสรุปตรงกันว่าปัญหาของอาชีวศึกษาในส่วนของภาครัฐต้อง แก้ปัญหาเรื่องภาพลักษณ์ การทะเลาะวิวาท บาดเจ็บ เสียชีวิต ค่านิยมเรียนเพื่อได้ใบปริญญา และคุณภาพ ซึ่งบางสาขาเมื่อจบไปทำงานไม่ตรงกับความต้องการ เนื่องจากเทคโนโลยีเปลี่ยนไป ซึ่งตนได้มอบให้ภาคเอกชนไประบุจำนวนแรงงานทักษะฝีมือที่ต้องการ พร้อมทำรายละเอียดมาว่า สาขาใดต้องการสมรรถนะอะไรบ้าง เพื่อมาเทียบกับหลักสูตรที่มี และปรับเพิ่มในส่วนที่ยังขาด เพื่อผลิตเด็กให้ได้ตรงกับความต้องการ ขณะเดียวกันเอกชนก็ต้องเพิ่มแรงจูงใจด้านค่าตอบแทนให้ด้วย 
 
นายสุพันธุ์ กล่าวว่า สภาอุตสาหกรรมฯมองว่า คนสนใจเรียนอาชีวะน้อย อีกทั้งขณะนี้อุตสาหกรรมในหลายวิชาชีพเปลี่ยนไปมีวิวัฒนาการใหม่ ๆ เข้ามา หลักสูตร และครูอาจตามไม่ทัน ซึ่งการเรียนในระบบทวิภาคีเป็นเรื่องใหญ่และสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ โดยอยากให้เด็กมีโอกาสเข้าฝึกงานในสถานประกอบการตั้งแต่ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ต่อเนื่องไปจนถึงปริญญา โดยได้ค่าตอบแทน และมีความก้าวหน้าในตำแหน่งงาน ทั้งนี้ ควรมีการเปิดสอนปริญญาตรีภาคค่ำ เพื่อเปิดโอกาสให้คนทำงานได้เรียนไปด้วย เพราะขณะนี้สถิติเด็กที่เรียนอาชีวะมาทำงานแค่ 10 % ส่วนใหญ่มุ่งไปเรียนต่อให้ได้ปริญญาก่อน ซึ่งตนอยากผลักดันให้เด็กเห็นคุณค่าการเรียนอาชีวะ และวันนี้อุตสาหกรรมพร้อมจ่ายให้เด็กอาชีวะมากกว่าผู้ที่จบปริญญาตรี แต่ขอให้มีฝีมือจริงๆ เพราะลดค่าใช้จ่ายและสร้างผลงานให้มากกว่า นายอิสระ กล่าวว่า คุณภาพเป็นเรื่องสำคัญมาก และต้องการการตรวจสอบ (Audit ) มาตรฐานของเด็กและครูผู้สอน โดยสถาบันที่เชื่อถือได้ เพื่อดูว่าได้มาตรฐานตรงตามที่กำหนดไว้หรือไม่ ถ้าทำไม่ได้จบออกมาก็ไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ และควรมีระบบรับรอง(Certify) ครูอาชีวะว่ามีความเชี่ยวชาญและเป็นมาสเตอร์ ในสาขาวิชานั้นๆ ซึ่งจะส่งผลให้เด็กมีคุณภาพด้วย 
 
ด้าน ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวว่าภาคเอกชนอยากเห็นครูอาชีวะมีมาตรฐานอาชีพในระดับสากลเป็นที่ยอมรับ ซึ่ง สอศ.จะร่วมกับทั้ง 3 สภาฯ จัดทำมาตรฐานสมรรถนะครูอาชีวศึกษาในสาขาที่มีความจำเป็นเร่งด่วนก่อน พร้อมทั้งให้ใบรับรอง(certificate) เช่น ช่างกลโรงงาน แมคคาทรอนิกส์ โดยนำมาตรฐานครูต่างประเทศ เช่น เยอรมนี ญี่ปุ่น มาใช้ และให้เชื่อมโยงกับระบบความก้าวหน้าทางวิชาชีพ การขอตำแหน่งทางวิชาการ และการขอมีหรือเลื่อนวิทยฐานะ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ครูสมัครใจเข้าสู่ระบบการทดสอบ
 
 
พนักงานหลายบริษัทนิคมฯ 304 ประท้วงเรียกร้องโบนัส
 
เมื่อเวลา 01.30 น. วันที่ 4 ธ.ค. ผู้สื่อข่าว จ.ปราจีนบุรี รายงาน ศูนย์วิทยุเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี ได้แจ้งกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายให้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ในที่ตั้งตลอด 24 ชั่วโมง เหตุมีพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่ง ในนิคมอุตสาหกรรม 304 อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี ได้มีการชุมนุมรอบ 2 ก่อนสิ้นปีนี้ หลังจากผู้บริหารไม่สามารถจ่ายเงินโบนัสให้ตามจำนวนที่เรียกร้องได้ โดยมีจำนวนผู้ชุมนุมรวมประมาณ 100 คน ช่วงกลางดึก และคาดการณ์ว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นตอนเข้ากะและออกกะช่วงมารวมกันต่อไป
 
โดยที่ผ่านมา ทาง สภ.ศรีมหาโพธิ ได้ทำการควบคุมกำกับ ในการรักษาความสงบเรียบร้อย ที่บริษัทฯ ไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว หากมีความจำเป็น ต้องเพิ่มกำลังตำรวจ และพร้อมๆกันนี้ได้มีพนักงานเตรียมชุมนุมเคลื่อนไหวบริษัทอื่นๆอีก ในนิคมอุตสาหกรรม 304 อ.ศรีมหาโพธิด้วยเช่นเดียวกัน
 
