คำพิพากษาศาลชั้นต้นคดีฆาตกรรมเกาะเต่า [ฉบับเต็ม]

ฉบับเต็มของคำพิพากษาศาลชั้นต้น อ่านเมื่อ 24 ธ.ค. 2558 คดีความผิดต่อชีวิต ข่มขืนกระทำชำเรา ลักทรัพย์ ความผิดต่อพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง กรณีฆาตกรรม 2 นักท่องเที่ยวจากสหราชอาณาจักร หรือ คดีฆาตกรรมเกาะเต่า

000

เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดเกาะสมุย อ่านคำพิพากษาคดี ฆาตกรรม นางสาว ฮันนาห์ วิธเธอริดจ์ วัย 23 ปี และนายเดวิด มิลเลอร์ วัย 24 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ที่เกาะเต่า อ.เกาะพงัน จ.สุราษฎร์ธานี ประเทศไทย เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2557 โดยคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ได้ตัดสินประหารชีวิต นายซอ ลิน จำเลยที่ 1 และ นาย เว พิว จำเลยที่ 2 โดยรายละเอียดของคำพิพากษาศาลชั้นต้นมีรายละเอียดดังนี้

คำพิพากษาในเอกสาร PDF (จำนวน 63 หน้า)

000

คำพิพากษาฉบับพิมพ์ (หมายเหตุ: ตัวเลขในวงเล็บคือเลขหน้าของเอกสาร)

(1)

ศาลจังหวัดเกาะสมุย วันที่ 24 ธันวาคม พุทธศักราช 2558

ความอาญา ระหว่าง พนักงานอัยการจังหวัดเกาะสมุย โจทก์ กับนายซอ ลิน หรือ โซเรน ไม่มีนามสกุล จำเลยที่ 1 นายเว พิว หรือวิน ไม่มีนามสกุล จำเลยที่ 2

เรื่อง ความผิดต่อชีวิต ข่มขืนกระทำชำเรา ลักทรัพย์ ความผิดต่อพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ เมื่อประมาณต้นปี 2554 ถึงกลางปี 2555 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุคคลต่างด้าวสัญชาติพม่า ลักลอบเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ทางด้านชายแดนตำบลและอำเภอใดไม่ปรากฏชัด จังหวัดระนอง ซึ่งมิได้เดินทางเข้ามาตามช่องทาง ด่านตรวจคนเข้าเมือง

 

(2)

เขต ท่า สถานี และช่องทางให้บุคคลเข้ามาหรือออกไปนอกราชอาณาจักร ไม่ผ่านการอนุญาตจากเจ้าพนักงานประจำเส้นทาง และไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางอันถูกต้อง อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ภายหลังจำเลยที่ 1 หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมายแล้ว จนถึงวันที่ 3 ตุลาคม 2557 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงคืนต่อเนื่องกันตลอดมา จำเลยที่ 1 ได้พักอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทย บริเวณแคมป์พักคนงานบ้านโฉลก ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เหตุเกิดที่ตำบลและอำเภอใดไม่ปรากฏชัด จังหวัดระนอง และตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เกี่ยวพันกัน เมื่อประมาณกลางปี 2555 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลต่างด้าวสัญชาติพม่า ลักลอบเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ทางด้านชายแดนตำบลและอำเภอใดไม่ปรากฏชัด จังหวัดระนอง ซึ่งมิได้เดินทางเข้ามาตามช่องทาง ด่านตรวจคนเข้าเมือง เขต ท่า สถานี และช่องทางให้บุคคลเข้ามาหรือออกไปนอกราชอาณาจักร ไม่ผ่านการอนุญาตจากเจ้าพนักงานประจำเส้นทาง และไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางอันถูกต้อง อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย

 

(3)

ภายหลังจำเลยที่ 2 หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมายแล้ว จนถึงวันที่ 1 ตุลาคม 2557 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 2 ได้พักอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทย บริเวณแคมป์พักคนงานบ้านโฉลก ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เหตุเกิดที่ตำบลและอำเภอใดไม่ปรากฏชัด จังหวัดระนอง และตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เกี่ยวพันกัน ต่อมาเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2557 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยทั้งสองโดยมีเจตนาฆ่านายเดวิด วิลเลี่ยม มิลเลอร์ (MR.DAVID WILLIAM MILLER) ได้ร่วมกันใช้จอบ 1 ด้าม เป็นอาวุธตีและฟันทำอันตรายต่อชีวิตนายเดวิดหลายครั้ง ถูกที่บริเวณศีรษะและใบหน้า เป็นเหตุให้นายเดวิดถึงแก่ความตาย และจำเลยทั้งสองร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรานางสาวฮันน่าห์ วิคตอเรีย วิทเทอร์ริคจ์ หรือ ฮันน่าห์ วิคเตอเรีย วิทเธอริดจ์ (MISS.HANNAH VICTORIA WITTHERIDGE) โดยร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย จับ กอดรัดลำตัว ใช้มือชกต่อใบหน้าและร่างกาย และใช้จอบเป็นอาวุธตีทำร้ายนางสาวฮันน่าห์ ถูกบริเวณร่างกาย เป็นเหตุให้นางสาวฮันน่าห์สลบไปไม่รู้สึกตัวและอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ แล้วจำเลยทั้งสองร่วมกันผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนใช้อวัยวะเพศของจำเลยทั้งสอง

 

(4)

สอดใส่ล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศและทวารหนักของนางสาวฮันน่าห์จนสำเร็จความใคร่อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง แล้วจำเลยทั้งสองร่วมกันฆ่านางสาวฮันน่าห์ให้ถึงแก่ความตายเพื่อปกปิดความผิดอื่นของจำเลยทั้งสองที่ได้ร่วมกันฆ่านางสาวฮันน่าห์ให้ถึงแก่ความตายเพื่อปกปิดความผิดอื่นของจำเลยทั้งสองที่ได้ร่วมกันฆ่านายเดวิดและร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรานางสาวฮันน่าห์ เพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาที่ตนได้กระทำไว้ โดยร่วมกันใช้จอบเป็นอาวุธตีและฟันทำอันตรายต่อชีวิตนางสาวฮันน่าห์หลายครั้งถูกบริเวณใบหน้าและศีรษะ เป็นเหตุให้นางสาวฮันน่าห์ถึงแก่ความตาย จากนั้นจำเลยที่ 2 ลักเอาโทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง ราคา 15,000 บาท และแว่นตากันแดด 1 อัน ราคา 1,000 บาท ของนายเดวิด ไปโดยทุจริต เหตุเกิดที่ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี วันที่ 3 ตุลาคม 2557 เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยทั้งสองตามหมายจับ พร้อมยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง และจอบ 1 ด้าม เป็นของกลาง โทรศัพท์เคลื่อนที่และจอบของกลาง เจ้าพนักงานเก็บรักษาไว้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 276, 288, 289, 334, 335 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 5, 7, 11, 12, 18, 58, 62, 81 ให้จำเลยที่ 2 คืนหรือชดใช้ราคาทรัพย์โทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง ราคา 15,000 บาท และแว่นตากันแดด 1 อัน ราคา 1,000 บาท ที่ยัง

 

(5)

ไม่ได้คืนแก่ทายาทของนายเดวิดผู้ตาย กับให้คืนโทรศัพท์เคลื่อนที่และจอบของกลางแก่เจ้าของ

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่เมื่อสืบพยามโจทก์เสร็จแล้ว จำเลยที่ 2 กลับให้การรับสารภาพข้อหาเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางและเวลาตามกฎหมาย ข้อหาเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่มีหนังสือเดินทางและมิได้รับอนญาตตามกฎหมายและเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านการตรวจของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมือง มิได้ยื่นรายการตามแบบที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย กับข้อหาเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต

ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า วันที่ 15 กันยายน 2557 เวลา 6 นาฬิกาเศษ ร้อยตำรวจโท จักรพันธ์ แก้วขาว พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเกาะพงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าหน่วยบริการประชาชนตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพงัน ได้รับแจ้งจากนายมนตรีวัฒน์ ตู้วิเชียร ว่าพบว่าศพชาวต่างชาติ 2 ศพ บริเวณโขดหินที่ชายหาดทรายรี หมู่ที่ 1 ตำบลเกาะเต่า จึงเดินทางไปตรวจที่เกิดเหตุ พบศพชาวต่างชาติ 2 ศพ อยู่บริเวณโขดหินใกล้ลาน

 

(6)

พระบรมรูปรัชกาลที่ 5 ตรวจสอบข้อมูลจากเพื่อนชาวต่างชาติทราบว่าผู้ตายทั้งสองคือ นายเดวิด วิลเลี่ยม มิลเลอร์ (MR.DAVID WILLIAM MILLER) ผู้ตายที่ 1 และนางสาวฮันน่าห์ วิคตอเรีย วิทเทอร์ริคจ์ หรือ ฮันน่าห์ วิคเตอเรีย วิทเธอริดจ์ (MISS.HANNAH VICTORIA WITHERIDGE) ผู้ตายที่ 2 ผู้ตายทั้งสองเป็นคนสัญชาติอังกฤษซึ่งเดินทางมาท่องเที่ยวที่เกาะเต่าช่วงก่อนเกิดเหตุ ตามหนังสือเดินทาง เอกสารหมาย จ.64 สภาพศพผู้ตายที่ 1 เปลือยกาย ลอยอยู่ในน้ำทะเลริมชายหาด  ถัดไปด้านทิศใต้ประมาณ 12 เมตร พบศพผู้ตายที่ 2 บนชายหาดในสภาพเสื้อและกระโปรงถูกถลกมาอยู่ที่เอว มีร่องรอยถูกล่วงละเมิดทางเพศ ศีรษะและใบหน้าของผู้ตายทั้งสองมีบาดแผลฉกรรจ์ จากการถูกวัตถุของแข็งทุบตีและฟันอย่างรุนแรงหลายแผล โขดหินที่พบศพผู้ตายที่ 2 มีคราบโลหิตและเศษชิ้นเนื้อกระเซ็นติดอยู่จำนวนมาก พบมีคราบโลหิตไหลเปื้อนบนพื้นทรายเป็นวงกว้างและมีกองเสื้อผ้าซึ่งเชื่อว่าเป็นของผู้ตายทั้งสองวางอยู่บนโขดหินในที่เกิดเหตุ ตามบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุ เอกสารหมาย จ.9 ร้อยตำรวจโท จักรพันธ์รายงาน พันตำรวจโท ประชุม เรืองทอง ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเกาะพงัน และแจ้งให้นายแพทย์ชสิทธิ์ อยู่หัตถ์ แพทย์ประจำโรงพยาบาลเกาะเต่าการแพทย์ มาร่วมชันสูตรพลิกศพผู้ตายทั้งสอง จากนั้นประสาน

 

(7)

ให้เจ้าพนักงานศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 8 จังหวัดสุราษฎร์ธานี มาร่วมตรวจสถานที่เกิดเหตุและเก็บวัตถุพยานในที่เกิดเหตุส่งตรวจพิสูจน์ โดยกั้นเขตแนวรอบที่เกิดเหตุเป็นวงกว้างครอบคลุมไปถึงจุดที่ตั้งขอนไม้แห้งบริเวณใต้ต้นสน เนื่องจากขณะนั้นน้ำทะเลกำลังขึ้นสูงมาถึงที่เกิดเหตุจึงจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายศพผู้ตายที่ 1 ขึ้นจากน้ำทะเล และย้ายศพผู้ตายที่ 2 มาไว้บนเนินทรายที่น้ำทะเลท่วมไม่ถึง โดยการเคลื่อนย้ายศพได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าพนักงานศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 8 จากนั้น ร้อยตำรวจโท จักรพันธ์ และพันตำรวจโท สมศักดิ์ หนูรอด พนักงานสอบสวน ร่วมกับแพทย์ทำการชันสูตรพลิกศพผู้ตายทั้งสองในเบื้องต้น พบผู้ตายทั้งสองถูกทำร้ายบริเวณศีรษะและใบหน้า ทั้งยังพบรอยช้ำบริเวณปากช่องคลอดที่ศพผู้ตายที่ 2 แพทย์แนะนำให้ส่งศพผู้ตายทั้งสองไปตรวจพิสูจน์ทางนิติเวชต่อไป โดยจัดทำรายงานการชันสูตรพลิกศพไว้ ตามเอกสารหมายเลข จ.21 ต่อมาได้ร่วมกับพันตำรวจตรีประสงค์ สาตร์ประเสริฐ เจ้าพนักงานตำรวจศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 8 ตรวจเก็บหลักฐานและวัตถุพยานในที่เกิดเหตุ พบก้นบุหรี่ 3 ชิ้น ถุงยางอนามัยใช้แล้ว 1 ชิ้น รองเท้าฟองน้ำแบบหูคีบสีดำข้างขวา 1 ข้าง ถุงพลาสติกและจอบด้ามไม้ 1 ด้าม ซึ่งเปื้อนคราบโลหิตวางอยู่บริเวณขอนไม้แห้งและบริเวณใต้ต้นสน จึงตรวจยึดเป็นของกลาง และทำการตรวจเก็บ

