Skip to main content
sharethis

24 ธ.ค.2558 จากกรณีที่ “เครือข่ายคณาจารย์มหาวิทยาลัย” ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 31 ต.ค. ที่ผ่านมา เรื่อง มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร ยืนยันในเสรีภาพที่จะแสวงหาความรู้ในการเรียนการสอน แต่คณาจารย์ที่ร่วมกันแถลงกลับถูกออกหมายเรียกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในข้อหา “ร่วมกันมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป อันเป็นการฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ” ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ  (รายละเอียดเพิ่มเติม)

 

วันนี้ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 14:00 น. ที่สถานีตำรวจภูธรช้างเผือก จังหวัดเชียงใหม่ศ. ดร. อรรถจักร์สัตยานุรักษ์ และรศ. สมชาย ปรีชาศิลปกุล ผู้ต้องหาคดี “มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร” ได้ยื่นคำให้การและแถลงต่อสู้คดี โดยมีสื่อมวลชนติดตามรายงานข่าว และการให้กำลังอย่างคับคั่งจากนักวิชาการ นักกิจกรรม และประชาชนทั่วไปชมรายละเอียดทั้งหมด

Posted by Prachatham สำนักข่าวประชาธรรม on 23 ธันวาคม 2015

 

ล่าวสุดวันนี้ (24 ธ.ค.58) Prachatham สำนักข่าวประชาธรรม รายงานว่า เวลา 14:00 น. ที่สถานีตำรวจภูธรช้างเผือก จังหวัดเชียงใหม่ ศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ และ รศ. สมชาย ปรีชาศิลปกุล ผู้ต้องหาคดีดังกล่าวได้ยื่นคำให้การและแถลงต่อสู้คดี โดยมีสื่อมวลชนติดตามรายงานข่าว และการให้กำลังอย่างคับคั่งจากนักวิชาการ นักกิจกรรม และประชาชนทั่วไป

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานถึงคำให้การของทั้ง 2 ว่า ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยระบุชี้แจงเหตุผลทั้งในทางหลักการและข้อกฎหมาย 5 ประการหลัก พร้อมยืนยันว่าการแถลงข่าวดังกล่าวเป็นการแสดงออกทางของเสรีภาพทางวิชาการอย่างสร้างสรรค์ เป็นการกระทำที่เป็นไปตามความมุ่งหมายของกฎหมายและรัฐธรรมนูญ และเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริตอันเป็นการส่งเสริมประบอบประชาธิปไตย จึงขอให้พนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดีนี้ต่อไป (ดูสรุปคำให้การโดยละเอียดด้านล่าง)

ขณะเดียวกัน นักวิชาการทั้งสองคนยังขอให้พนักงานสอบสวนได้สอบพยานบุคคลเพิ่มเติมอีก 4 คน เพื่อสนับสนุนข้อต่อสู้คดี ได้แก่ ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร, ศ.สุริชัย หวันแก้ว, ผศ.ดร.จันทจิรา เอี่ยมมยุรา และไทเรล ฮาเบอร์คอร์น โดยจะมีการประสานงานพยานเข้ามาให้ปากคำต่อไป

อรรถจักร์ ระบุด้วยว่าในคดีนี้จะเหลือผู้ต้องหาสองคน เพราะก่อนหน้านี้ นักวิชาการอีก 6 ท่านที่ถูกทหารแจ้งความร้องทุกข์ด้วยนั้น ได้เดินทางเข้าพูดคุยกับผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 ภายในค่ายกาวิละ และมีการเซ็นข้อตกลงไม่เคลื่อนไหวทางการเมืองกับเจ้าหน้าที่ โดยเจ้าหน้าที่ระบุว่าการเข้าพูดคุยนี้เป็นไปตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 3/2558 ข้อ 12 ในวรรคที่ 2

อรรถจักร์ กล่าวว่าเนื่องจากคณาจารย์ที่ถูกแจ้งข้อหาร่วมกันนั้นอยู่ในพื้นที่ภาคอื่นๆ ทั้งทางภาคใต้ อีสาน และตะวันออก ทำให้มีความลำบากในเงื่อนไขและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เพื่อมาต่อสู้คดี ทั้งตนและอาจารย์สมชายจึงเข้าใจในประเด็นดังกล่าวดี