สาเหตุเนื่องด้วยช่วงนี้ ใกล้สิ้นปี พนักงานของบริษัทต่างๆ ในนิคมอุตสาหกรรม 304 ที่มีโรงงานจำนวนมาก พนักงานได้ออกมาชุมนุมเรียกร้อง โบนัสและสวัสดิการจากนายจ้าง ดังนั้นเพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัย และป้องกันเหตุต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น จึงให้ชุดควบคุมฝูงชน (คฝ1) เฝ้าระวัง ทั้งทางวิทยุสื่อสารและทางโทรศัพท์ โดยขอให้ทุกนายสามารถเข้าพื้นที่ ปฏิบัติควบคุมการก่อเหตุประท้วงรุนแรง ได้ทันทีตลอด 24 ชั่วโมงในการเตรียมพร้อมนี้
 
 
เกิดเพลิงไหม้โรงงานหลอมเหล็ก ตำบลสำโรงใต้ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ วอดกว่า 15 ล้าน
 
ร.ต.ท.ศักดิ์สิทธิ์ บุตรวงศ์ ร้อยเวร สภ.สำโรงใต้สมุทรปราการ ได้รับแจ้งว่ามีเหตุไฟไหม้ภายในบริษัท ไทรอัมพ์ สตีน จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 200/1 หมู่ 7 ซอยบุญล้อม ถนนปู่เจ้าสมิงพราย ตำบลสำโรงใต้ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ หลังรับแจ้งจึงพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน รถดับเพลิงเทศบาลเมืองปู่เจ้าสมิงพราย และเทศบาลใกล้เคียงจำนวน 6 คัน เดินทางตรวจสอบที่เกิดเหตุ
 
ในที่เกิดเหตุ พบเพลิงกำลังลุกไหม้หม้อแปลงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ภายในบริษัทดังกล่าว ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 50 ไร่ ซึ่งเป็นโรงงานหลอมเหล็ก ไฟกำลังลามไปติดแผลงวงจรควบคุมไฟฟ้าทั้งโรงงานและเกิดการช๊อตจนไฟดับทั้งหมด ไฟได้ลุกลามอย่างรวดเร็วไปติดห้องนอนของพนักงานและลามลงไปลุกไหม้น้ำมันเตาด้านล่าง จึงทำให้เพลิงลุกโหมอย่างรุนแรงเจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้ช่วยกันฉีดน้ำสกัดเพลิงอยู่นานกว่า 3 ชั่วโมงเพลิงจึงสงบ ค่าเสียหายเบื้องต้นคาดว่าไม่ต่ำกว่า 15 ล้านบาท
 
จากการสอบสวน นายบำเพ็ญ ไกรเสือ อายุ 55 ปี พนักงานที่เห็นเหตุการณ์ ได้ให้การว่าก่อนเกิดเหตุตนและคนงานคนอื่นๆ กำลังเชื่อมและซ่อมเตาหลอมที่เกิดเหตุ อยู่ ๆ ได้เกิดไฟลุกไหม้ขึ้นก่อนที่หม้อแปลงไฟฟ้าขนาดใหญ่ของโรงงานจะเกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่น ถึง 3 ครั้ง ทำให้ไฟลุกโหมอย่างรุนแรงและลุกลามไปลุกไหม้ห้องพักพนักงานที่อยู่ด้านบนและได้ลามมาติดน้ำมันเตาด้านล่าง จึงทำให้เปลวเพลิงลุกโหมอย่างรุนแรง และเกรงว่าถังน้ำมันดีเซลขนาด 200 ลิตรที่ตั้งอยู่หน้าบันใดทางขึ้น จำนวน 2 ถัง จึงโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ
 
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่า สาเหตุการเกิดเพลิงไหม้น่าจะเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร อย่างไรก็ตามจะได้ประสานเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน มาทำการตรวจสอบหาสาเหตุเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
 
 
ก.ไอซีที จัดตลาดนัดพบแรงงาน สร้างอาชีพด้าน ICT สำหรับผู้พิการ
 
นางสาววิไลลักษณ์ ชุลีวัฒนกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวในการเป็นประธานพิธีเปิด "กิจกรรมตลาดนัดพบแรงงานคนพิการ กิจกรรมเส้นทางอาชีพด้าน ICT สำหรับคนพิการ ภายใต้โครงการพัฒนาสังคมผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสในสังคมด้วย ICT" ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2558 ณ ลานอีเดน ชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ถนนราชประสงค์ กรุงเทพฯ ว่า กระทรวงไอซีทีได้ดำเนินนโยบายตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาลที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้คนพิการทุกประเภทสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากการเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ที่จะสามารถยกระดับคุณภาพการเรียนรู้สามารถสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้กับคนพิการ โดยจัดกิจกรรมเส้นทางอาชีพด้าน ICT สำหรับคนพิการ ซึ่งได้มีการศึกษาการทำงานด้าน ICT ของคนพิการและการจ้างงานของผู้ประกอบการในประเทศไทย เพื่อจัดทำแนวทางในการส่งเสริมอาชีพด้าน ICT สำหรับคนพิการ และจัดกิจกรรมนัดพบแรงงานคนพิการ เพื่อช่วยให้คนพิการและผู้ประกอบการในประเทศไทยได้ทราบถึงศักยภาพและเส้นทางอาชีพด้าน ICT ของคนพิการ ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างงานด้าน ICT สำหรับคนพิการและเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
 