 

(8)

สารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ (DNA) จากคราบโลหิตของผู้ตายทั้งสองและจากวัตถุพยานของกลางส่งไปตรวจพิสูจน์ที่กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามบัญชีของกลางคดีอาญา เอกสารหมาย จ.28 แผ่นที่ 5 ถึง 7 ภายหลังชันสูตรพลิกศพผู้ตายทั้งสองเสร็จสิ้น พันตำรวจโท สมศักดิ์ ทำหนังสือนำส่งศพผู้ตายทั้งสองไปผ่าพิสูจน์เพื่อหาสาเหตุการตายและหาวัตถุพยานในตัวศพที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามบันทึกข้อความเอกสารหมาย จ.58 ร้อยตำรวจโท จักรพันธ์ ส่งมอบสำนวนการสอบสวนให้ พันตำรวจโท สมศักดิ์ ตามระเบียบเนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์ ต่อมากองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 มีคำสั่งแต่งตั้งกองอำนวยการร่วมตำรวจภูธรภาค 8 สืบสวนและสอบสวนเพื่อคลี่คลายคดี โดยแต่งตั้งร้อยตำรวจโทจักรพันธ์เป็นคณะพนักงานสอบสวนด้วย ตามสำเนาคำสั่งแต่งตั้ง เอกสารหมาย จ.39 สถาบันนิติเวชวิทยาได้รับศพผู้ตายทั้งสองในวันที่ 16 กันยายน 2557 พันตำรวจเอก นายแพทย์ ภวัต ประทีปวิศรุต  รองผู้บังคับการสถาบันนิติเวชวิทยา ทำการตรวจศพผู้ตายทั้งสอง การตรวจศพผู้ตายที่ 1 พบบาดแผลฉีกขาดขอบไม่เรียบ แนวเฉียงที่หนังศีรษะหลังขวาส่วนบน 2 แผล บาดแผลฉีกขาดไม่เรียบบริเวณขมับซ้ายและขวา บาดแผลฉีกขาดขอบไม่เรียบบริเวณ

 

(9)

โหนกแก้มขวา กระดูกโหนกแก้ม เบ้าตา และขากรรไกรบน แตกยุบผิดรูป พบน้ำในช่องอกทั้งสองด้าน ระบุสาเหตุการตายว่า บาดเจ็บที่ศรีษะจากของแข็งไม่มีคมร่วมกับจมน้ำ ส่วนศพผู้ตายที่ 2 พบบาดแผลฉีกขาดขอบไม่เรียบที่บริเวณศีรษะ ใบหน้าด้านซ้ายและด้านขวา ลึกถึงฐานสมอง กระดูกหน้าผาก เบ้าตาซ้ายและขวาแตกยุบผิดรูป กระดูกขากรรไกรบนล่างแตกหักผิดรูป พบบาดแผลฉีกขาดมุมล่างปากช่องคลอง ขนาด 0.5 X 0.5 เซนติเมตร แผลถลอกปริฝีเย็บถึงทวารหนัก ขนาด 1.5 X 1 เซนติเมตร และรอยคล้ายรอยกัดดูดลานหัวนมขวา ระบุสาเหตุการตายว่าบาดเจ็บรุนแรงที่ศีรษะจากของแข็งไม่มีคม พร้อมกับมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ถูกทำร้ายทางเพศ ชำเราทางอวัยวะเพศและทวารหนัก จึงทำการตรวจเก็บหาอสุจิและส่วนประกอบของน้ำอสุจิด้วยิวธีใช้ก้านไม้พันสำลีป้ายเก็บน้ำเมือกจากช่องคลอด น้ำเมือกจากทวารหนัก และน้ำลายบริเวณหัวนม ส่งให้กลุ่มงานตรวจเลือดชีวเคมีและเขม่าดินปืน ซึ่งมีพันตำรวจเอกวาที อัศวุตมางกุร เป็นหัวหน้ากลุ่มงานทำการตรวจพิสูจน์ ต่อมาได้รับแจ้งผลการตรวจพิสูจน์ว่าพบสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ (DNA) ของบุคคลมากกว่า 1 คน จากไม้พันสำลีป้ายเก็บจากหัวนมข้างขวา ช่องคลอด และทวารหนักของผู้ตายที่ 2 จึงเก็บไว้เป็นหลักฐานเพื่อรอการตรวจเปรียบเทียบ ตามรายงาน

 

(10)

การตรวจศพและใบส่งตรวจหาสารพันธุกรรม เอกสารหมาย จ.22 และ จ.24 เมื่อกองพิสูจน์ หลักฐานกลางได้รับวัตถุพยานของกลางแล้ว พันตำรวจโทหญิงเกวลี จันทร์พันธุ์ เจ้าพนักงานกองพิสูจน์หลักฐานกลาง ทำการตรวจพิสูจน์คราบโลหิตผู้ตายทั้งสองและวัตถุพยานของกลาง ผลการตรวจพิสูจน์และการตรวจเปรียบทียบ พบดีเอ็นเอที่จอบของกลางตรงกับดีเอ็นเอของผู้ตายทั้งสอง พบดีเอ็นเอที่ด้านในของถุงยางอนามัยตรงกับดีเอ็นเอของผู้ตายที่ 2 และพบดีเอ็นเอของบุคคลมากกว่า 1 คน ติดอยู่ที่ก้นบุหรี่ของกลาง ตามรายานการตรวจพิสูจน์ เอกสารหมายเลข จ.11 ภายหลังมีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานแล้ว พันตำรวจเอกเชิดพงษ์ ชิวปรีชา เจ้าพนักงานตำรวจฝ่ายสืบสวนเริ่มสืบสวนหาข้อมูลจากกล้องวงจรปิดบริเวณใกล้เคียงที่เกิดเหตุและนำบุคคลที่พักอาศัยและทำงานอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ รวมทั้งลูกเรือประมง มาทำการตรวจเก็บดีเอ็นเอเพื่อส่งไปตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอของคนร้าย เมื่อนำดีเอ็นเอของคนร้ายไปตรวจสอบกับฐานข้อมูลที่ได้รับแจ้งว่าคนร้ายน่าจะเป็นคนชาวเอเชีย เจ้าพนักงานฝ่ายสืบสวนจึงมุ่งประเด็นตรวจสอบและตรวจเก็บดีเอ็นเอเฉพาะผู้ชายชาวเอเชีย เมื่อตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุ จะเห็นได้ว่าผู้ตายที่ 1 พกโทรศัพท์เคลื่อนที่และแว่นตากันแดดติดตัวอยู่ในช่วงเวลาก่อนเสียชีวิต ตาม

 

(11)

ภาพจากกล้องวงจรปิดปรากฏภาพผู้ตายที่ 2 กับเพื่อนเดินเข้าไปในร้ายเอซีบาร์ (AC BAR) ในเวลา 0.15 นาฬิกา ส่วนผู้ตายที่ 1 เดินเข้าไปในร้านเอซีบาร์ ในเวลา 2.08.37 นาฬิกา หลังจากนั้นไม่ปรากฏภาพผู้ตายทั้งสองเดินออกจากร้านดังกล่าวอีกจนกระทั่งพบศพผู้ตายทั้งสอง ทำให้เชื่อได้ว่าผู้ตายทั้งสองน่าจะออกด้านหลังร้านและเดินไปตามชายหาดเพื่อไปยังที่เกิดเหตุ ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่าเหตุฆาตกรรมน่าจะเกิดในช่วงเวลาระหว่าง 2.15 นาฬิกา ถึง 5 นาฬิกา จากการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดในช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุ พบจำเลยทั้งสองกับเพื่อนชื่อ นายเมา เมา นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มาด้วยกัน พร้อมกับถือกีตาร์ของกลางไปแวะซื้อเบียร์และบุหรี่ที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุแล้วขับรถจักรยานยนต์มุ่งหน้าไปที่เกิดเหตุ นอกจากนี้ภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณหน้าร้านกู๊ดเฮลท์และร้านอินทัช ซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุก็บันทึกภาพผู้ชายต้องสงสัยถอดเสื้อวิ่งผ่านไปมาไว้ได้ ตามเอกสารหมาย จ.46 แผ่นที่ 19 ถึงแผ่นที่ 22 ตรวจสอบภาพผู้ชายต้องสงสัยปรากฏว่าไม่ได้วิ่งผ่านไปบริเวณหน้าร้านเอซี ทู (AC 2) ซึ่งจะมีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่ คงเห็นเพียงเงาของคนวิ่งตัดเข้าเส้นทางลัดที่สามารถผ่านไปยังบ้านพักของนายเมา เมาได้ วันที่ 1 ตุลาคม 2557 พันตำรวจเอกเชิดพงษ์กับพวกเชิญตัว

 

(12)

นายเมา เมา มาซักถามข้อมูลได้ความว่า ก่อนเกิดเหตุนายเมา เมากับจำเลยทั้งสองชักชวนกันไปนั่งเล่นกีตาร์ ดื่มเบียร์และสูบบุหรี่บริเวณขอนไม้แห้งใต้ต้นสน ต่อมานายเมา เมา ขอแลกเสื้อกับจำเลยที่ 2 และขอยืมรถจักรยานยนต์ขับไปบ้านเพื่อนสาว เมื่อกลับมาถึงบ้านพักก็พบจำเลยทั้งสองนอนหลับอยู่ พันตำรวจเอกเชิดพงษ์ให้นายเมา เมาพาไปพบจำเลยทั้งสองที่บ้านพัก เมื่อไปถึงพบแต่จำเลยที่ 1 เพียงคนเดียว จากการสอบถาม จำเลยที่ 1 ไม่มีหนังสือเดินทางมาแสดงและยอมรับว่าหลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักร จึงควบคุมตัวจำเลยที่ 1 พร้อมยึดเสื้อผ้าและรถจักรยานยนต์คันที่ขับในคืนเกิดเหตุมาทำการตรวจสอบและซักถามข้อมูลเบื้องต้นจากจำเลยที่ 1 โดยผ่านล่ามภาษาพม่าชื่อ นายกมล อูซอน ตามเอกสารหมาย จ.52 ต่อมาแจ้งข้อหาแก่ จำเลยที่ 1 ว่า เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามบันทึกการจับกุม เอกสารหมาย จ.36 ในส่วนจำเลยที่ 2 ได้ข้อมูลว่ากำลังลงเรือนอนโดยสารออกจากเกาะเต่าและจะขึ้นฝั่งที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในเวลาประมาณ 6 นาฬิกา ของวันที่ 2 ตุลาคม 2557 จึงประสานงานให้เจ้าพนักงานฝ่ายสืบสวนจังหวัดสุราษฎร์ธานี ไปตรวจสอบ พบจำเลยที่ 2 ซุกซ่อนตัวอยู่บนเรือนอนโดยสาร จึงถ่ายภาพจำเลยที่ 2 ส่งมาให้นายเมา เมาดู เมื่อดู

 

(13)

แล้วนายเมา เมายืนยันว่าจำเลยที่ 2 ร่วมไปนั่งดื่มเบียร์ที่ขอนไม้แห้งในคืนเกิดเหตุ จากการสอบถามจำเลยที่ 2 รับว่าไม่มีหนังสือเดินทางจึงควบคุมตัวเพื่อตรวจสอบและนำไปซักถามข้อมูลเบื้องต้นผ่านล่ามภาษาพม่าชื่อนายเมียจนาง ไม่มีนามสกุล ต่อมาแจ้งข้อหาแก่จำเลยที่ 2 ว่า เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามบันทึกจับกุม เอกสารหมาย จ.36 แผ่นที่ 3 ขณะควบคุมตัวจำเลยทั้งสองเจ้าพนักงานตำรวจขอตรวจเก็บเนื้อเยื่อกระพุ้งแก้มของจำเลยทั้งสองเพื่อส่งไปตรวจหาดีเอ็นเอ เปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของคนร้ายที่พบในศพผู้ตายที่ 2 จำเลยทั้งสองยินยอมให้ตรวจเก็บดีเอ็นเอตามหนังสือยินยอมให้เก็บตัวอย่างสารพันธุกรรม (DNA) และหนังสือนำส่งของกลางไปตรวจพิสูจน์เอกสารหมาย จ.18 จ.19 และภาพถ่ายประกอบคดี หมาย จ.47 และ จ.48 จากนั้นได้นำจำเลยที่ 2 ไปซักถามข้อมูลเบื้องต้นที่ตำรวจภูธรภาค 8 จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพผ่านล่ามว่าร่วมกับจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายทั้งสองและข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 อธิบายขั้นตอนขณะลงมือก่อเหตุโดยแสดงท่าทางประกอบ ปรากฏตามภาพถ่ายหมาย จ.33 และภาพเคลื่อนไหวแผ่นวีซีดี (VCD) หมาย วจ.20 พันตำรวจโทณัฐพงษ์ ร่มไทร และพันตำรวจเอกวิชอบ เกิดเกลี้ยง

 

