25 ธ.ค. 2558 มูลนิธิผสานวัฒนธรรมแจ้งข่าวว่า คดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 2 ภาค 9 เป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญากับเยาวชนไทยพุทธคนหนึ่งต่อศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนราธิวาส ในคดีหมายเลขดำที่ 143/2558 ในข้อหา “สมคบกันก่อการร้าย ร่วมกันก่อการร้ายโดยการสะสมกำลังพลอาวุธ อั้งยี่ ซ่องโจร ร่วมกันมีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ร่วมกันมีเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย ร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง ร่วมกันมียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย” ซึ่งกำหนดนัดสืบพยานโจทก์และจำเลยนัดสุดท้ายเมื่อวันที่ 24 ธ.ค. ที่ผ่านมา
โดยในการสืบพยานโจทก์ช่วงเช้า พนักงานอัยการฯ นำพนักงานสอบสวนชุดตรวจสถานที่เกิดเหตุเข้าสืบพยานจำนวน 2 ปาก โดยมีการกล่าวอ้างว่าเข้าเก็บวัตถุพยานที่เกิดเหตุในวันเกิดเหตุ ซึ่งมีวัตถุพยานจำนวนหลายรายการ และได้ส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ทำการตรวจพิสูจน์ผู้ก่อเหตุต่อไป ส่วนช่วงบ่ายวันนี้เป็นการสืบพยานจำเลย โดยจำเลยอ้างตนเองเป็นพยาน และได้นำเอกสารผลการตรวจสารพันธุกรรม(DNA) ซึ่งเป็นข้อมูลผลการตรวจในฐานข้อมูลจากศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 ปรากฏว่า ผลสารพันธุกรรมของจำเลยดังกล่าวไม่เป็นแบบเดียวกันกับสารพันธุกรรมที่พบในวัตถุพยานที่โจทก์กล่าวอ้าง
สำหรับการสือบพยานวันที่ 24 ธ.ค.ที่ผ่านมานั้น คดีเสร็จสิ้นการพิจารณา ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนราธิวาสนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 26 ม.ค. 2559เวลา 9.00 น.
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่าคดีนี้จำเลยปฏิเสธข้อกล่าวหามาโดยตลอดว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีความมั่นคงแบ่งแยกดินแดน อีกทั้งจำเลยไม่เคยเข้าไปในพื้นที่เขาตะเว บ.บือแจง ม.4 ต.บองอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส จึงเป็นเหตุให้จำเลยขอข้อมูลผลการตรวจสารพันธุกรรมของจำเลยซึ่งมีอยู่ในฐานข้อมูลศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับสารพันธุกรรมที่พบจากวัตถุพยานในที่เกิดเหตุ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของจำเลยดังกล่าว