ทั้งนี้ ที่ผ่านมากระทรวงไอซีทีได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการระดมความคิดเห็นเพื่อจัดทำแนวทางส่งเสริมอาชีพ
 
ด้าน ICT สำหรับคนพิการ และได้จัดทำหลักสูตร 3 หลักสูตร คือ 1) การใช้คอมพิวเตอร์เพื่องานธุรกิจ 2) การใช้คอมพิวเตอร์เพื่องานสร้างสื่อโฆษณา และ 3) การใช้คอมพิวเตอร์เพื่องานพัฒนาเว็บไซต์ ซึ่งการจัดกิจกรรมตลาดนัดพบแรงงานคนพิการในครั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 100 คน ประกอบด้วย สถานประกอบการหรือบริษัทที่ประกาศรับสมัครงานคนพิการและคนพิการที่สนใจสมัครงานด้าน ICT โดยภายในงานจะมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย ได้แก่ การออกบูธนิทรรศการ การรับลงทะเบียนคนพิการที่มีความประสงค์จะสมัครงานด้าน ICT เวทีสัมภาษณ์งานระหว่างผู้ประกอบการกับคนพิการที่ต้องการทำงาน และเวทีเสวนาในประเด็นการจ้างงานด้าน ICT สำหรับคนพิการ
 
"กระทรวงไอซีที ในฐานะผู้กำหนดนโยบายด้านการส่งเสริมการใช้ ICT เพื่อลดช่องว่างและความเหลื่อมล้ำทางสังคมในการเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศ มีความเชื่อมั่นว่าคนพิการเหล่านี้จะเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่มีความรู้ความสามารถ และมีศักยภาพในการที่จะพัฒนาตนเองให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืนได้เหมือนคนปกติทั่วไป โดยที่ผ่านมากระทรวงไอซีทีได้ให้การส่งเสริมและสนับสนุนการจัดหาอุปกรณ์และเครื่องมือสิ่งอำนวยความสะดวกเฉพาะทางให้กับคนพิการ ตลอดจนการจัดให้มีการฝึกอบรมความรู้ด้าน ICT ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงข้อมูลและความรู้ด้าน ICT สำหรับคนพิการทุกประเภทได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งจะดำเนินการต่อไป" นางสาววิไลลักษณ์ กล่าว
 
 
เผยนายกฯ จี้ภาครัฐรับคนพิการเข้าทำงาน-ให้สัมปทานภายในปี 61 ชี้ มีเพียงแค่ร้อยละ 13
 
เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของคนพิการ จัดให้มีการช่วยเหลือและพัฒนาคนพิการในหลายมิติอย่างเป็นระบบ ทั้งการกำหนดให้สถานประกอบการที่มีผู้ปฏิบัติงานตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป รับคนพิการเข้าทำงานที่เหมาะสม หรือให้สัมปทานในสัดส่วนร้อยละ 1 ของแรงงาน การศึกษาและการฝึกอาชีพเพื่อพัฒนาศักยภาพคนพิการทั่วประเทศ การส่งเสริมและดูแลด้านสาธารณสุข ที่อยู่อาศัย การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ การส่งเสริมด้านกีฬา ตลอดจนการปรับปรุงระบบฐานข้อมูลคนพิการ เพื่อให้สามารถวางแผนการดำเนินงานสนับสนุนช่วยเหลือได้อย่างตรงเป้าหมาย ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นเจ้าภาพในการจัดงานวันคนพิการสากลขึ้น เพื่อแสดงศักยภาพของคนพิการและผลงานการวิจัยพัฒนาวัสดุอุปกรณ์เพื่อคนพิการด้วย
       
“นายกรัฐมนตรีติดตามการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง และฝากขอบคุณสถานประกอบการทุกแห่งที่รับคนพิการเข้าทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานประกอบการเอกชนที่ปฏิบัติตามกฎหมายแล้วมากกว่าร้อยละ 80 และนายกฯ ยังได้กำชับผู้ที่เกี่ยวข้องให้เร่งรัดหน่วยงานภาครัฐที่มีทั้งหมด 290 หน่วยงาน รับคนพิการเข้าทำงาน หรือให้สัมปทานตามที่กฎหมายกำหนดภายในปีงบประมาณ 2561 ซึ่ง ณ ขณะนี้แม้หน่วยงานภาครัฐจะไปแล้ว 218 หน่วยงาน แต่ยังมีอัตราคนพิการเข้าทำงานเพียง 1,456 คน คิดเป็นร้อยละ 13.32 จากจำนวนคนพิการที่ต้องจ้างทั้งหมด 10,929 คน นับเป็นสัดส่วนที่ยังห่างจากผลสัมฤทธิ์ที่ตั้งไว้” พล.ต.สรรเสริญ กล่าว
       
พล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่า ในด้านการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกในสถานที่ราชการและสถานที่สาธารณะต่าง ๆ เพื่อให้คนพิการสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ เช่น ทางลาด ลิฟต์ ห้องน้ำ ที่จอดรถ ป้ายสัญญาณต่าง ๆ รถสาธารณะ ที่เอื้อต่อคนพิการก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทุกภาคส่วน สำหรับโครงการพัฒนาศักยภาพนักร้องและนักดนตรีตาบอดในที่สาธารณะนั้นได้ดำเนินการไปแล้ว 250 คน จากเป้าหมาย 800 คนในระยะเวลา 3 ปี และได้รับการสนับสนุนจากค่ายเพลงให้เป็นศิลปินแล้ว 5 คน นอกจากนี้ ยังมีความคืบหน้าเรื่องการเพิ่มเบี้ยยังชีพคนพิการเป็น 800 บาทต่อเดือน และดำเนินการปรับปรุงที่พักอาศัยให้คนพิการไปแล้ว 2,448 หลังอีกด้วย
       