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุด้วยว่า กรณีนี้ถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่มีการประกาศใช้คำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 3/2558 ที่มีการดำเนินการให้บุคคลที่ถูกกล่าวหา “เข้ารับการอบรม” จากเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย ทำให้คดีเลิกกันตามข้อความในข้อ 12 วรรคที่ 2 นี้ โดย ในคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 3/2558 ข้อ 12 ในวรรคที่ 2 ระบุว่าผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งที่สมัครใจเข้ารับการอบรมจากเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย เป็นระยะเวลาไม่เกินเจ็ดวันและเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยเห็นสมควรปล่อยตัวโดยมีเงื่อนไข หรือไม่มีเงื่อนไข ให้ถือว่าคดีเลิกกันตามมาตรา 37 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

นอกจากนี้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ยังได้เผยแพร่ สรุปคำให้การยื่นต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรช้างเผือก ไว้ดังนี้

สรุปคำให้การยื่นต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรช้าง

ข้าพเจ้า ศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ อาจารย์สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  ผู้ต้องหาที่ 1 และ รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ต้องหาที่ 2  ขอยืนยันให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาว่าได้กระทำความผิดฐานขัดคำสั่ง คสช. ที่ 3/2558 ดังนี้

ข้อ 1.  การออกแถลงการณ์เรื่อง “เสรีภาพทางปัญญาของระบบการศึกษา” ไม่ใช่ความตั้งใจที่จะมารวมและร่วมกันออกแถลงการณ์เป็นการเฉพาะเจาะจงต่อรัฐบาลแต่อย่างใด หากแต่เป็นผลมาจากการพบปะเพื่อประชุมวิชาการในโครงการวิจัยเรื่อง “ความเปลี่ยนแปลงในชนบท: ประชาธิปไตยบนความเคลื่อนไหว” โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กระบวนการทำงานวิจัยจัดให้มีการประชุมเป็นระยะตลอดมา

ข้าพเจ้าทั้งสองในฐานะนักวิจัย ไม่ได้มีเจตนาที่จะมารวมกันเพื่อออกแถลงการณ์ดังกล่าว หากแต่เป็นการเตรียมการที่ดำเนินมาตามขั้นตอนของกระบวนการวิจัย แต่ประเด็นของการออกแถลงการณ์นั้นเป็นผลโดยตรง มาจากการกล่าวของนายกรัฐมนตรีในวันที่ 27 ตุลาคม 2558 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากการนัดหมายประชุมทางวิชาการ

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวต่อสื่อและเป็นข่าวซึ่งรับรู้กันทั่วไป ว่าได้สั่งให้รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการไปทบทวนการเรียนการสอน เมื่อนักวิจัยทุกทีมได้พบปะกันในคืนวันที่ 30 ตุลาคม 2558 จึงได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน และทั้งหมดมีความเห็นพ้องต้องกันเกรงกันว่าการพูด/ คำพูดของนายกรัฐมนตรีเช่นนี้จะทำให้สาธารณะ/สังคมเกิดความเข้าใจผิดในการจัดการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย จึงได้ตกลงใจที่จะออกแถลงการณ์ในวันรุ่งขึ้น

ในประเด็นสำคัญก็คือ โครงการวิจัย “ความเปลี่ยนแปลงในชนบท: ประชาธิปไตยบนความเคลื่อนไหว” เป็นการวิจัยความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชนบท ที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของกระบวนการ “ประชาธิปไตย” ซึ่งได้แสดงออกในระดับพื้นที่ว่าการยอมรับความแตกต่างของความคิดเห็นได้ชักนำให้ชุนชนในพื้นที่ต่างๆ มีโอกาสในการสร้างสรรค์ประชาธิปไตยขึ้นมา การเรียนรู้จากการทำงานวิจัยในพื้นที่แต่ละแห่ง ล้วนแล้วแต่มีความหมายให้ทุกคนตระหนักถึงการยอมรับฟังเสียงอื่นที่แตกต่าง

หากพิจารณาแถลงการณ์อย่างละเอียดก็จะพบว่าไม่ได้มีถ้อยคำหรือความ ณ จุดใดเลยที่จะมองได้ว่าเป็นการ “ปลุกปั่น”, “ยุยง” หรือกล่าวว่าร้าย ความทั้งหมดมีเจตนาอย่างชัดเจนว่ามุ่งอธิบายให้แก่สังคมว่าการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยที่เหมาะสมควรจะเป็นอย่างไร เพื่อที่จะทำให้สังคมไทยก้าวหน้าไปได้ นักวิจัยทุกท่านในฐานะนักวิชาการที่ผูกพันตนอยู่กับสังคมจึงปรารถนาที่จะให้สังคมทั้งหมดเข้าใจ มองเห็นบทบาทและความหมายของวิชาการต่อสังคม และได้พร้อมใจกันร่วมแสดงความคิดเห็นผ่านแถลงการณ์ดังกล่าว