(14)

เจ้าพนักงานคณะพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำจำเลยที่ 2 ไว้ในฐานะเป็นพยานเนื่องจากขณะนั้นยังต้องรอผลการตรวจดีเอ็นเอของจำเลยทั้งสองเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของคนร้าย จำเลยที่ 2 ยังให้การรับว่าหยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปจากที่เกิดเหตุแล้วนำไปฝากไว้กับเพื่อนชื่อนายเรน เรน ส่วนแว่นตากันแดดได้ทุบและโยนทิ้งไปแล้ว ตามบันทึกคำให้การของจำเลยที่ 2 ในฐานะพยาน เอกสารหมาย จ.51 แผ่นที่ 1 ถึงแผ่นที่ 4 นอกจากนี้จำเลยที่ 2 ยังยอมรับว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุคคลคนเดียวกับชายผู้ต้องสงสัยในภาพจากกล้องวงจรปิดและลงลายมือชื่อรับรองภาพไว้ ตามเอกสารหาย จ.56 เมื่อได้ข้อมูลดังกล่าวแล้วเจ้าพนักงานฝ่ายสืบสวนบนเกาะเต่าจึงไปตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่จำเลยที่ 2 ให้การไว้ จนพบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ตายที่ 1 ในสภาพถูกทุบแตกเสียหายอยู่ในพงหญ้าบริเวณหลังบ้านนายเรน เรน จึงยึดเป็นของกลางและนำส่งให้ทำการตรวจสอบ ตามบัญชีทรัพย์ถูกประทุษร้ายและรายงานการตรวจสอบวัตถุพยาน เอกสารหมาย จ.29 และ จ.30 พันตำรวจเอกกฤษณะ พัฒนเจริญ ตรวจสอบหมายเลขประจำเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง โดยประสานงานผ่านเจ้าพนักงานของสถานทูตอังกฤษประจำประเทศไทย นำข้อมูลที่ได้รับมาฟังประกอบคำให้การของนายคริสโตเฟอร์ อลันแวร์ เพื่อนของผู้ตายที่ 1 จนสามารถยืนยันได้ว่า

 

(15)

โทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางเป็นของผู้ตายที่ 1 จริง ตามบันทึกคำให้การ เอกสารหมาย จ.55 ในวันเดียวกันนั้นเอง จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพว่าร่วมกับจำเลยที่ 2 ลงมือก่อเหตุในคดีนี้ พันตำรวจโทสมศักดิ์ และพันตำรวจโททนงศักดิ์ อักษรสม พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำจำเลยที่ 1 ไว้ในฐานะเป็นพยาน ตามบันทึกคำให้การของจำเลยที่ 1 ในฐานะพยาน เอกสารหมาย จ.50 แผ่นที่ 1 ถึงแผ่นที่ 3 ต่อมาได้รับแจ้งผลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอของจำเลยทั้งสองว่าตรงกับดีเอ็นเอของคนร้ายและตรงกับวัตถุพยานในที่เกิดเหตุ พันตำรวจโทสมศักดิ์มีหนังสือส่งประเด็นไปให้พนักงานสอบสวน กองบังคับการสอบสวน กองบัญชาการตำรวจแห่งชาติ ช่วยสอบปากคำ ผู้ตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบดีเอ็นเอไว้เป็นหลักฐาน เพื่อนำมาประกอบคำร้องขอออกหมายจับจำเลยทั้งสองในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้นั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ศาลพิจารณาออกหมายจับจำเลยทั้งสองในช่วงเช้าของวันที่ 3 ตุลาคม 2557 ตามคำร้องขอออกหมายจับและสำเนาหมายจับ เอกสารหมาย จ.35 นอกจากนี้ในเช้าวันเดียวกัน

 

(16)

เจ้าพนักงานตำรวจฝ่ายสืบสวนได้ควบคุมตัวจำเลยที่ 2 มาที่เกาะเต่าเพื่อจะแจ้งข้อหาตามหมายจับแก่จำเลยทั้งสอง แต่เนื่องจากทนายความที่พนักงานสอบสวนประสานให้มาเข้าฟังการสอบปากคำผู้ต้องหายังเดินทางมาไม่ถึง ประกอบกับน้ำทะเลกำลังขึ้นสูงใกล้จะถึงที่เกิดเหตุซึ่งจะทำให้ไม่สามารถนำจำเลยทั้งสองไปทำแผนนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพได้ พนักงานสอบสวนจึงนำจำเลยทั้งสองไปทำแผนนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพไว้ก่อน โดยมีนายกมล และนายเมียจนางทำหน้าที่เป็นล่ามแปลภาษาพม่าให้จำเลยทั้งสอง ตามภาพถ่ายการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ เอกสารหมาย จ.32 หลังจากนั้นพันตำรวจโททนงศักดิ์แจ้งสิทธิและข้อหาแก่จำเลยทั้งสองตามหมายจับผ่านล่ามภาษาพม่าต่อหน้าทนายความ และแจ้งข้อหาเพิ่มเติมอีกว่า เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางด่านตรวจคนเข้าเมือง และอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยทั้งสองเข้าใจข้อหาและให้การรับสารภาพทุกข้อหา ตามบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาและบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.37 จ.50 แผ่นที่ 4 ถึงแผ่นที่ 6 และเอกสารหมาย จ.51 แผ่นที่ 5 ถึงแผ่นที่ 7 ภายหลังสอบคำให้การจำเลยทั้งสองเสร็จสิ้น พนักงานสอบสวนจัดให้นายแพทย์ชสิทธิ์มาทำการ

 

(17)

ตรวจร่างกายจำเลยทั้งสองไว้เป็นหลักฐาน ผลการตรวจไม่ปรากฏจำเลยทั้งสองถูกทำร้ายหรือได้รับบาดเจ็บใดๆ ตามบันทึกคำให้การและภาพถ่าย เอกสารหมาย จ.40 และ จ.68 วันที่ 10 ตุลาคม 2557 พันตำรวจโททนงศักดิ์ แจ้งข้อหาเพิ่มเติมแก่จำเลยทั้งสองผ่านล่ามแปลภาษาพม่า ชื่อนายเตียงไข่ และต่อหน้าทนายความว่า ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยมีเจตนาเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ จำเลยทั้งสองเข้าใจข้อหาและให้การรับสารภาพ ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.50 แผ่นที่ 7 และเอกสารหมาย จ.51 แผ่นที่ 8 ต่อมาวันที่ 21 ตุลาคม 2557 จำเลยทั้งสองยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการ พนักงานอัยการจึงมีคำสั่งให้สอบคำให้การจำเลยทั้งสองเพิ่มเติม วันที่ 6 พฤศจิกายน 2557 พันตำรวจโททนงศักดิ์สอบคำให้การจำเลยทั้งสองเพิ่มเติมไว้ จำเลยทั้งสองขอให้การปฏิเสธทุกข้อหา อ้างว่าถูกข่มขู่และถูกทำร้ายเพื่อบังคับให้รับสารภาพ ตามบันทึกคำให้การ เอกสารหมาย จ.50 แผ่นที่ 8 ถึงแผ่นที่ 9 และเอกสารหมาย จ.51 แผ่นที่ 9 ถึงแผ่นที่ 11

จำเลยทั้งสองนำสืบว่า จำเลยทั้งสองเป็นชาวเมียนมาร์ เกิดที่รัฐยะไข่ จำเลยทั้งสองใช้ภาษาพม่ายะไข่เป็นภาษาหลัก และสามารถใช้ภาษาพม่ากลางได้ ส่วนภาษาอังกฤษจะรู้

 

(18)

เพียงคำศัพท์ง่ายๆ ในชีวิตประจำวันและเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของจำเลยทั้งสอง แต่ไม่สามารถพูด ฟัง และอ่านภาษาไทยได้ จำเลยที่ 1 เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยเมื่อประมาณปี 2555 ส่วนจำเลยที่ 2 เข้ามาในราชอาณาจักรไทยเมื่อประมาณปี 2554 โดยเข้ามาทางจังหวัดชุมพรและจังหวัดระนอง ตามลำดับ จำเลยทั้งสองมาทำงานรับจ้างอยู่บนเกาะเต่า โดยจำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรไทย ตามเอกสารหมาย ล.14 และ ล.68 ช่วงวันเกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานอยู่ที่ร้านบราเธอร์ ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นพนักงานอยู่ที่ร้านเซฟตี้ สต็อป เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2557 จำเลยที่ 1 ไปทำงานที่ร้านตามปกติและเลิกงานในเวลา 22 นาฬิกา จำเลยที่ 1 เห็นว่าในวันรุ่งขึ้นจะเป็นวันหยุดงานตามสิทธิของพนักงาน จำเลยที่ 1 จึงโทรศัพท์หาจำเลยที่ 2 ให้ไปดื่มเบียร์ด้วยกัน จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์นำกีตาร์ของกลางไปไว้ที่บ้านพักของนายเมา เมา แล้วเดินไปร้านเอซีทู (AC 2) ซึ่งนายเมา เมา ทำงานอยู่ พบจำเลยที่ 2 ที่ร้านจึงนั่งรอจนกระทั่งนายเมา เมา เลิกงาน จากนั้นจำเลยทั้งสองกับนายเมา เมา เดินไปซื้อเบียร์ 3 ขวดและบุหรี่ที่ร้านค้า เมื่อซื้อเสร็จก็เดินกลับไปหยิบกีตาร์และขับรถจักรยานยนต์ไปนั่งดื่มเบียร์บริเวณชายหาดที่มีขอนไม้แห้งซึ่งเป็นสถานที่ค่อนข้างมืด มองเห็น

 

(19)

ได้ในระยะเพียง 5 เมตร จำเลยทั้งสองกับนายเมา เมา นั่งเล่นกีตาร์ ดื่มเบียร์ และผลักดันสูบบุหรี่ได้ประมาณ 1 ชั่วโมง นายเมา เมา เดินออกไป จำเลยทั้งสองนั่งดื่มเบียร์จนหมดแล้วจึงขับรถจักรยานยนต์ไปซื้อเบียร์เพิ่มอีก 2 ขวด เวลาประมาณ 1 นาฬิกา ของวันที่ 15 กันยายน 2557 นายเมา เมา เดินถือไวน์มา 1 ขวดและร่วมนั่งอยู่ด้วยไม่นานก็ยืมรถจักรยานยนต์ขับออกไปหาเพื่อนสาว จำเลยทั้งสองนั่งอยู่ต่ออีกสักพัก มีฝนตกปรอยๆ ประกอบกับจำเลยที่ 2 อยากกลับบ้าน จำเลยทั้งสองจึงเดินกลับมาตามชายหาด เมื่อถึงบริเวณร้านมายา บาร์ (MAYA BAR) จำเลยที่ 1 รู้สึกปวดหัว จึงชักชวนจำเลยที่ 2 ลงเล่นน้ำทะเล จำเลยที่ 1 นำกีตาร์ไปวางไว้บนระเบียงของร้านเอซีทู แล้วลงเล่นน้ำโดยไม่ถอดเสื้อผ้า ส่วนจำเลยที่ 2 ถอดเสื้อวางไว้บนรองเท้าแล้วลงเล่นน้ำทะเลกับจำเลยที่ 1 ช่วงเวลานั้นที่ร้านเอซี บาร์ มีการแสดงโชว์โยนเชือกไฟ ซึ่งมีคนดูประมาณ 20 คน จำเลยทั้งสองเล่นน้ำทะเลประมาณ 15 นาที ระหว่างลงเล่นน้ำทะเลไม่รู้ว่าจะมีใครเดินผ่านมาตามชายหาดหรือไม่ เมื่อเล่นน้ำทะเลเสร็จ จำเลยที่ 2 บอกว่าเสื้อและรองเท้าหายไป จำเลยที่ 2 เดินตามหา จำเลยที่ 1 เดินไปหยิบกีตาร์ที่วางไว้ ปรากฏว่ากีตาร์หายเช่นกัน จำเลยทั้งสอง เดินตามหาแต่ไม่พบ จึงเดินไปที่บ้านพักของนางเมา เมา โดยเดินเข้ามาในซอยเล็กๆ ตามเส้นทางที่ปรากฏในวัตถุพยานหมาย วจ.23 ซึ่งเป็นทางลัดที่สามารถไปบ้านพักนายเมา เมา ได้เมื่อไปถึงบ้าน ไม่พบนายเมา เมา จำเลยที่ 1 เข้าไปในบ้านแล้วถอดเสื้อตากไว้บนราวเชือกภายในบ้านและถอดกางเกงวางกองไว้กับพื้นแล้วเข้านอน ส่วนจำเลยที่ 2 เดินออกไปตามหาเสื้อและรองเท้าอีกครั้ง เนื่องจากเสื้อตัวที่หายไปเป็นเสื้อของนายเมา เมา ที่แลกเปลี่ยนกันใส่ในระหว่างดื่มเบียร์และต้องใส่รองเท้าคู่ดังกล่าวไปทำงาน แต่จำเลยที่ 2 ก็ยังคงหาไม่พบ ระหว่างเดินกลับบ้านพักนายเมา เมา จำเลยที่ 2 พบโทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง ตกอยู่บนพื้นทรายระหว่างร้านเอซีทู กับร้านมายา บาร์ จึงเก็บไว้ จำเลยที่ 2 พบนายเมา เมา ก่อนถึงบ้านพักจึงบอกให้นายเมา เมา ทราบว่าเสื้อหายไป จำเลยที่ 2 กับนายเมา เมา กลับถึงบ้านพักในเวลาประมาณ 4 นาฬิกา จำเลยทั้งสองนอนหลับอยู่ในบ้านพักนายเมา เมา จนกระทั่งเช้า ตื่นมาไม่พบนายเมา เมา จำเลยที่ 1 เห็นกุญแจรถจักรยานยนต์วางอยู่ข้างศีรษะ จึงขับรถจักรยานยนต์ไปส่งจำเลยที่ 2 ที่บ้านแล้วขับกลับบ้านพักจำเลยที่ 1 หมู่บ้านโฉลกบ้านเก่า ต่อมาเวลาประมาณ 8 นาฬิกา จำเลยที่ 2 นำโทรศัพท์ที่เก็บได้ไปอวดให้นายเรน เรนดู และบอกว่าเก็บได้จากที่ร้าน จำเลยที่ 2 ลองเปิดเครื่องแต่ไม่สามารถเปิดได้เพราะไม่มีรหัสผ่าน จึงเสียบชาร์ตแบตเตอรี่ไว้ที่