“นายกฯ เน้นให้การดูแลช่วยเหลือและสนับสนุนคนพิการให้ได้รับการพัฒนาศักยภาพ สามารถออกมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ จึงขอให้พี่น้องประชาชนเข้าใจ ให้กำลังใจ เชื่อมั่นว่า คนพิการมีทักษะความสามารถในการปฏิบัติงาน และให้โอกาสคนพิการเข้าทำงานเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ที่สำคัญคือคนพิการเองก็ต้องมั่นใจในความสามารถ และเปิดโอกาสให้ตนเอง โดยไม่มองว่าความพิการเป็นอุปสรรคในชีวิต ซึ่งนายกฯ ย้ำเสมอว่าคนพิการมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์และเสมอภาคกับบุคคลทั่วไป สามารถยืนหยัดได้ด้วยความสามารถของตนเอง ประสบความสำเร็จได้อย่างงดงาม และเป็นพลังสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศของเรา” พล.ต.สรรเสริญ กล่าว
 
 
สหภาพแรงงานซันโคโกเซ บุกกระทรงวงแรงงานยื่นข้อเรียกร้องขอปรับสวัสดิการ โวยเจรจา 9 ครั้งล้มเหลวตลอด
 
4 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาชิกสหภาพแรงงานซันโคโกเซ ประเทศไทย จำนวนประมาณ 300 คน เดินทางมาที่กระทรวงแรงงาน เพื่อติดตามข้อเรียกร้องแรงงานที่ยื่นต่อบริษัทไว้ และยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งแรงงานทั้งหมดเป็นพนักงานของบริษัท ซันโค โกเซ เทคโนโลยีประเทศไทย จำกัด ตั้งอยู่ที่ นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด อ.ปลวกแดง จ.ระยอง ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่เป็นพลาสติก ได้แก่ กันชน สปอยล์เลอร์ และชิ้นส่วนตกแต่งภายในรถยนต์ ให้กับบริษัทผลิตรถยนต์ชั้นนำของไทยหลายแห่ง มีลูกจ้างประมาณ 900 คน โดยแรงงานทั้งหมดปักหลักอยู่บริเวณโถงชั้นล่างของอาคารกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน 
 
ทั้งนี้ น.ส.พรรณี ศรียุทธศักดิ์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ได้มอบหมายให้นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ รองอธิบดี กสร. ไปพูดคุยกับกลุ่มสมาชิกสหภาพแรงงานที่เดินทางมาทั้งหมดเพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ โดยรับปากว่าในวันที่ 9 ธ.ค.นี้ กสร.จะเดินทางลงพื้นที่ไปร่วมเจรจาข้อพิพาทที่เกิดขึ้นเพื่อหาข้อยุติร่วมกัน 3 ฝ่าย 
 
ด้านนายอมรเดช ศรีเมือง แกนนำพนักงานซันโคฯ กล่าวว่า ได้มายื่นหนังสือให้กสร.รับทราบเรื่องที่เกิดขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมามีการยื่นข้อเรียกร้องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างงาน ขอเพิ่มสวัสดิการ ขอปรับขึ้นค่าจ้างและเรียกร้องเงินโบนัสต่อนายจ้าง โดยมีการเจรจาระหว่างสหภาพกับนายจ้าง โดยมีเจ้าหน้าที่กสร.ร่วมรับฟังด้วย มาแล้วกว่า 9 ครั้งแล้ว แต่ไม่มีความคืบหน้า โดยที่ผ่านมานายจ้างมีการปิดงานหลอก จ้างแรงงานเหมาค่าแรงงานมาทำงานแทน หากแรงงานจะกลับเข้าทำงานให้สมาชิกสหภาพลงนามยอมสละข้อเสนอของสหภาพจึงจะรับเข้าทำงาน แต่ในที่สุดนายจ้างก็เปิดงาน อีกทั้งมีการออกโครงการให้สมาชิกสหภาพลาออกโดยสมัครใจด้วย ทั้งนี้อยากให้นายจ้างมาเจรจาร่วมกัน เพื่อให้ตกลงกันได้ก่อนที่ข้อตกลงสภาพการจ้างหรือสัญญาจ้างงานจะครบกำหนดวันที่ 15 ธ.ค.นี้.“
 
 
ก.แรงงานร้องขอบริษัทเอกชนไฟเขียวพ่อลางานเลี้ยงช่วยภรรยาลูกอ่อน
 
(5 ธ.ค.58) น.ส.พรรณี ศรียุทธศักดิ์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน(กสร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กสร.ได้สำรวจพบว่าตั้งแต่ออกประกาศขอความร่วมมือให้สถานประกอบการอนุญาตให้พนักงานชายลาไปช่วยภรรยาที่เพิ่งคลอดเลี้ยงลูก โดยจำนวนวันขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของสถานประกอบการตั้งแต่ปี 2555 จนถึงเดือน เม.ย.2558 พบว่ามีสถานประกอบการอนุญาตให้พนักงานชายลาในกรณีข้างต้น 582 แห่ง โดย 5 อันดับแรก คือสถานประกอบการในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ 45 แห่ง ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 43 แห่ง แปรรูปอาหาร 32 แห่ง วัสดุก่อสร้าง 24 แห่ง และค้าปลีกค้าส่ง 22 แห่ง
 