ข้อ 2. ความสำคัญของเสรีภาพทางวิชาการและความเชื่อมโยงกับงานวิจัย

ในฐานะของคณาจารย์ในมหาวิทยาลัย ซึ่งมีหน้าที่สร้างการเรียนรู้ รวมถึงการแสวงหาความงอกงามทางปัญญาให้กับสังคม เห็นว่าความสำคัญของเสรีภาพเป็นหัวใจสำคัญอันเนื่องมาจากความรู้เป็นสิ่งที่ไม่หยุดนิ่งและสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไม่สิ้นสุดอันนำมาซึ่งความรู้ใหม่ๆ ที่เท่าทันกับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างไปจากเดิม และเห็นว่าหลักการพื้นฐานของเสรีภาพมีความสำคัญต่อการสร้างความก้าวหน้าของสังคม ดังต่อไปนี้

ประการแรก “เสรีภาพ” เป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความงอกงามในทางความรู้ การแสดงความเห็นจากมุมมองหรือวิธีคิดที่แตกต่างบนพื้นฐานของการใช้เหตุผลและข้อเท็จจริง จะนำไปสู่ความเข้าใจใหม่ในเรื่องต่างๆ ซึ่งทำให้มนุษย์และสังคมมีความรู้และสติปัญญามากขึ้น สามารถจัดการปัญหาและเผชิญหน้ากับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การจัดการเรียนการสอนของคณาจารย์จำนวนมากในมหาวิทยาลัย จึงไม่ได้เป็นการสอนให้ท่องจำและยึดมั่นในวิธีคิดและอุดมการณ์แบบใดแบบหนึ่งโดยปราศจากการโต้แย้ง เพราะบทเรียนจากประวัติศาสตร์ทั้งในสังคมไทยและสังคมอื่นๆ ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าการปลูกฝังอุดมการณ์หรือ “ความเชื่อ” หนึ่งๆ เพื่อครอบงำสังคมหมายถึงการทำให้คนในสังคมยอมรับโครงสร้างอำนาจแบบใดแบบหนึ่งที่คนบางกลุ่มได้ประโยชน์ และอาจส่งผลให้มีการใช้ความรุนแรง หรือแม้กระทั่งการเข่นฆ่าผู้คนร่วมสังคมที่ปฏิเสธโครงสร้างอำนาจดังกล่าว ดังนั้น คณาจารย์จำนวนมากจึงเห็นว่าการทำให้เกิดทัศนะวิพากษ์หรือมุมมองที่แตกต่างเป็นเรื่องสำคัญยิ่งในสังคม เพื่อให้ผู้คนในสังคมสามารถคิดได้เอง และมีความเคารพตลอดจนความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจในผู้คนที่มีมุมมองแตกต่างจากตนเองอย่างแท้จริง

ประการที่สอง ในสังคมไทยยุคโลกาภิวัตน์ที่ชีวิตและความคิดของผู้คนมีความแตกต่างหลากหลาย การใช้อำนาจบังคับให้บุคคลต้องปฏิบัติไปในรูปแบบเดียวกัน อาจจะทำให้เกิดความสงบได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่ไม่สามารถนำพาสังคมไทยไปสู่ภาวะแห่งสันติสุขได้อย่างแท้จริง การสร้างความเห็นพ้องต้องกันในเรื่องต่างๆ รวมทั้งความชอบธรรมในการใช้อำนาจ จำเป็นต้องมีรากฐานอยู่บนการถกเถียงกันด้วยความรู้ เหตุผล และข้อเท็จจริง ในบรรยากาศของความเสมอภาคและเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย

ดังนั้น หากพิจารณาจากเนื้อหาทั้งหมดจากแถลงการณ์เรื่อง “เสรีภาพทางปัญญาของระบบการศึกษา” จึงเป็นการแสดงความคิดเห็นต่อเสรีภาพในการแสดงความเห็นในทางวิชาการ เสรีภาพในกระบวนการจัดการเรียนการสอน เสรีภาพในการถกเถียงและแลกเปลี่ยนกันด้วยเหตุผลระหว่างฝ่ายๆ ที่มีความเห็นแตกต่างกัน อันนับเป็นหลักการพื้นฐาน ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในโลกปัจจุบันและในมหาวิทยาลัย ซึ่งถือเป็นสถาบันการศึกษาเพื่อความงอกงามทางปัญญา การยืนยันถึงเสรีภาพของเหล่าคณาจารย์จึงเป็นการยืนยันถึงความชอบธรรมพื้นฐานที่ดำรงอยู่โดยทั่วไป ซึ่งได้รับการเคารพและยอมรับให้เป็นสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของประชาชนทุกกลุ่ม  

ข้อ 3. ข้าพเจ้าทั้งสอง ขอให้การว่า แถลงการณ์ของข้าฯและเครือข่ายอาจารย์มหาวิทยาลัย เรื่อง “เสรีภาพทางปัญญาของระบบการศึกษา” เป็นการใช้เสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ และไม่เป็นความผิดตามที่ถูกกล่าวหา

3.1  ข้าพเจ้าทั้งสอง  เห็นว่าการยืนยันข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยและชี้แจงต่อสังคมถึงหลักการดังกล่าวข้างต้น  อันเป็นการใช้เสรีภาพทางวิชาการตามปกติ  ซึ่งหากได้อ่านแถลงการณ์นี้อย่างไม่มีอคติย่อมสามารถเข้าใจเจตนาของข้าพเจ้าทั้งสองได้  เพราะได้เขียนชี้แจงถึงเหตุในการออกแถลงการณ์ไว้อย่างชัดเจน  และเนื้อหาในแถลงการณ์ก็เป็นความเห็นทางวิชาการเท่านั้น  ไม่มีเนื้อหาที่เป็นการยุยงปลุกปั่นให้บุคคลออกมาชุมนุมหรือมั่วสุมทางการเมืองอย่างชัดแจ้ง  เช่น ไม่มีเนื้อหาที่เรียกร้องให้ประชาชนออกมาชุมนุมทางการเมือง  ไม่มีเนื้อหาในเชิงการนัดหมายที่จะจัดการชุมนุมทางการเมืองเมื่อไหร่ อย่างไร  เป็นต้น

อีกทั้ง เนื้อหาตามแถลงการณ์ก็เป็นเพียงความเห็นทางวิชาการ  ที่คนทั่วไปในสังคมจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่วิจารณญาณและความคิดความเชื่อของแต่ละบุคคล  ซึ่งข้าพเจ้าทั้งสอง  หาได้เชิญชวนให้บุคคลต้องมาเชื่อตามแถลงการณ์เท่านั้นดังกล่าวไม่  และภายหลังการจัดแถลงการณ์ของข้าพเจ้าทั้งสอง  ก็ไม่มีการชุมนุมหรือมั่วสุมทางการเมืองของกลุ่มบุคคลใดที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากแถลงการณ์โดยตรงแต่อย่างใด

3.2   ข้าพเจ้าทั้งสอง เห็นว่าการแถลงการณ์ “เสรีภาพทางปัญญาของระบบการศึกษา” ไม่มีข้อเท็จจริงอันเป็นความผิดตามประกาศหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 3/2558   แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 5/2558  ข้อ 12 ประกอบข้อ 3 (4)

เนื่องจาก การแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะที่ข้าพเจ้าทั้งสอง  และเครือข่ายคณาจารย์มหาวิทยาลัยจัดขึ้น ไม่ใช่การมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมือง  แต่เป็นกิจกรรมทางวิชาการทั่ว ๆ ไป  ที่ถือเป็นธรรมเนียมและเป็นภารกิจที่สำคัญของนักวิชาการในสังคมไทยที่ต้องการสื่อสารต่อสังคม  ข้าพเจ้าทั้งสอง  ไม่ได้จัดให้มีการชุมนุมหรือเปิดให้บุคคลอื่นเข้าร่วมกิจกรรมแต่อย่างใด  อีกทั้งสถานที่จัดแถลงการณ์ก็เป็นสถานที่ปิดไม่ได้กระทำในที่สาธารณะ  การให้สื่อมวลชนรายงานข่าวก็เพื่อให้สังคมได้ทราบข้อเท็จจริงและความเห็นของข้าพเจ้าทั้งสอง  ในฐานะความเห็นทางวิชาการเท่านั้น  และภายหลังงานแถลงการณ์เสร็จสิ้นแล้วก็มิได้มีการดำเนินการอื่นใดที่ก่อให้เกิดความวุ่นวาย  และไม่มีการชุมนุมมั่วสุมใดๆ อันจะทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นในบ้านเมืองเกิดขึ้น  การกระทำของข้าพเจ้าทั้งสอง  จึงไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามที่ถูกกล่าวหา