 

(21)

บ้านนายเรน เรน ต่อมาทราบข่าวว่ามีเหตุฆาตกรรมบนเกาะเต่า จำเลยที่ 2 จึงบอกนานเรน เรน ไปตามจริงว่าพบโทรศัพท์ในบริเวณใกล้จุดเกิดเหตุ หลังจากนั้นจำเลยที่ 2 ไปนอนค้างคืนที่บ้านจำเลยที่ 1 และกลับมาที่บ้านนายเรน เรน อีกครั้ง สอบถามเกี่ยวกับโทรศัพท์แล้วนายเรน เรน แจ้งว่าได้ทุบโทรศัพท์แล้วนำไปโยนทิ้งไว้บริเวณหลังบ้านพักเนื่องจากไม่อยากเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุคดีนี้ จำเลยที่ 2 ไม่ได้สนใจและไม่ได้สอบถามอะไร หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองยังคงไปทำงานตามปกติจนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2557 หลังเลิกงานในวันที่ 1 ตุลาคม 2557 จำเลยที่ 1 กลับมานอนที่บ้านพักพร้อมเพื่อนร่วม 7 คน เวลา 1 นาฬิกาของวันที่ 2 ตุลาคม 2557 ขณะจำเลยที่ 1 นอนหลับอยู่ภายในบ้าน มีเจ้าพนักงานตำรวจประมาณ 10 คน เข้ามาและใส่กุญแจมือพร้อมยึดกระเป๋าสะพายและเสื้อตัวที่จำเลยที่ 1 ใส่เล่นน้ำทะเลในคืนเกิดเหตุไป ภายในกระเป๋ามีหนังสือเดินทางหรือบัตรพาสปอร์ต บัตรประจำตัวประชาชนและใบอนุญาตทำงานของจำเลยที่ 1 ซึ่งก่อนหน้านี้จำเลยที่ 1 นำเล่มหนังสือเดินทางไปฝากไว้กับเพื่อนที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีเพื่อให้เพื่อนช่วยนำไปต่ออายุบัตร ซึ่งตามปกติต้องอายุบัตรทุก 3 เดือน เจ้าพนักงานตำรวจพาจำเลยที่ 1 ไปตึกหลังหนึ่งและให้พูดคุยกับนายกมล อูซอน พยานโจทก์ จำเลยที่ 1 พูดคุยกับ

 

(22)

นายกมลโดยใช้ภาษาพม่ากลาง เจ้าพนักงานตำรวจนำภาพเคลื่อนไหวมาให้ดูแล้วสอบถามว่าเป็นบุคคลตามภาพหรือไม่ ระหว่างนั้น เจ้าพนักงานตำรวจควบคุมตัวนายเมา เมา เข้ามาในห้อง จำเลยที่ 1 ยอมรับว่าเป็นเพื่อนของนายเมา เมา และรับว่าคืนเกิดเหตุไปนั่งเล่นกีตาร์ ดื่มเบียร์ ลงเล่นน้ำทะเลและกลับไปนอนที่บ้านนายเมา เมา เจ้าพนักงานตำรวจไม่เชื่อและพยายามสอบถามว่าฆ่าผู้ตายทั้งสองหรือไม่ เมื่อจำเลยที่ 1 ปฏิเสธก็ถูกทรมานด้วยการใส่กุญแจมือ นำผ้ามาปิดตาถูกถอดเสื้อผ้าและให้อยู่ในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศในระดับหนาวเย็น แล้วนำถุงมาคลุมศีรษะจำเลยที่ 1 เพื่อให้หายใจไม่สะดวก จำเลยที่ 1 ถูกทรมานอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง เจ้าพนักงานตำรวจนำสิ่งของแหย่เข้าไปในช่องปากโดยไม่ได้ขออนุญาตและล่ามไม่ได้แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบ จำเลยที่ 1 ลงชื่อในหนังสือยินยอมให้เก็บตัวอย่างสารพันธุกรรม เอกสารหมาย จ.18 โดยล่ามไม่ได้อ่านข้อความให้ฟัง ล่ามสอบถามว่าฆ่าผู้ตายหรือไม่ จำเลยที่ 1 ตอบปฏิเสธก็ถูกล่ามทำร้ายและพูดข่มขู่ว่า หากไม่ยอมรับจะถูกทำร้ายและถูกฆ่าโยนทิ้งกลางทะเล หากยอมรับจะติดคุกเพียง 4 ถึง 5 ปี ต่อมาล่ามแจ้งว่าจำเลยที่ 2 ถูกจับกุมจึงให้พูดคุยกับจำเลยที่ 2 ทางโทรศัพท์ จำเลยที่ 2 บอกว่า ถูกทำร้ายจนเกือบตาย จำเลยที่ 2 ออกจากงานช่วงสิ้นเดือนกันยายน และติดต่อให้เพื่อนซึ่งอยู่บน

 

(23)

ฝั่งจังหวัดสุราษฎร์ธานี ช่วยหางานให้ ต่อมาได้รับแจ้งจากเพื่อนว่ามีงานให้ทำ วันที่ 1 ตุลาคม 2557 เวลาประมาณ 21 นาฬิกา จำเลยที่ 2 ลงเรือนอนโดยสารออกจากเกาะเต่าไปขึ้นฝั่งที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อไปทำงานตามที่เพื่อนแนะนำ ขณะจำเลยที่ 2 รอเพื่อนอยู่บนเรือ มีเจ้าพนักงานตำรวจขึ้นมาสอบถามหนังสือเดินทางและจับกุมจำเลยที่ 2 ไปสถานีตำรวจ จำเลยที่ 2 พบนายเมียจนางพยานโจทก์ซึ่งมาทำหน้าที่เป็นล่ามภาษาพม่า เจ้าพนักงานตำรวจตรวจเก็บบางอย่างในช่องปากจำเลยที่ 2 โดยไม่ได้ขออนุญาต ต่อมามีการนำตัวจำเลยที่ 2 ไปซักถามและกระทำการทรมานจำเลยที่ 2 ด้วยการถอดเสื้อผ้าและทำร้ายที่ลูกอัณฑะเพื่อให้รับสารภาพว่าเป็นคนร้ายคดีนี้ จำเลยที่ 2 รู้สึกเจ็บปวด อับอายและกลัวถูกทำร้ายซ้ำอีก จึงจำต้องให้การยอมรับไปด้วยความไม่สมัครใจเนื่องจากกลัวถูกฆ่าตามที่มีการข่มขู่ไว้ จำเลยทั้งสองไม่เคยทราบมาก่อนว่าถูกสอบปากคำไว้ในฐานะเป็นพยานเพราะเจ้าพนักงานตำรวจไม่ได้แจ้งขอหาหรือสิทธิใดๆ รวมทั้งไม่ได้สอบถามเรื่องทนายความ วันที่ 3 ตุลาคม 2557 พนักงานสอบสวนพาจำเลยทั้งสองไปทำแผนนำชี้ที่เกิดเหตุ โดยมีล่ามทั้งสองคนพูดกำชับให้จำเลยทั้งสองทำตามที่ล่ามสั่งและห้ามไม่ให้สัมภาษณ์กับนักข่าว จำเลยทั้งสองแสดงท่าทางและนำชี้ไปตามที่ล่ามพูดสั่งให้ทำ ในระหว่างนั้น

 

(24)

จำเลยทั้งสองถูกล่ามจับตัวไว้ตลอดเวลา ตามที่ปรากฏในภาพการทำแผนนำชี้ที่เกิดเหตุ เมื่อทำแผนเสร็จพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำโดยไม่ได้แจ้งสิทธิและไม่ได้สอบถามจำเลยทั้งสองเรื่องทนายความ ทั้งล่ามไม่ได้อ่านข้อความในบันทึกคำให้การให้ฟัง นอกจากนี้พนักงานสอบสวนไม่เคยแจ้งผลการตรวจเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของคนร้ายให้ทราบ การจับกุมจำเลยที่ 1 โดยไม่มีหมายจับและพนักงานสอบสวนไม่แจ้งสิทธิตามกฎหมายให้จำเลยทั้งสองทราบ เป็นการจับกุมและสอบสวนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การตรวจเก็บดีเอ็นเอกระทำโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยทั้งสองเป็นการได้หลักฐานมาโดยมิชอบ จึงต้องห้ามมิให้รับฟังตามกฎหมาย ภายหลังจากจำเลยทั้งสองถูกนำตัวเข้าเรือนจำ ทางเรือนจำให้แพทย์ทำการตรวจร่างกายของจำเลยทั้งสองในฐานะผู้ต้องขังเข้าใหม่ ก็พบอาการบาดเจ็บของจำเลยทั้งสอง ตามที่ปรากฏในเอกสารหมาย จ.31 ต่อมาจำเลยทั้งสองมีโอกาสได้พบกับล่ามภาษาพม่าและทนายความที่จำเลยทั้งสองไว้วางใจจึงเล่าให้ฟังว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา พร้อมกับแจ้งว่าจำเลยทั้งสองถูกร้ายและถูกทรมานในชั้นจับกุมเพื่อบังคับให้รับสารภาพ ทนายความได้ทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมให้แก่จำเลยทั้งสอง ต่อมาจำเลยทั้งสองจึงให้การปฏิเสธทุกข้อหา

 

(25)

พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติได้ว่า เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2557 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง มีคนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้วัตถุของแข็งเป็นอาวุธตีและฟันทำร้ายบริเวณศีรษะและใบหน้านายเดวิด วิลเลี่ยม มิลเลอร์ (MR.DAVID WILLIAM MILLER) ผู้ตายที่ 1 และนางสาวฮันน่าห์ วิคตอเรีย วิทเทอร์ริคจ์ หรือ ฮันน่าห์ วิคเตอเรีย วิทเธอริดจ์ (MISS.HANNAH VICTORIA WITHERIDGE) ผู้ตายที่ 2 อย่างรุนแรง เป็นแผลฉกรรจ์หลายแผล จนเสียชีวิตบริเวณชายหาดทรายรี หมู่ที่ 1 ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ศพผู้ตายที่ 1 เปลือยกายลอยอยู่ในน้ำทะเลริมชายหาด ส่วนศพผู้ตายที่ 2 อยู่บนพื้นทรายชายหาด ในสภาพถูกถลกเสื้อและกระโปรงมาอยู่ที่เอว ลักษณะท่าทางศพผู้ตายที่ 2 มีร่องรอยถูกล่วงละเมิดทางเพศ ตามบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุ เอกสารหมาย จ.9 ผู้ตายทั้งสองเป็นคนสัญชาติอังกฤษ เดินทางมาท่องเที่ยวที่เกาะเต่าก่อนวันเกิดเหตุ ตามหนังสือเดินทางเอกสารหมาย จ.64 ร้อยตำรวจโทจักรพันธ์ แก้วขาว พนักงานสอบสวนผู้รับแจ้งเหตุร่วมกับเจ้าพนักงานมูลนิธิช่วยกันเคลื่อนย้ายศพผู้ตายทั้งสองเนื่องจากน้ำทะเลกำลังขึ้นสูงถึงที่เกิดเหตุ ร้อยตำรวจโทจักรพันธ์ พันตำรวจโทสมศักดิ์ หนูรอด พนักงานสอบสวนและ

 

(26)