หากแยกเป็นรายภาคพบว่า ภาคกลาง 330 แห่ง ภาค อีสาน 97 แห่ง ภาคเหนือ 89 แห่ง กรุงเทพฯ 51 แห่ง และภาคใต้ 15 แห่ง ภาพรวมสถานประกอบต่างๆ อนุญาตให้ลาพนักงานชายลาไปช่วยภรรยาเลี้ยงลูกได้ประมาณ 2-15 วัน แต่โดยเฉลี่ยแล้วให้ลา 4 วัน บางสถานประกอบการจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ลาและกรณีลา 2 วันได้จ้างทุกวัน บางสถานประกอบการจ่ายค่าจ้างไม่ครบทุกวันที่ลา ซึ่งมีลูกจ้างได้รับประโยชน์ทั้งหมด 225,981 คน นอกจากนี้จากการศึกษาข้อมูลในหลายประเทศพบว่ามีการอนุญาตให้พนักงานลาไปช่วยภรรยาที่เพิ่งคลอดเลี้ยงลูก
 
"หน่วยงานราชการมีกฎหมายอนุญาตให้ผู้ชายลาไปช่วยภรรยาที่เพิ่งคลอดเลี้ยงลูกได้ไม่เกิน 15 วัน แต่ในส่วนของภาคเอกชนไม่มีกฎหมายรองรับจะต้องขอความร่วมมือ ซึ่งจะลาได้กี่วันขึ้นอยู่กับการพิจารณาของนายจ้าง ปัจจุบันก็มีสถานประกอบการให้ความร่วมมือมากขึ้น
 
ขณะที่บางแห่งลูกจ้างเขียนไว้ในข้อเรียกร้องประจำปีด้วย กสร.จะสร้างความเข้าใจให้แก่เอกชนให้มากขึ้น เพื่อให้ลูกจ้างชายได้มีโอกาสลาไปทำหน้าที่ของพ่อช่วยเลี้ยงลูก ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัว ทำให้ภรรยามีกำลังใจ และมีเวลาให้นมลูกด้วยนมแม่ มีเวลาพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูร่างกายมากขึ้น เด็กก็จะเติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ"น.ส.พรรณี กล่าว
 
 
พนักงานยาโน่ นัดประท้วงขอโบนัสต่อเป็นรอบ 2 บริษัทตั้งโต๊ะคัดคนออก
 
เมื่อเวลา 21. 25 น. ของวันที่ 6 ธ.ค. 2558 นายสพรั่ง มีประดิษฐ์ สมาพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมแห่งชาติ กล่าวว่า “วันพรุ่งนี้  (7 ธ.ค.) พนักงานในโรงงาน บริษัท ยาโน่ อิเล็คทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ในนิคมอุตสาหกรรม 304 อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี ซึ่งเป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของรถยนต์ กล้องพานาโซนิค และโซนี่ รวมทั้งชิ้นส่วนเครื่องมือแพทย์ ประมาณ 200 คน ที่เคยประท้วงเพื่อเรียกร้องโบนัสพนักงาน จาก 2.5 เดือน เป็น 4 เดือน เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.58 ที่ผ่านมา แต่ทางบริษัทไม่สามารถพิจารณาตามคำร้องได้ เนื่องจากอำนาจการตัดสินใจเป็นของเจ้าของ ซึ่งอยู่ในกรุงเทพมหานครเท่านั้น
 
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ของวันนี้ บริษัท ยาโน่ อิเล็คทรอนิคส์ จำกัด จะมีการขึงเชือกแบ่งเขตตั้งโต๊ะ ให้พนักงานเลือกว่า จะทำงานที่บริษัทต่อหรือไม่ หากใครจะทำต่อก็ให้เซ็นชื่อตามข้อตกลงของบริษัท  หากใครไม่ลงชื่อจะให้ออก ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ศรีมหาโพธิ แจ้งให้ชุดควบคุมฝูงชนเตรียมพร้อมที่หน้า สภ.ศรีมหาโพธิ 
 
 
อุบัติเหตุรถรับส่งพนักงาน บริเวณสี่แยกอุทัย-บางปะอิน
 
เมื่อเวลา 06.30 น.วันที่ 8 ธ.ค. พ.ต.ต.ธนัท แสงอรุณ พนักงานสอบสวน สภ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ได้รับแจ้งเกิดอุบัติเหตุรถยนต์บัสรับส่งพนักงานชนกับรถยนต์สองแถว 6 ล้อรับส่งพนักงาน บริเวณสี่แยกอุทัย-บางปะอิน มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนหลายราย ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วย สมาคมอยุธยารวมใจ
 
ก่อนจะพบรถยนต์โดยสาร สีขาว หมายเลขทะเบียน 30-0365 อ่างทอง รับส่งพนักงานบริษัท ฮานา เซมิคอนดักเตอร์ (อยุธยา) จำกัด ภายในนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค ต.บ้านหว้า อ.บางปะอิน สภาพด้านหน้าพังยับเยินชนอัดติดแบริเออร์ จุดกลับรถ ใกล้กันพบรถยนต์สองแถว 6 ล้อรับส่งพนักงาน ของบริษัท ไทยนิปปอนฟู้ดส์ อยู่ภายในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ หมายเลขทะเบียน 10-2657 พระนครศรีอยุธยา สภาพพลิกตะแคงขวางกลางถนน มีน้ำมันไหลออกมาจากถังน้ำมันตลอดเวลา ส่งผลให้การจราจรติดขัดเป็นแถวยาวเนื่องจากเป็นช่วงชั่วโมงเร่งด่วนและจุดเกิดเหตุอยู่ใกล้สวนอุตสาหกรรม
 