หากกิจกรรมเช่นนี้ถูกตีความเป็นการมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองที่ผิดกฎหมาย  ก็ย่อมส่งผลให้กิจกรรมทางวิชาการจำนวนมากที่มีขึ้นเพื่อความงอกงามทางปัญญาและเพื่อแก้ไขปัญหาของสังคม เช่น การเสวนาวิชาการ  การประชุมวิชาการ การปาฐกถาทางวิชาการ การนำเสนองานวิจัย  การอบรมให้ความรู้ต่อชุมชนในเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย  เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและไม่อาจดำเนินการได้ด้วยเช่นกัน  หากเป็นเช่นนั้นย่อมสร้างความเสียหายต่อสังคมไทยทั้งในปัจจุบันและอนาคตอย่างไม่อาจประเมินค่าได้

3.3 ในขณะเกิดเหตุคดีนี้  ความผิดเรื่องการชุมนุมมั่วสุมทางการเมือง  ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 3/2558  ข้อ 12  ไม่มีผลใช้บังคับแล้ว  เนื่องจากมีการออกพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558  มาบังคับใช้ภายหลัง  อันเป็นผลให้มีการยกเลิกกฎหมายเก่า  ดังนั้น  ขณะเกิดเหตุคดีนี้จึงอยู่ภายใต้การบังคับของพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 และการกระทำของข้าพเจ้าทั้งสองก็ไม่ใช่ความผิดตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558

คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 3/2558  ข้อ 12  เรื่องการชุมนุมและพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558  มีเนื้อหาเกี่ยวกับการชุมนุมเหมือนกัน  เนื่องจากเป็นการออกกฎหมายโดยรัฐเพื่อจำกัดเสรีภาพในการชุมนุมเหมือนกัน  จึงเป็นกรณีที่มีการออกกฎหมายใหม่ยกเลิกกฎหมายเก่า

การจัดแถลงการณ์จัดขึ้นในโรงแรม IBIS  ซึ่งเป็นทรัพย์สินของเอกชน  และไม่ใช่ที่สาธารณะตามคำนิยามในมาตรา 4 ของพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ  พ.ศ. 2558  ดังนั้น  การกระทำของข้าพเจ้าทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.  2558

ข้อ 4. การกระทำของข้าพเจ้าทั้งสอง  เป็นการใช้เสรีภาพในการแสดงออกซึ่งได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง  แห่งสหประชาชาติ  ที่ประเทศได้ลงนามเป็นภาคีมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม 

เสรีภาพในการแสดงออก  และการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ  ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2492  เรื่อยมาจนถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557  มาตรา  4  ที่ว่า สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว โดยประเทศไทยเป็นภาคีกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง  แห่งองค์การสหประชาชาติ  นับแต่ปี พ.ศ. 2539 ทำให้ประเทศไทยมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตามกติการะหว่างประเทศดังกล่าว

ข้อ 5.  หากพิจารณาเปรียบเทียบกับความหมายของการชุมนุมสาธารณะที่ปรากฏขึ้นในต่างประเทศก็จะพบว่าความหมายของการชุมนุมสาธารณะนั้นมีสาระสำคัญ คือ ต้องเป็นการชุมนุมในพื้นที่สาธารณะและเปิดโอกาสให้ผู้คนสามารถเข้าร่วมได้อย่างกว้างขวาง อันมีความมีแตกต่างอย่างสำคัญกับการแถลงการณ์ของเครือข่ายคณาจารย์

ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้นข้าพเจ้าทั้งสอง ขอยืนว่าการกระทำของข้าพเจ้าทั้งสอง เป็นการแสดงออกทางของเสรีภาพทางวิชาการอย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้เกิดสันติและความสงบสุขในสังคม เป็นการกระทำที่เป็นไปตามความมุ่งหมายของกฎหมายและรัฐธรรมนูญ และเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริตอันเป็นการส่งเสริมประบอบประชาธิปไตย เป็นส่วนหนึ่งของการลดสภาวะความตึงเครียดในสังคม ส่งเสริมบรรยากาศแห่งการปรองดอง จึงขอให้พนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดีข้าพเจ้าทั้งสองอันสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ กฎหมาย  และพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net