นายแพทย์ชสิทธิ์ อยู่หัตถ์ แพทย์ประจำโรงพยาบาลเกาะเต่าการแพทย์ ทำการตรวจชันสูตรพลิกศพผู้ตายทั้งสองในเบื้องต้น ตามรายงานการชันสูตรพลิกศพและมรณบัตรผู้ตายทั้งสอง เอกสารหมาย จ.21 พันตำรวจโทสมศักดิ์ส่งศพผู้ตายทั้งสองไปทำการตรวจศพและผ่าพิสูจน์เพื่อหาสาเหตุการตายและหาวัตถุพยานในศพโดยละเอียดที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามเอกสารหมาย จ.58 จากนั้นพันตำรวจโทสมศักดิ์ ร้อยตำรวจโทจักรพันธ์ และพันตำรวจตรีประสงค์ สาตร์ประเสริฐ กับเจ้าพนักงานศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 8 จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตรวจสถานที่เกิดเหตุและตรวจเก็บวัตถุพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ พบก้นบุหรี่ 3 ชิ้น ถุงยางอนามัยแกะออกใช้แล้ว 1 ชิ้น รองเท้าฟองน้ำแบบหูคีบสีดำข้างขวา 1 ข้าง ถุงกระสอบพลาสติก และจอมด้ามไม้ 1 ด้าม ซึ่งเปื้อนคราบโลหิต วางไว้ใกล้ขอนไม้แห้งบริเวณใต้ต้นสนจึงยึดเป็นของกลาง และตรวจเก็บหาสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ (DNA) จากคราบโลหิตผู้ตายทั้งสองและจากวัตถุพยานของกลาง ส่งไปตรวจพิสูจน์ที่กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติตามบัญชีของกลางคดีอาญา เอกสารหมาย จ.28 แผ่นที่ 5 ถึงแผ่นที่ 7 เจ้าพนักงานศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 8 ทำรายงานการตรวจสถานที่เกิดเหตุไว้ ตามเอกสารหมาย จ.9 เนื่องจากคดีนี้เป็นคดี

 

(27)

อุกฉกรรจ์ ร้อยตำรวจโทจักรพันธ์จึงส่งมอบสำนวนการสอบสวนให้พันตำรวจโทสมศักดิ์ตามระเบียบ กองบัญชาการตำรวจภูธภาค 8 มีคำสั่งแต่งตั้งกองอำนวยการร่วมตำรวจภูธรภาค 8 สืบสวนและสอบสวนเพื่อคลี่คลายคดี ตามสำเนาคำสั่งแต่งตั้ง เอกสารหมาย จ.39 วันที่ 17 กันยายน 2557 พันตำรวจเอก นายแพทย์ภวัต ประทีปวิศรุต รองผู้บังคับการสถาบันนิติเวชวิทยาทำการตรวจศพและตรวจเก็บพยานหลักฐานจากศพผู้ตายทั้งสอง แล้วส่งวัตถุพยานที่เก็บจากศพน้ำเมือกจากช่องคลอด น้ำเมือกจากทวารหนัก และน้ำลายบริเวณลานหัวนมของผู้ตายที่ 2 ไปให้กลุ่มงานตรวจเลือดชีวเคมีและเขม่าดินปืน ซึ่งควบคุมดูแลโดยพันตำรวจเอกวาที อัศวุตมางกุร ทำการตรวจพิสูจน์ตามขั้นตอน พันตำรวจเอกวาทีแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจพิสูจน์หาสารพันธุกรรม (DNA) เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ตามสำเนาคำสั่งเอกสารหมาย จ.20 แผ่นที่ 20 พันตำรวจเอกนายแพทย์ภวัตทำรายงานการตรวจศพไว้ ตามรายงานการตรวจศพเอกสารหมาย จ.22 พันตำรวจโทหญิงเกวลี จันทร์พันธุ์ เจ้าพนักงานกองพิสูจน์หลักฐานกลาง ตรวจพิสูจน์คราบโลหิตผู้ตายทั้งสองและวัตถุพยานของกลางที่ตรวจยึดจากที่เกิดเหตุ ผลการตรวจพิสูจน์พบคราบโลหิตของผู้ตายทั้งสองจากสำลีที่เช็ดจากด้านจอบของกลาง พบดีเอ็นเอของบุคคลมากกว่า 1 คน ที่ก้นบุหรี่ของกลาง

 

(28)

และพบดีเอ็นเอของผู้ตายที่ 2 ที่ถุงยางอนามัยของกลาง ตามรายงานการตรวจพิสูจน์ของกลางเอกสารหมาย จ.11 พันตำรวจเอกเชิดพงษ์ ชิวปรีชา เจ้าพนักงานตำรวจฝ่ายสืบสวน ตรวจสอข้อมูลภาพจากกล้องวงจรปิดและคัดลอกภาพจากเครื่องบันทึกกล้องวงจรปิดเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในคดีไว้ ตามเอกสารหมาย จ.1 (ชั้นตรวจพยานหลักฐาน) จ.5 และ จ.6 (ชั้นตรวจพยานหลักฐาน) จ.44 ถึง จ.46 วันที่ 19 กันยายน 2557 เจ้าพนักงานฝ่ายสืบสวนตรวจยึดกีตาร์ หมาย วจ.7 เป็นของกลาง ตามบันทึกการตรวจยึดและบัญชีของกลางคดีอาญาเอกสารหมาย จ.27 และ จ.28 วันที่ 1 ตุลาคม 2557 พันตำรวจเอกเชิดพงษ์สอบคำให้การนายเมา เมา ไว้เป็นพยาน ตามบันทึกคำให้การ เอกสารหมาย จ.4 (ชั้นสืบพยานล่วงหน้า) วันที่ 2 ตุลาคม 2557 พันตำรวจเอกเชิดพงษ์กับพวกควบคุมตัวจำเลยที่ 1 มาซักถามข้อมูลเบื้องต้นและแจ้งข้อหาแก่จำเลยที่ 1 ผ่านนายกมล อูซอน ล่ามภาษาพม่าว่า เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามบันทึกการจับกุม เอกสารหมาย จ.36 ในวันเดียวกันเจ้าพนักงานตำรวจควบคุมตัวจำเลยที่ 2 ไปซักถามข้อมูลเบื้องต้นผานนายเมียจนาง ไม่มีนามสกุล ล่ามภาษาพม่า ระหว่างควบคุมตัวจำเลยทั้งสอง เจ้าพนักงานตำรวจได้ตรวจเก็บเนื้อเยื่อจาก

 

(29)

กระพุ้งแก้มของจำเลยทั้งสอง ส่งไปตรวจพิสูจน์หาดีเอ็นเอเพื่อตรวจเปรียบเทียบกับวัตถุพยานของกลางและดีเอ็นเอของคนร้ายที่พบในศพผู้ตายที่ 2 ตามหนังสือยินยอมให้เก็บตัวอย่างสารพันธุกรรม (DNA) หนังสือนำส่งของกลางไปตรวจพิสูจน์ เอกสารหมาย จ.18 จ.19 และภาพถ่ายประกอบคดีหมาย จ.47 และ จ.48 ขณะซักถามข้อมูลเบื้องต้นจากจำเลยที่ 2 มีการถ่ายภาพและบันทึกภาพเคลื่อนไหวไว้ ตามภาพถ่ายหมาย จ.33 และภาพเคลื่อนไหวแผ่นวีซีดี (VCD) หมาย วจ.20 พนักงานสอบสวนสอบคำให้การจำเลยทั้งสองไว้ในฐานะเป็นพยาน ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.51 แผ่นที่ 1 ถึงแผ่นที่ 3 และเอกสารหมาย จ.51 แผ่นที่ 1 ถึงแผ่นที่ 4 เจ้าพนักงานฝ่ายสืบสวนตรวจยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง ราคา 15,000 บาท ไว้เป็นของกลาง และทำการตรวจสอบข้อมูลหมายเลขประจำเครื่อง ตามบัญชีทรัพย์ถูกประทุษร้ายและรายงานการตรวจสอบวัตถุพยานเอกสารหมาย จ.29 และ จ.30 ต่อมาได้รับแจ้งผลการตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบดีเอ็นเอตามเอกสารหมาย จ.20 พันตำรวจโทสมศักดิ์มีหนังสือส่งประเด็นให้พนักงานสอบสวน กองบังคับการสอบสวน กองบัญชาการตำรวจแห่งชาติ สอบปากคำผู้ตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบ ตามเอกสารการหมาย จ.67 เช้าวันที่ 3 ตุลาคม 2557 พันตำรวจโทสมศักดิ์ยื่นคำร้องขอออกหมายจับจำเลยทั้งสองใน

 

(30)

ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้นั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ตามเอกสารหมาย จ.35 พันตำรวจโททนงศักดิ์ อักษรสม พนักงานสอบสวน แจ้งสิทธิตามกฎหมายและข้อหาแก่จำเลยทั้งสองตามหมายจับโดยผ่านล่ามภาษาพม่าชื่อนายกมล อูซอน และนายเมียจนาง ไม่มีนามสกุล ซึ่งมีนายพิทยา ใยเพ็ชร ทนายความเข้าฟังการสอบปากคำ และแจ้งข้อหาเพิ่มเติมแก่จำเลยทั้งสองว่า เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางด่านตรวจคนเข้าเมือง และอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต พนักงานสอบสวนนำจำเลยทั้งสองชี้ที่เกิดเหตุและถ่ายรูปไว้ ตามภาพถ่ายการนำชี้ที่เกิดเหตุหมาย จ.32 จำเลยทั้งสองให้การชั้นสอบสวนไว้ ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.50 แผ่นที่ 4 ถึงแผ่นที่ 6 และเอกสารหมาย จ.51 แผ่นที่ 5 ถึงแผ่นที่ 7 ภายหลังจากสอบคำให้การจำเลยทั้งสอง นายแพทย์ชสิทธิ์ทำการตรวจร่างกายจำเลยทั้งสองและให้การไว้ ตามบันทึกคำให้การและภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.40 และ จ.68 วันที่ 10 ตุลาคม 2557 พันตำรวจโทสมศักดิ์แจ้งข้อหาเพิ่มเติมแก่จำเลยทั้งสองผ่านล่าม

 

(31)

ภาษาพม่าชื่อนายเตียงไข่ต่อหน้านายธนวิชญ์ จิราสิต ทนายความว่า ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยมีเจตนาเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ จำเลยทั้งสองให้ไว้ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.50 แผ่นที่ 7 และเอกสารหมาย จ.51 แผ่นที่ 8 วันที่ 21 ตุลาคม 2557 และวันที่ 24 ตุลาคม 2557 จำเลยทั้งสองยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ตามเอกสารหมาย ล.17 และ ล.64 พนักงานอัยการมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนสอบคำให้การจำเลยทั้งสองเพิ่มเติม วันที่ 6 พฤศจิกายน 2557 พันตำรวจโททนงศักดิ์สอบคำให้การจำเลยทั้งสองเพิ่มเติม จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธทุกข้อหา ตามเอกสารหมาย จ.50 แผ่นที่ 8 แผ่นที่ 9 และเอกสารหมาย จ.51 แผ่นที่ 9 ถึงแผ่นที่ 11 สำหรับข้อหาเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางและเวลาตามกฎหมาย ข้อหาเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่มีหนังสือเดินทางและมิได้รับอนุญาตตามกฎหมาย และเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านการตรวจของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมือง มิได้ยื่นรายการตามแบบที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย กับข้อหาเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต มีอัตราโทษจำคุกขั้นต่ำไม่เกิน 5 ปีขึ้นไป เมื่อจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ ศาลรับฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติได้ โดยไม่จำเป็นต้องฟังพยานหลักฐานโจทก์

 

(32)

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ตามฟ้องว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามฟ้องข้อ 1.3 และ 1.4 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ตามทางนำสืบโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุมาเบิกความ เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงตามทางนำสืบโจทก์จะเห็นได้ว่าช่วงเวลาเกิดเหตุเป็นกลางคืนดึกสงัด บริเวณที่เกิดเหตุเป็นสถานที่เปลี่ยวค่อนข้างมืดและไม่ใช่สถานที่ที่จะมีผู้คนสัญจรผ่านไปมา ทั้งพฤติการณ์ของคนร้ายใช้เวลาก่อเหตุไม่นานย่อมเป็นการสุดวิสัยและยากยิ่งที่จะมีประจักษ์พยานรู้เห็นเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุ การที่โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความ จึงหาใช่ข้อบกพร่องของโจทก์ ทางนำสืบโจทก์มีพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีก่อนเกิดเหตุปากนายเมา เมา ซึ่งเป็นเพื่อนของจำเลยทั้งสองมาเบิกความยืนยันว่าวันก่อนเกิดเหตุนายเมา เมา กับจำเลยทั้งสองนั่งเล่นกีตาร์ ดื่มเบียร์ และสูบบุหรี่อยู่บริเวณขอนไม้แห้งไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ จากนั้นนายเมา เมาขับรถจักรยานยนต์ออกไป ช่วงเวลาตามคำพยานปากนายเมา เมา ได้ความว่าอยู่ในช่วงเวลาใกล้ชิดก่อนเกิดเหตุไม่นาน นางสาวภรณ์ทิพย์ สิงคำมา พยานโจทก์เบิกความว่า เห็นคนจำนวน 3 คน นั่งเล่นกีตาร์ในช่วงเวลาประมาณ 2 นาฬิกา อันเป็น