ส่วนผู้บาดเจ็บของรถยนต์ทั้งสองคันเจ้าหน้าที่เร่งช่วยนำส่งโรงพยาบาลราชธานีโรจนะจำนวน11 ราย โรงพยาบาลอุทัย จำนวน 9  ราย โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา 2 ราย รวมบาดเจ็บ 22 ราย
 
จากการสอบสวนนายเสถียร หมดจด อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 50 ม.3 ต.สามบัณฑิต อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา  คนขับรถยนต์สองแถว ทราบว่าได้รับพนักงานจากโรงงานไปส่ง ที่ ต.บ้านหีบ อ.อุทัย เมื่อมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุได้เลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าไปทาง อ.อุทัย รถยนต์บัสวิ่งมาจากทาง อ.บางปะอิน จึงพุ่งชนอย่างแรงทำให้รถยนต์สองแถวเสียหลักพลิกคว่ำ ทำให้พนักงานได้รับบาดเจ็บหลายราย
 
ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานในเบื้องต้นว่า รถยนต์สองแถวออกมาจากสวนอุตสาหกรรมโรจนะเมื่อมาถึงบริเวณสี่แยกได้เลี้ยวเพื่อไปส่งพนักงานใน อ.อุทัย จังหวะเดียวกับที่รถยนต์บัส รับพนักงานมาจาก นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค อ.บางปะอิน เมื่อมาถึงสี่แยกได้วิ่งข้ามสี่แยกไปส่งพนักงานที่ อ.อุทัย บริเวณจุดเกิดเหตุเป็นทางแคบ จึงชนกับรถยนต์สองแถวที่เลี้ยวมาพอดีทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย ส่วนผู้ขับขี่รถยนต์บัสหลบหนี เจ้าหน้าที่ตำรวจจะติดตามตัวมาทำการสอบสวนเพื่อหาสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุอีกครั้ง
 
 
เตือนลูกจ้าง! 11ธค.นี้ไม่ใช่วันหยุดตามก.ม. หยุดเองมีสิทธิ์ถูกหักเงิน-ไล่ออกได้
 
น.ส.บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์ ฝ่ายวิชาการ คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย เปิดเผยถึงกรณีที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน หรือ กสร. ประกาศขอความร่วมมือจากสถานประกอบการเอกชน 3 แสนแห่ง ให้ลูกจ้างหยุดเป็นกรณีพิเศษ ในวันที่ 11 ธันวาคม 2558 โดยไม่ถือเป็นวันลา เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว กิจกรรมจักรยานเฉลิมพระเกียรติปั่นเพื่อพ่อ และเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงให้ผู้ใช้แรงงานมีวันหยุดที่ยาวนานสามารถเดินทางกลับไปเยี่ยมครอบครัวว่า ประกาศดังกล่าวเป็นเพียงการขอความร่วมมือจากสถานประกอบการเท่านั้น ไม่ใช่การบังคับ ผู้ประกอบการไม่จำเป็นต้องให้ลูกจ้างหยุดงานตามประกาศดังกล่าว โดยไม่มีความผิดใดๆ ทั้งสิ้น หากบริษัทได้จัดวันหยุดตามประเพณีไว้ครบถ้วนแล้วตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้แล้ว
 
โดยขณะนี้มีลูกจ้างจำนวนมากมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในเรื่องนี้และมีการสอบถามเข้ามาหลายรายทั้งนี้หากลูกจ้างจะหยุดงานในวันดังกล่าวนี้โดยที่สถานประกอบการไม่ได้ประกาศให้เป็นวันหยุดจะถือว่าเป็นวันลาอย่างแน่นอน และอาจถูกหักเงินได้ นอกจากนี้ ในกรณีที่ลูกจ้างต้องทำงานในวันเสาร์-อาทิตย์ เช่น งานร้านอาหาร โรงแรม และได้หยุดต่อเนื่อง 3 วัน คือ ไม่มาทำงาน ตั้งแต่วันที่ 11 ถึง 13 ธันวาคม 2558 อาจสามารถถูกเลิกจ้างได้ทันทีโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย เพราะถือว่าหยุดงานติดต่อกัน 3 วัน เป็นไปตามมาตรา 119 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2514 ที่บัญญัติไว้ว่า "ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทำงานติดต่อกัน ไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตาม โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร"
 
 
ครม. แต่งตั้งประธานกรรมการ กรรมการผู้แทนฝ่ายนายจ้าง กรรมการผู้แทนฝ่ายลูกจ้างกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการบริหารสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแสดล้อมในการทำงาน
     
พลตรี สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงว่าคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงแรงงาน (รง) เสนอแต่งตั้งประธานกรรมการ กรรมการผู้แทนฝ่ายนายจ้าง กรรมการผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการบริหารสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแสดล้อมในการทำงาน ดังนี้ 1. นายอาทิตย์ อิสโม ประธานกรรมการ 2. นายประพันธ์ ปุษยไพบูลย์ กรรมการผู้แทนฝ่ายนายจ้าง 3. นายพิชิต พระปัญญา กรรมการผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง 4. นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 5. นายสุชาติ วิริยะอาภา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 6.นางสาวสุดธิดา กรุงไกรวงศ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2558 เป็นต้นไป
 
 
พนักงานโรงงานเย็บผ้าชัยภูมิร้องถูกโรงงานลอยแพพนักงาน 179 คน เบี้ยวจ่ายค่าแรง 3 งวด เตรียมชุมนุมปิดโรงงานกดดัน
 
กลุ่มพนักงานแรงงานของโรงงานเย็บเสื้อผ้าส่งออก ของบริษัทเคเอ็มซีแอพพาเรล จำกัด ตำบลหนองไผ่ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ จำนวน 179 คน เรียกร้องให้ถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือ หลังได้รับความเดือดร้อนหนักจากผู้ประกอบการโรงงานชาวฮ่องกง ลอยแพเลิกจ้างพนักงานทั้งหมด ทั้งที่ยังติดค้างค่าแรงอยู่ 3 งวด รวมเป็นเงิน 2,765,750 บาท และยังไม่สามารถติดต่อได้
             
ตัวแทนพนักงาน กล่าวว่า เมื่อพยายามติดต่อไปยังผู้จัดการโรงงานชาวไทย ก็ได้รับคำตอบเพียงว่า จะรีบประสานเจ้าของโรงงานให้ แต่ก็เงียบไปอีก พนักงานจึงจะนัดชุมนุมใหญ่ที่หน้าโรงงาน วันที่ 10 ธันวาคมนี้ หากไม่คืบหน้า ก็จะเข้าแจ้งความต่อไป
             
นายสุพจน์ กวางแก้ว สวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จังหวัดชัยภูมิ เปิดเผยว่า เบื้องต้นจะใช้กองทุนคุ้มครองสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานช่วยเหลือ โดยสามารถขอรับเงินมาช่วยเหลือเยียวยา หลังถูกเลิกจ้าง หรือยังไม่ได้รับเงินค่าแรง ตามขั้นตอนระเบียบของกระทรวงแรงงานต่อไป ขึ้นอยู่กับอายุงานแต่ละคน ไม่เกิน 30-90 วันไปก่อน และจะหาทางช่วยเหลือในการเจรจากับเจ้าของโรงงานต่อไป
 
 
'ประยุทธ์' แจงไม่มีเงิน 2 ล้านล้าน ปลดหนี้ครู
 
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการแก้ปัญหาหนี้สินของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ว่า หนี้สินครูมีอยู่ 3 เปอร์เซ็นต์ วันนี้มีการขยายความจะไปเอาเงินที่ไหนมา 2 ล้านล้านบาท บริจาคคนละล้านกันไหม หรือจะบริจาคกันคนละ 100 บาทกันไหม ซึ่งมีอยู่ 3 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นที่มีปัญหา นอกนั้นเขาก็ผ่อนชำระอยู่ อย่าไปเป็นเครื่องมือให้คนบางประเภท ยกหนี้ให้แล้วกันรัฐบาลจะเอาเงินที่ไหนมางบประมาณประเทศเลยนะ ใครก็ทำไม่ได้ จะให้ขึ้นภาษีไหม จะเอาที่ไหนก็ไม่ได้อีกคิดให้มีตรรกะสิ จะให้มีการรวบครูแล้วตั้งกระทรวงขึ้นมาเรื่องนี้ตนไม่สนใจ
 
ถ้าอยากทำไปทำวันข้างหน้า อย่าไปเขียนเลอะเทอะ 5 แท่ง 6 แท่ง 10 แท่งช่างมันเหอะ วันนี้ตนต้องการให้รัฐมนตรี ปลัดกระทรวงรวมกับ 5 ส่วนราชการทำงานให้ได้ เพราะฉะนั้น นี่คือมาตรา 44 ไม่ใช่เอามาตรา 44 ไปล้มอะไรไม่ใช่ ให้เขามีช่องทางบูรณาการตรงนี้ ยุบแล้วได้อะไรขึ้นมา ไม่เห็นจะได้ จากการประเมินมีปัญหาหมด มีพ.ร.บ. คนละแท่ง แล้วจะทำงานได้ไหม จะปฏิรูปการทำงานได้ไหม รัฐมนตรีต้องรับผิดชอบ ซึ่งรัฐมนตรีต้องเรียกทุกคนมาหารือร่วมกัน แล้วให้ทุกคนทำงานตามแท่งของตัวเองนี่คือมาตรา 44 ในการปกครอง   
 
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ถ้ามาตรา 44 ในเรื่องของกฎหมายที่ซ้ำซ้อนในหลายกฎหมาย ทำอย่างไรให้ทุกหน่วยงานทำงานด้วยกันได้ หรือแม้กระทั่งการค้าขาย เพื่อให้เกิดการบูรณาการ ไม่อย่างนั้นก็ติดกฎหมายของแต่ละกระทรวง ทำไม่ได้ซักอย่าง วันนี้ตนบอกว่าให้ข้าราชการทุกกระทรวงปรับตัวเองใหม่ทั้งหมด จะทำงานตามแผนโครงการงบประมาณที่มีในกระทรวงไม่ได้ ต้องเอากระทรวงอื่นมาร่วมด้วย อย่างเรื่องการขยายสนามบิน เปิดด่าน หรือขยายถนน ที่ผูกพันกันกับหน่วยงานอื่นก็ต้องมาคุยกันระยะที่ 1 จะต้องมาคุยกันตรงนี้     
 