 

(33)

การสนับสนุนคำพยานปากนายเมา เมา ให้มีน้ำหนักยิ่งขึ้น ทั้งข้อเท็จจริงตามคำพยานในส่วนนี้ก็สอดคล้องกับช่วงเวลาตามที่ปรากฏในภาพจากกล้องวงจรปิดใกล้ที่เกิดเหตุ ทางนำสืบจำเลยทั้งสองก็เจือสมและไม่ปรากฏมีบุคคลอื่นร่วมอยู่ด้วยนอกจากจำเลยทั้งสอง จุดที่จำเลยทั้งสองและนายเมา เมา นั่งอยู่นั้นเป็นบริเวณเดียวกับที่นายโอ ไม่มีนามสกุล พยานโจทก์มักจะวางจอบของกลางอยู่เป็นประจำและยังเป็นบริเวณเดียวกับที่พบจอบของกลางเปื้อนคราบโลหิตของผู้ตายทั้งสอง ร้อยตำรวจโทจักรพันธ์ แก้วขาว พันตำรวจโทสมศักดิ์ หนูรอด พนักงานสอบสวนและพันตำรวจตรีประสงค์ สาตร์ประเสริฐ เจ้าพนักงานตำรวจศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 8 จังหวัดสุราษฎร์ธานี พยานโจทก์ทั้งสามร่วมกันตรวจเก็บวัตถุพยานของกลางในที่เกิดเหตุทันทีและส่งไปตรวจพิสูจน์ที่กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผลการตรวจหาสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ (DNA) จากก้นบุหรี่ของกลาง ได้ผลยืนยันว่าจำเลยที่ 2 และนายเมา เมา สูบบุหรี่ของกลาง ซึ่งตรงกับที่จำเลยทั้งสองเบิกความรับว่าได้ผลัดเปลี่ยนกันสูบบุหรี่ของกลางจริง บ่งชี้ให้เห็นว่าผลการตรวจพิสูจน์ของกองพิสูจน์หลักฐานกลางให้ผลการตรวจพิสูจน์ที่ถูกต้องและแม่นยำ ทำให้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือและสามารถรับฟังผลการตรวจพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี จากข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่เกิดเหตุทำให้เห็นได้ว่า จุดที่จำเลยทั้งสองนั่ง

 

(34)

อยู่นั้น ห่างจากที่เกิดเหตุเพียง 60 เมตร ซึ่งนับว่าไม่ไกล จำเลยทั้งสองนั่งอยู่บริเวณดังกล่าวมาเป็นเวลานาน เช่นนี้ย่อมทำให้สายตามีการปรับตัวเข้ากับที่มืดได้ดีพอควร ดังจะเห็นได้จากที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าเห็นการแสดงโชว์และมีคนหลายคนอยู่บริเวณร้านเอซี บาร์ (AC BAR) ภาพจากกล้องวงจรปิดใกล้ที่เกิดเหตุคงเห็นแต่ภาพเหตุการณ์ขณะผู้ตายทั้งสองต่างเดินเข้าไปในร้านเอซี บาร์ และไม่ปรากฏภาพให้เห็นอีกเลยว่าผู้ตายทั้งสองได้เดินกลับออกมาทางหน้าร้าน จนกระทั่งผู้ตายทั้งสองถูกทำร้ายจนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ดังนั้นข้อสันนิษบษนที่ว่าผู้ตายทั้งสองออกทางหลังร้านแล้วเดินตามชายหาดไปยังที่เกิดเหตุ จึงมีความสมเหตุผลเป็นไปได้อย่างยิ่ง ตามภาพถ่ายหมาย จ.7 แผ่นที่ 22 และแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ เอกสารหมาย จ.8 แผ่นที่ 21 ปรากฏชัดว่าขอนไม้แห้งอยู่ใกล้ชายหาด เส้นทางที่ผู้ตายทั้งสองเดินไปยังที่เกิดเหตุจึงต้องผ่านจุดที่จำเลยทั้งสองนั่งอยู่ เช่นนี้จำเลยทั้งสองย่อมมีโอกาสเห็นผู้ตายทั้งสองเดินไปยังที่เกิดเหตุได้ไม่ยาก ทางนำสืบโจทก์แม้จะไม่มีพยานบุคคลเห็นการกระทำของจำเลยทั้งสองโดยละเอียด แต่การที่แพทย์ตรวจศพและผ่าศพผู้ตายทั้งสองแล้วพบดีเอ็นเอของคนร้ายในช่องคลอดและช่องทวารหนักของผู้ตายที่ 2 นับเป็นพยานหลักฐานที่สำคัญยิ่งของโจทก์ หลักฐานชิ้นนี้เป็นพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่

 

(35)

สามารถพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลได้เป็นอย่างดี ผลการตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ลักษณะนี้เป็นที่ยอมรับทั่วไปตามหลักสากล การตรวจพบดีเอ็นเอของคนร้ายโดยพันตำรวจเอกนายแพทย์ภวัต ประทีปวิศรุต แพทย์ประจำสถาบันนิติเวชวิทยา ซึ่งเป็นแพทย์ผู้มีอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมาย การตรวจและผ่าศพเกิดขึ้นก่อนจะมีการจับกุมจำเลยทั้งสอง จึงเป็นพยานหลักฐานที่มีอยู่ เกิดขึ้นและได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น ผลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ ย่อมสามารถเชื่อมโยงและพิสูจน์ได้ว่าคนร้ายเป็นผู้ใด พันตำรวจเอกนายแพทย์ภวัตเบิกความว่า พบบาดแผลผู้ตายทั้งสองถูกทำร้ายด้วยของแข็งไม่มีคม ที่ศีรษะและใบหน้าจำนวนมาก ศพผู้ตายที่ 2 มีแผลฉีกขาดบริเวณมุมล่างของปากช่องคลอดและมีรอยถลอกปริตรงบริเวณฝีเย็บยาวถึงทวารหนัก ส่วนที่ลานหัวนมด้านขวามีร่องรอยการกัด พยานให้ความเห็นในส่วนนี้ว่า มีลักษณะถูกข่มขืนกระทำชำเราหรือการร่วมเพศโดยไม่เต็มใจ พยานจึงตรวจเก็บน้ำลายจากลานหัวนม และน้ำเมือกจากช่องคลอดกับช่องทวารหนัก ส่งไปให้กลุ่มงานตรวจเลือดชีวเคมีและเขม่าดินปืนทำการตรวจหาตัวอสุจิ สารประกอบของน้ำอสุจิและดีเอ็นเอ ความต่อจากนั้นพยานโจทก์ปากพันตำรวจเอกวาที อัศวุตมางกุร นักวิทยาศาสตร์ หัวหน้ากลุ่มงานตรวจเลือดชีวเคมีและเขม่าดินปืน สถาบันนิติเวชวิทยา เบิกความว่า

 

(36)

วัตถุพยานที่ได้รับมาจากกลุ่มงานนิติพยาธิของพันตำรวจเอกนายแพทย์ภวัตจะส่งมาในรูปแบบเป็นรหัสบาร์โค๊ด เพื่อไม่ให้ล่วงรู้ได้ว่าวัตถุพยานชิ้นดังกล่าวเป็นของบุคคลใด จากการตรวจวิเคราะห์วัตถุพยานดังกล่าว พบคราบอสุจิบริเวณช่องคลอดและช่องทวารหนักของผู้ตายที่ 2 พยานจึงทำการตรวจเลือดเพื่อหาดีเอ็นเอตามขั้นตอนและทำรายงานไว้ ตามเอกสารหมาย จ.24 วันที่ 2 ตุลาคม 2557 พยานได้รับแจ้งให้นำผลการตรวจดีเอ็นเอของกลุ่มงานพยานไปตรวจเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของจำเลยทั้งสอง กับนายเมา เมา โดยเจ้าพนักงานตำรวจนำผลการตรวจดีเอ็นเอของจำเลยทั้งสองกับนายเมา เมา มาให้ตรวจเปรียบเทียบ พยานตรวจเปรียบเทียบแล้วพบว่าดีเอ็นเอที่ตรวจพบจากครบอสุจิบริเวณช่องคลอดผู้ตายที่ 2 ตรงกับดีเอ็นเอของจำเลยที่ 2 ส่วนดีเอ็นเอที่ตรวจพบจากคราบอสุจิบริเวณช่องทวารหนักผู้ตายที่ 2 ตรงกับดีเอ็นเอของจำเลยทั้งสอง แต่ไม่ตรงกับดีเอ็นเอของนายเมา เมา ทั้งในช่องคลอดและช่องทวารหนัก ตามเอกสารหมาย จ.12 คำพยานโจทก์ทั้งสองนี้เป็นการเบิกความในฐานะผู้เชี่ยวชาญและเป็นพยานคนกลางซึ่งคงเบิกความไปตามสิ่งที่พบเห็นในขณะปฏิบัติตามหน้าที่ราชการ และให้ความเห็นไว้ตามหลักวิชาการ นอกจากคำพยานแล้วยังมีรายงานผลการตรวจพิสูจน์มานำสืบประกอบยืนยันว่ามีการบันทึกสิ่งที่

 

(37)

ตรวจพบไว้เป็นหลักฐาน โดยไม่ปรากฏข้อพิรุธใดๆ ในคำพยาน พยานโจทก์ทั้งสองกับจำเลยทั้งสองต่างไม่เคยเห็นหน้าหรือรู้จักกันมาก่อน ทั้งไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองอย่างใดต่อกัน จึงไม่มีเหตุผลหรือความจำเป็นใดที่พยานโจทก์ทั้งสองจะต้องแกล้งเบิกความ หรือสร้างพยานหลักฐานเท็จขึ้นมาเพียงเพื่อหวังปรักปรำให้ร้ายจำเลยทั้งสองโดยปราศจากมูลความจริง คำพยานโจทก์ทั้งสองมีน้ำหนักรับฟังเชื่อถือได้เป็นอย่างดี บาดแผลฉีกขาดที่ช่องคลอดของผู้ตายที่ 2 ตามที่พันตำรวจเอกนายแพทย์ภวัตเบิกความก็สอดคล้องกับรายงานความเห็นการผ่าศพผู้ตายที่ 2 ที่ประเทศสหราชอาณาจักร ตามเอกสารมหมาย ล.31 (แผ่นที่ 21) ของฝ่ายจำเลย ที่ระบุมีบาดแผลฉีกขาดที่ช่องคลอดจริง สนับสนุนให้เห็นได้อีกประการว่าพันตำรวจเอกนายแพทย์ภวัตเบิกความอย่างตรงไปตรงมา นอกจากนี้ตามรายงานผลการทดสอบเปรียบเทียบดีเอ็นเอของคนร้ายกับดีเอ็นเอของจำเลยทั้งสอง ตามเอกสาร จ.12 ก็มีค่าตำแหน่งดีเอ็นเอที่ตรงกันทั้ง 16 ตำแหน่ง ซึ่งล้วนเป็นดีเอ็นเอบนโครโมโซม (Chromosome) ในตำแหน่งที่สามารถพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลได้อย่างแน่ชัดอันเป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล แสดงให้เห็นได้ชัดว่า สถาบันนิติเวชวิทยาดำเนินการเป็นไปตามขั้นตอนและมีการใช้อุปกรณ์ในการตรวจพิสูจน์ที่ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป

 

(38)

ส่งผลให้ผลการตรวจพิสูจน์มีน้ำหนักและมีความน่าเชื่อถือได้โดยสนิทใจ แม้รายงานผลการตรวจพิสูน์ของฝ่ายโจทก์จะไม่มีเอกสารการถือครองวัตถุพยานหรือห่วงโซ่การถือครองวัตถุพยาน (CHAIN OF CUSTODY) มานำสืบประกอบคำพยาน และไม่มีการคิดคำนวณค่าความเชื่อมั่นระบุไว้ในรายงานเหมือนดังเช่นของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จำเลยทั้งสองให้ความไว้วางใจก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดของรูปแบบและขั้นตอนวิธีปฏิบัติของแต่ละหน่วยงานที่จะกำหนดขึ้นเพื่อบังคับใช้ภายในหน่วยงานเท่านั้น หาได้ทำให้ผลการตรวจพิสูจน์ที่ได้ผลถูกต้องและแม่นยำของสถาบันนิติเวชวิทยาและกองพิสูจน์หลักฐานกลางต้องเสียไปหรือลดน้อยลงไม่ พยานจำเลยปากนายแพทย์วรวีร์ ไวยวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญด้านดีเอ็นเอของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ก็เบิกความรับรองทำนองว่า สถาบันนิติเวชวิทยาและกองพิสูจน์หลักฐานกลางได้รับการรับรองระบบมาตรฐานไอเอสโอ (ISO) 17025 เช่นเดียวกับหน่วยงานของพยาน และทั้งสองหน่วยงานมีการดำเนินงานไปตามมาตรฐานสากลเช่นนี้ยิ่งส่งผลให้ความน่าเชื่อถือในรายานผลการตรวจพิสูจน์ของฝ่ายโจทก์มีน้ำหนักควรค่าแก่การรับฟังได้อย่างสิ้นสงสัย แม้รายงานผลการทดสอบเอกสารหมาย จ.20 แผ่นที่ 5 มีการแก้ไขและ