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อย่างเรื่องท่าเรือ ที่ต้องไปเจรจากับประเทศอื่นไม่ใช่ไม่พูดกับประเทศนี้ ไปพูดแล้วเขาจะเอาหรือไม่ ประเทศไทยมหาอำนาจเยอะหรืออย่างไรก็ไม่รู้ ทำไมไม่คุยกับเขา ทำไมไม่บอกกับประเทศนี้ ก็มึงใหญ่โตกันหรืออย่างไร ที่เสนอกันมาต่อรอง ก็ไม่รู้จะต่อรองอย่างไร นั่งประชุมครม.ก็นั่งมาแล้ว แต่เขาก็ต้องมีกติกาของเขา ไม่ใช่จะทำอะไรก็ทำ ไม่รู้เรื่องกติกา กฎหมาย สนใจแต่ผลสำเร็จ พอใครทำไม่ดีก็ด่า คนไทยก็เป็นแบบนี้มั้ง
 
วันนี้หลายคนก็เข้าใจมาช่วยรัฐบาล แต่เกรงว่าจะเป็นความขัดแย้ง ทางโซเชียลมีเดีย ในพื้นที่ท้องถิ่น รับรองมีอีกไปถามคนที่ออกมาพูด ว่าจะทำอย่างไร ไปถามเขาบ้าง ไปถามให้ตน ถ้าเกิดอย่างนี้ใครจะรับผิดชอบร่วมกับตน อะไรก็ทำไม่ได้ ทั้งที่มีรัฐฐาธิปัตย์อยู่ แล้วถ้าเกิดปัญหาบานปลายใครจะรับผิดชอบ ตนถามหน่อย แล้วใครจะรับผิดชอบปัญหาที่เกิดขึ้นมา ตนต้องมาทำแบบนี้ ถามให้จบ อย่างนี้เขาเรียกว่าช่วยกัน ช่วยประเทศ ไม่ใช่ช่วยตน
 
 
เวิลด์แบงก์เผยประชากรสูงอายุไทยพุ่งชี้รัฐต้องจ่ายค่าดูแลเพิ่ม10%จีดีพีแนะปฏิรูประบบบำนาญ-ขยายอายุเกษียณ
 
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ธนาคารโลกได้เปิดตัวรายงานผู้สูงวัยในเอเชียตะวันออก “Live Long and Prosper: Aging in East Asia and Pacific”  ผ่านการประชุมทางไกลผ่านดาวเทียมจากกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมกับกลุ่มธนาคารโลกสำนักงานประเทศไทย กัมพูชา มองโกเลีย เป็นต้น
  
นายแอ๊กเซล ฟารทรอตเซนบวร์ก รองประธานธนาคารโลก(เวิลด์แบงก์) ประจำภูมิภาคตะวันออกและแปซิฟิก เปิดเผยว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกฯ มีแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาเพียง 20-30 ปี สาเหตุจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ(จีดีพี) ที่เพิ่มขึ้น ประชากรมีรายได้มากขึ้น การศึกษาดีขึ้น ทำให้ประชากรมีอายุยืน รวมทั้งอัตราการเกิดต่ำ โดยขณะนี้มีประชากรโลกที่อายุมากกว่า 65 ปี(ประชากรสูงวัย) สัดส่วนกว่า 36% หรือประมาณ 211 ล้านคน อาศัยอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกฯ และพบว่า เวียดนาม รวมทั้ง ไทย และจีน มีแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของประชากรสูงวัยอย่างรวดเร็วกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค ซึ่งในปี 2583 ประชากรวัยทำงานลดลงของแต่ละประเทศจะลดลงกว่า 10-15% ทำให้ประเทศเหล่านี้จะต้องจ่ายเงินประมาณ 8-10% ของจีดีพี ดังนั้น เป็นความท้าทายที่จะต้องปฏิรูป ทั้งด้านนโยบายเศรษฐกิจ การคลัง ระบบบำนาญ ประกันสุขภาพ และมีการวางแผนรองรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ส่วนกลุ่มประเทศกัมพูชา ลาว ปาปัวนิวกินี สัดส่วนประชากรสูงวัยยังน้อย ประชากรวัยทำงานยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องมีการวางแผนรองรับเช่นกัน
 
 นายฟารทรอตเซนบวร์ก กล่าวว่า สำหรับการปฏิรูปที่สำคัญ คือ ระบบบำนาญ ต้องมีการวางแผนให้ชัดเจนตั้งแต่เกิด ต่อเนื่องไปยังวัยทำงาน และสร้างระบบบำนาญที่ยั่งยืน มีการขยายระบบบำนาญให้ครอบคลุมแรงงานนอกระบบ แต่ไม่ควรให้สิทธิบำนาญสูงเกินไป เพราะอาจจะเกิดปัญหาอย่างกรณีของ กรีซ ที่รัฐบาลมีค่าใช้จ่ายบำนาญสูงมาก และอาจให้ครอบครัวของประชากรสูงวัยสมทบจ่ายบำนาญให้ประชากรสูงวัยด้วย  รวมทั้งควรมีการส่งเสริมให้ผู้หญิงเข้ามสู่ตลาดแรงงานมาขึ้น เช่น มีนโยบายการดูแลเด็กเล็ก รวมทั้งอาจจะมีการขยายอายุการเกษียณแบบค่อยเป็นค่อยไป และควรยกเลิกประโยชน์จากระบบบำนาญที่ส่งเสริมให้วัยทำงานเกษียณอายุเร็วเกินไป หรืออาจเปิดให้มีการย้านถิ่นของแรงงานอายุน้อยจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ควรเปลี่ยนการดำเนินงานระบบสุขภาพจากส่วนกลางลงไปสู่หน่วยย่อยมากขึ้น เช่น โรงพยาบาลชุมชน และให้ความสำคัญกับโรคที่ไม่ใช่โรคติดต่อเพิ่มมากขึ้น เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน มะเร็ง เป็นต้น
 
 
 
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net