 

(39)

ตกเติมดังที่จำเลยทั้งสองอ้างว่ามีข้อพิรุธ พันตำรวจเอกวาทีซึ่งเป็นผู้รับรองผลรายงานฉบับดังกล่าวได้เบิกความอธิบายเหตุความเป็นมาว่า เกิดจกการพิมพ์ผิดพลาด ซึ่งเมื่อมีการตรวจพบจึงได้ทำการแก้ไขให้ถูกต้อง เมื่อพิจารณาตามคำพยานประกอบพยานเอกสารแล้วจะเห็นได้ว่าด้านบนของเอกสารระบุรายละเอียดไว้ว่าหัวข้อ 1.3 คือไม้พ้นสำลีป้ายน้ำเมือกจากทวารหนัก ตารางด้านล่างในช่องวัตถุพยานหมาย 1.3 จึงต้องเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับเยื่อบุช่องทวารหนัก ข้อความเดิมที่พิมพ์ไว้ว่าเป็นเยื่อบุจากช่องคลอด ย่อมจะซ้ำซ้อนกับช่องตารางวัตถุพยานหมายเลข 1.2 เช่นนี้ทำให้เห็นได้ว่าเป็นการพิมพ์ข้อความผิดพลาดไปจริงดังที่พยานเบิกความ การแก้ไขตกเติกขึ้นใหม่จึงเป็นเพียงแก้ไขรายละเอียดให้ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงเท่านั้น ลำพังเพียงการแก้ไขในส่วนรายละเอียดส่วนนี้ หาได้ทำให้น้ำหนักความน่าเชื่อถือผลการตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบดีเอ็นเอต้องเสียหรือลดน้อยลงไป ส่วนที่จำเลยทั้งสองอ้างทำนองว่าจำเลยทั้งสองไม่เคยยินยอมให้เจ้าพนักงานตรวจเก็บดีเอ็นเอ จึงถือว่าหลักฐานในส่วนนี้ได้มาโดยมิชอบด้วยประการอื่น จึงต้องห้ามมิให้รับฟังนั้น ทางนำสืบโจทก์มีหลักฐานเป็นเอกสารยินยอมให้เก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของจำเลยทั้งสอง ตามเอกสารหมาย จ.18 มานำสืบประกอบให้เห็นได้ใน

 

(40)

เบื้องต้นว่า จำเลยทั้งสองทราบและยินยอมให้ตรวจเก็บเนื้อเยื่อจากกระพุ้งแก้มไปตรวจพิสูจน์โดยมีล่ามภาษาพม่าลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งพยานโจทก์ปากนายกมล และนายเมียจนาง ก็ยืนยันว่าจำเลยทั้งสองทาบและยินยอมให้ตรวจเก็บไปตรวจพิสูจน์ ทั้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/1 บัญญัติหลักการไว้ว่า หากเป็นพยานหลักฐานที่มีคุณค่าในเชิงพิสูจน์ ความสำคัญและความน่าเชื่อถือของพยาน ก็มิได้ห้ามไม่ให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน เมื่อพฤติการณ์แห่งคดีไม่มีพยานรู้เห็นขณะเกิดเหตุ คงมีเพียงการตรวจพบดีเอ็นเอของคนร้ายในศพผู้ตาย จุดประสงค์ในการตรวจเก็บดีเอ็นเอจากจำเลยทั้งสองก็เพียงเพื่อตรวจพิสูจน์ว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายก่อเหตุในคดีนี้หรือไม่ หากดีเอ็นเอของจำเลยทั้งสองไม่ตรงกับดีเอ็นเอของคนร้ายก็ไม่อาจดำเนินคดีและลงโทษจำเลยทั้งสองได้อยู่ในตัว เช่นนี้หากไม่รับฟังพยานหลักฐานการตรวจดีเอ็นเอของจำเลยทั้งสองเพื่อเปรียบเทียบกับคนร้ายก็จะเป็นผลเสียแก่ประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรมเสียมากกว่า เมื่อผลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอของจำเลยทั้งสองและดีเอ็นเอของคนร้ายมีความถูกต้องและแม่นยำตามจริงดังวินิจฉัยข้างต้น ศาลย่อมใช้ดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐานนี้ได้ ข้ออ้างของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น ทางนำสืบจำเลยทั้งสองแม้พยานปาก

 

(41)

นายแอนดรู โจนาธาน ฮอลล์ หรือ แอนดี้ ฮอลล์ มาเบิกความประกอบรายงานการผ่าศพผู้ตายที่ 2 ตามเอกสารหมาย ล.31 อ้างว่ารายงานการผ่าศพที่ประเทศสหราชอาณาจักร ไม่พบแผลฉีกขาดและรอยถลอกปริฝีเย็บจากช่องคลอดถึงทวารหนัก และพยานยังได้ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญที่ประเทศสหราชอาณาจักรให้ตรวจวิเคราะห์ท่าทางการเดินของผู้ชายต้องสงสัยในภาพจากกล้องวงจรปิด เปรียบเทียบกับท่าทางการเดินของจำเลยที่ 2 ในวันเกิดเหตุ ซึ่งได้ผลตรวจวิเคราะห์ตามเอกสารหมาย ล.47 ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ใช่ผู้ชายต้องสงสัย ตามคำพยานจำเลยปากนี้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีส่วนรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับเหตุในคดีโดยตรง ทั้งมิใช่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจศพและในการตรวจวิเคราะห์ตามรายงานทั้งสองฉบับ คงเป็นเพียงผู้ประสานงานและรับมอบรายงานการตรวจเท่านั้น ข้อเท็จจริงที่เบิกความล้วนเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของพยานแทบทั้งสิ้น การนำข้อความในรายงานมาเบิกความหรืออ้างว่าผู้เชี่ยวชาญพูดบอกกับตนไว้อย่างไรนั้น มีลักษณะเป็นเพียงพยานบอกเล่า เมื่อไม่นำผู้เชี่ยวชาญมาเบิกความอธิบายเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในรายาน โจทก์ย่อมไม่มีโอกาสถามค้านเพื่อกระจายข้อเท็จจริงได้ ลำพังเพียงคำเบิกความอ้างลอยๆ จึงไม่มีน้ำหนักอันควรแก่การนำมารับฟัง พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองที่นำสืบมา

 

(42)

ไม่มีน้ำหนักหักล้างรายงานผลการตรวจพิสูจน์ของโจทก์ได้ ดีเอ็นเอที่ตรวจพบในช่องคลอดและช่องทวารหนักของศพผู้ตายที่ 2 เป็นดีเอ็นเอของตัวอสุจิและส่วนประกอบของน้ำอสุจิของบุคคลมากกว่า 1 คน ย่อมแสดงว่าคนร้ายเป็นผู้ชายมากกว่า 1 คน พันตำรวจเอกนายแพทย์ภวัตยืนยันว่าพยานตรวจเก็บน้ำเมือกจากด้านนอกและด้านในช่องคลอดและช่องทวารหนักแยกจากกัน เมื่อจำเลยทั้งสองยืนยันว่าไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่เกิดเหตุ เช่นนี้ย่อมจะต้องไม่พบดีเอ็นเอของจำเลยทั้งสองและย่อมไม่มีโอกาสที่จะมีการปนเปื้อนของดีเอ็นเอจากช่องคลอดไปยังช่องทวารหนักทั้งในขณะเคลื่อนย้ายศพในที่เกิดเหตุและในขณะตรวจเก็บน้ำเมือกส่งตรวจพิสูจน์ดังที่ฝ่ายจำเลยตั้งข้อสงสัย แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ พยานผู้เชี่ยวชาญที่จำเลยทั้งสองอ้างเป็นพยานก็เบิกความว่าดีเอ็นเอจากอสุจิ สามารถแยกประเภทออกจากดีเอ็นเอของเหงื่อและน้ำลายได้ อันเป็นการอธิบายไปตามหลักวิชาการ ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าดีเอ็นเอที่พบในช่องคลอดและช่องทวารหนักของผู้ตายที่ 2 มีความแตกต่างและสามารถระบุแยกชนิดจากดีเอ็นเอที่ตรวจเก็บจากเนื้อเยื่อกระพุ้งแก้มของจำเลยทั้งสองในขณะถูกจับกุมได้ แม้รายงานผลการทดสอบดีเอ็นเอ เอกสารหมาย จ.12 แผ่นที่ 5 ในตำแหน่ง vWA ของดีเอ็นเอ อสุจิที่พบจากเยือบุทวารหนักจะปรากฏตัวเลข 18 เกินมาจากค่าดีเอ็นเอของจำเลยทั้งสอง

 

(43)

ส่วนในตำแหน่ง D2S1338 กับ vWA ของดีเอ็นเอที่ป้ายเก็บจากหัวนมข้างขวา จะปรากฏค่าดีเอ็นเอ ตัวเลข 20 และ 25 ของจำเลยที่ 2 หายไปก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาโดยตลอดแล้วจะเห็นได้ว่า ค่าดีเอ็นเอของจำเลยทั้งสองยังคงให้ผลที่ตรงกับดีเอ็นเอ อสุจิของคนร้ายที่พบจากเยื่อบุทวารหนักครบทั้ง 16 ตำแหน่ง และค่าดีเอ็นเอของจำเลยที่ 2 ยังตรงกับดีเอ็นเอ อสุจิของคนร้ายที่พบจากเยื่อบุช่องคลอดครบทุก 16 ตำแหน่งเช่นกัน ส่วนค่าดีเอ็นเอของจำเลยที่ 2 ที่ขาดหายไป ก็เป็นเพียงส่วนดีเอ็นเอที่ตรวจเก็บจากบริเวณลานหัวนมด้านขวาเท่านั้น หาใช่เป็นค่าดีเอ็นเอของอสุจิที่ตรวจเก็บได้จากเยื่อบุช่องคลอดและเยื่อบุช่องทวารหนักของผู้ตายที่ 2 แต่อย่างใด คำพยานจำเลยปากแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ก็ตอบข้อซักถามของจำเลยที่ 1 ในส่วนนี้ว่า กรณีค่าดีเอ็นเอที่เกินมานี้ อาจเกิดจากการปนเปื้อนของดีเอ็นเอ หรืออสุจิตัวดังกล่าวเกิดการผ่าเหล่าผ่ากอ ส่วนกรณีค่าดีเอ็นเอที่หายไปในบางโครโมโซมอาจเกิดจากการเสื่อมสลายของดีเอ็นเอก็เป็นได้ ทั้งพยานจำเลยปากนายแพทย์วรวีรย์ก็เบิกความว่า การพบค่าดีเอ็นเอเพียง 10 ตำแหน่งก็สามารถนำมาเปรียบเทียบได้แล้ว กรณีจึงหาใช่ข้อพิรุธที่จะรับฟังไม่ได้ว่าดีเอ็นเอ อสุจิดังกล่าวเป็นของจำเลยทั้งสอง นอกจากนี้จำเลยทั้งสองก็ไม่นำผลการตรวจดีเอ็นเอของจำเลยทั้งสอง

 

(44)

ที่ขอส่งตรวจพิสูจน์ซ้ำที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ มาถามค้านเพื่อหักล้างผลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอให้เห็นเป็นอย่างอื่น พยานหลักฐานและข้ออ้างนี้ของจำเลยทั้งสองไม่สามารถหักล้างผลการตรวจทดสอบดีเอ็นเอของฝ่ายโจทก์ได้เช่นกัน จำเลยทั้งสองถูกจับกุมและถูกตรวจเก็บเนื้อเยื่อจากกระพุ้งแก้มไปตรวจพิสูจน์ในวันที่ 2 ตุลาคม 2557 ซึ่งเป็นเวลาหลักเกิดเหตุนานถึง 17 วัน จำเลยทั้งสองยืนยันเป็นหนักแน่นว่าไม่เคยมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่เกิดเหตุ และจำเลยทั้งสองถูกตรวจเก็บเฉพาะเนื้อเยื่อจากกระพุ้งแก้มเท่านั้น ในข้อนี้พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทำการตรวจเก็บและนำเนื้อเยื่อของจำเลยทั้งสองส่งตรวจพิสูจน์ก็เบิกความอธิบายถึงขั้นตอนการปฏิบัติอย่างถูกต้องและยืนยันว่าได้ส่งตรวจพิสูจน์ในทันทีทันใด ดังนั้นย่อมไม่มีโอกาสใดๆ ที่เจ้าพนักงานตำรวจฝ่ายสืบสวนสอบสวน รวมทั้งแพทย์ผู้ตรวจผ่าศพและนักวิทยาศาสตร์ผู้ตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอของคนร้าย จะสามารถนำอสุจิหรือสารประกอบน้ำอสุจิ ซึ่งอยู่ในร่างกายส่วนลึกของจำเลยทั้งสองไปใส่ไว้ในช่องคลอดและช่องทวารหนักของผู้ตายที่ 2 ได้ พฤติการณ์ตามทางนำสืบโจทก์ยังปรากฏให้เห็นอีกประการว่า แม้จำเลยทั้งสองจะให้การรับสารภาพในเบื้องต้นทำนองว่า ได้ร่วมกันฆ่าผู้ตายทั้งสองและข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายที่ 2 ก็ตาม แต่เจ้าพนักงานตำรวจก็คงดำเนินการเพียง

 

(45)

สอบปากคำไว้ในฐานะเป็นพยานเท่านั้น หาได้แจ้งข้อหาในความผิดฐานฆ่าผู้ตายทั้งสองและข่มขืนผู้ตายที่ 2 แก่จำเลยทั้งสองแต่ประการใด พยานโจทก์ที่เกี่ยวข้องในส่วนนี้อธิบายเหตุผลว่าต้องรอการตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอของจำเลยทั้งสองกับดีเอ็นเอของคนร้ายเสียก่อน บ่งชี้ว่าเจ้าพนักงานตำรวจฝ่ายสืบสวนและสอบสวนจะยังไม่แจ้งข้อหาดังกล่าว จนกว่าจะมีหลักฐานที่แน่นหนาผูกมัดและพิสูจน์ความผิดของจำเลยทั้งสองเสียก่อน การกระทำลักษณะเช่นนี้หาใช่เป็นการดำเนินการไปอย่างเร่งรีบหรือรวบรัด แต่กลับมีลักษณะเป็นการให้ความคุ้มครองสิทธิแก่จำเลยทั้งสองมิให้ถูกปรับปรำโดยไม่มีหลักฐานหากว่าผลตรวจดีเอ็นเอไม่ตรงกับคนร้าย และดังจะเห็นได้จากกรณีผลตรวจดีเอ็นเอของนายเมา เมา ซึ่งแม้จะตรงกับดีเอ็นเอที่พบจากก้นบุหรี่ของกลาง แต่เมื่อไม่ตรงกับของคนร้าย เจ้าพนักงานตำรวจฝ่ายสืบสวนและสอบสวนก็หาได้ดำเนินคดีกับนายเมา เมาด้วยไม่ ได้ความตามทางนำสืบโจทก์อีกว่า ขณะจำเลยทั้งสองถูกจับกุม เจ้าพนักงานตำรวจฝ่ายสืบสวนและสอบสวนได้จัดหาล่ามภาษาพม่าให้แก่จำเลยทั้งสอง ซึ่งจำเลยทั้งสองเบิกความรับว่าเจ้าพนักงานตำรวจจัดหาล่ามภาษาพม่าให้จริง และจำเลยทั้งสองได้พูดคุยกับล่ามโดยใช้ภาษาพม่ากลาง ซึ่งเป็นภาษาที่จำเลยทั้งสองสามารถพูดและเข้าใจได้เป็นอย่างดี นายกมล อูซอน และ

 

(46)

นายเมียจนาง พยานโจทก์ซึ่งทำหน้าที่ล่ามภาษาพม่าให้แก่จำเลยทั้งสองในขั้นจับกุมและสอบสวนเบิกความยืนยันว่า พูดคุยสอบถามกับจำเลยทั้งสองได้รู้เรื่องและเข้าใจกันเป็นอย่างดี ทั้งตามทางนำสืบโจทก์และจำเลยทั้งสองหาได้ปรากฏข้อเท็จจริงหรือหลักฐานใดๆ แสดงให้เห็นชัดเจนว่าล่ามมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้งสองเรื่องเชื้อชาติดังที่ฝ่ายจำเลยอ้าง และหากพิจารณาตามภาพเคลื่อนไหวระหว่างการสนทนาของจำเลยที่ 2 กับนายเมียจนาง ตามแผ่นวีซีดีหมาย วจ.20 ยิ่งจะเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า จำเลยที่ 2 สามารถพูดคุยสื่อสารตอบโต้และอธิบายรายละเอียดต่างๆ ให้แก่นายเมียจนางได้อย่างเข้าใจกันดี การที่จำเลยทั้งสองเบิกความว่า ขณะถูกจับกุมและนำตัวไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ ล่ามได้พูดข่มขู่จะทำร้ายและจะฆ่าจำเลยทั้งสองด้วยวิธีต่างๆ นานา ทั้งยังพูดสั่งให้ทำท่าทางตามที่ล่ามบอกทุกประการ จนจำเลยทั้งสองเกิดความกลัวจึงจำยอมต้องกระทำตามที่ล่ามข่มขู่นั้น ยิ่งเห็นได้จัดอีกประการหนึ่งว่า จำเลยทั้งสองสามารถฟังและพูดคุยสื่อสารกับล่ามทั้งสองได้ดี ดังนั้นข้ออ้างของจำเลยทั้งสองจึงขัดแย้งกันเอง ส่อพิรุธว่าจำเลยทั้งสองเบิกความไม่ตรงตามความจริง นอกจากนี้โจทก์ยังมีพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีภายหลังเกิดเหตุปากนายออง ลี ซอ หรือ เรน เรน และนายนี นี ออง เพื่อของจำเลยที่ 2 มาเบิกความว่า จำเลยที่ 2

 

(47)

เป็นผู้นำโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางซึ่งมียี่ห้อและรุ่นตรงกับของผู้ตายที่ 1 มาฝากไว้ในวันที่ 15 กันยายน 2557 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุและเป็นเวลาหลังเกิดเหตุเพียงไม่กี่ชั่วโมง พยานโจทก์ทั้งสองนี้ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 2 อันจะต้องเบิกความให้ร้ายจำเลยที่ 2 ซึ่งฝ่ายโจทก์มีหลักฐานการตรวจสอบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางที่สามารถยืนยันหมายเลขประจำเครื่องได้อย่างแน่ชัดว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางเป็นของผู้ตายที่ 1 จริง ทางนำสืบจำเลยที่ 2 ไม่มีพยานหลักฐานใดๆ มานำสืบหักล้างได้ ทั้งยังเบิกความเจือสมว่าจำเลยที่ 2 นำโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปฝากไว้กับนายเรน เรน พยานโจทก์จริง เพียงแต่อ้างทำนองว่าจำเลยที่ 2 พบโทรศัพท์เคลื่อนที่ตกอยู่ที่พื้นระหว่างทางไปบ้านนายเมา เมา และตั้งใจจะนำไปอวดเท่านั้น แต่เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ในคดีแล้วจะเห็นได้ว่า ผู้ตายที่ 1 ถูกทำร้ายในสภาพกำลังเปลือยกายและเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ที่ผู้ตายที่ 1 จะทำโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางตกหล่นไว้ในจุดที่จำเลยที่ 2 อ้าง ข้อเท็จจริงตามทางนำสืบโจทก์มีน้ำหนักเชื่อมโยงให้เห็นได้อีกประการว่า จำเลยที่ 2 มีส่วนเกี่ยวข้องกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางของผู้ตายที่ 1 ที่หายไปจากที่เกิดเหตุ พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาทั้งในส่วนผลการตรวจดีเอ็นเอของจำเลยทั้งสองที่ตรงกับ

 

(48)

ดีเอ็นเอของคนร้ายทั้งสอง วัตถุพยานของกลางในที่เกิดเหตุ รวมทั้งพยานแวดล้อมกรณีก่อนและหลังเกิดเหตุ มีน้ำหนักพิสูจน์เชื่อมโยงให้เห็นและรับฟังได้อย่างสิ้นสงสัยว่า จำเลยทั้งสองต้องเป็นคนร้ายข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายที่ 2 ในที่เกิดเหตุอย่างแน่แท้ โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ตามถ้อยคำรับใดๆ ของจำเลยทั้งสองในชั้นจับกุมและสอบสวนมารับฟังประกอบแต่อย่างใด ทางนำสืบโจทก์แม้จะไม่ปรากฏเป็นที่แน่ชัดว่าจำเลยคนใดลงมือข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายที่ 2 ก่อน หรือหลัง แต่ได้ความตามคำพยานพันตำรวจเอกนายแพทย์ภวัตว่า ที่บาดแผลฉีกขาดมุมล่างของปากช่องคลอดมีเลือดซึมออกมา แสดงว่าขณะผู้ตายที่ 2 ถูกข่มขืนกระทำชำเรานั้น ผู้ตายที่ 2 ยังมีชีวิตอยู่ จึงทำให้มีเลือดซึมไหลออกมาได้ และบาดแผลฉีกขาดดังกล่าวต้องเกิดขึ้นก่อนบาดแผลฉกรรจ์ที่ศีรษะซึ่งทำให้เสียชีวิตได้ในทันที คำพยานโจทก์ส่วนนี้คงเบิกความไปตามหลักวิชาทางการแพทย์ ซึ่งสอดคล้องตามหลักธรรมชาติของร่างมนุษย์ที่เลือดจะไหลออกจากบาดแผลในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ จึงมีความสมเหตุและผลให้เชื่อได้ว่า บาดแผลฉีกขาดดังกล่าวเกิดขึ้นจากการบังคับร่วมเพศแล้วผู้ตายที่ 2 ดิ้นรนขัดขืน จึงทำให้เกิดการฉีกขาดเป็นแนวยาวเช่นนั้นได้ ตามผลการตรวพิสูจน์ยืนยันเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าจำเลยทั้งสองข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายที่ 2

 

(49)

จนจำเลยทั้งสองสำเร็จความใคร่ ซึ่งมีพฤติการณ์ลักษณะว่าได้มีการสมคบคิดกันมาก่อน ทั้งยังเป็นตัวการในการผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายที่ 2 ด้วยกัน การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราหญิงอื่นที่มิใช่ภริยาตนอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง เมื่อพิจารณาลักษณะบาดแผลที่ศีรษะและใบหน้าของผู้ตายที่ 2 พบว่าล้วนเป็นบาดแผลฉกรรจ์และมีลักษณะที่เข้ารอยกันได้กับใบจอบและสันจอบของกลางดังที่พันตำรวจเอกนายแพทย์ภวัตและแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์เบิกความ การตรวจพบคราบโลหิตของผู้ตายที่ 2 ติดอยู่ที่จอบของกลาง ยิ่งทำให้ไม่มีข้อสงสัยใดๆ เลยว่าจอบของกลางจะมิใช่อาวุธที่ใช้ในการทำร้ายผู้ตายที่ 2 บาดแผลฉกรรจ์ที่ใบหน้าเกิดขึ้นหลังบาดแผลฉีกขาดขณะถูกข่มขืนกระทำชำเรา ย่อมเป็นข้อเท็จจริงที่ทำให้เห็นได้ในประการต่อมาว่า ภายหลังผู้ตายที่ 2 ถูกข่มขืนกระทำชำเราในที่เกิดเหตุก็ถูกทำร้ายด้วยจอบของกลางจนเสียชีวิต อันเป็นพฤติการณ์ที่ต่อเนื่องและเชื่อมโยงให้เห็นได้อย่างใกล้ชิด จนไม่อาจฟังเป็นอย่างอื่นได้นอกจากจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายใช้จอบของกลางเป็นอาวุธทุบตีและฟันผู้ตายที่ 2 ในที่เกิดเหตุ แม้รายงานผลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ตามเอกสารหมาย ล.29 จะสรุปผลและความเห็นการตรวจพิสูจน์ว่าดีเอ็นเอของ

 

(50)

จำเลยทั้งสองไม่ตรงกับดีเอ็นเอของบุคคลเพศชายแบบผสมที่จอบของกลาง ก็หาใช่เป็นข้อสำคัญหรือเป็นข้อพิรุธไม่ เนื่องจากดีเอ็นเอของบุคคลเพศชายแบบผสมที่ตรวจพบนั้นเป็นดีเอ็นเอที่ตรงกับผู้ตายที่ 1 ในคดีนี้และตามทางนำสืบพยานโจทก์ปากนายโอ ก็ปรากฏว่านายโอเป็นผู้หยิบจับใช้จอบของกลางอยู่เป็นประจำ ทั้งภายหลังเกิดเหตุนายโอยังได้หยิบจับจอบของกลางก่อนจะมีการส่งตรวจพิสูจน์ด้วย เพียงแต่ไม่มีการตรวจเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของนายโอเท่านั้น ส่วนสาเหตุการตรวจไม่พบดีเอ็นเอของคนร้ายที่จอบของกลางนั้น แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ก็ได้เบิกความอธิบายถึงเหตุปัจจัยไว้หลายประการ เช่น ลักษณะฝ่ามือที่แห้งหรือชื้นจะมีผลต่อการติดของดีเอ็นเอ และหากคนร้ายสวมถุงมือหรือใช้ผ้ารองขณะจับด้ามจอม รวมทั้งถ้ามีการชำระล้างที่ด้ามจอบของกลางก่อนส่งตรวจพิสูจน์ก็อาจจะตรวจไม่พบดีเอ็นเอก็เป็นได้ ดังนั้น ลำพังเพียงการตรวจไม่พบดีเอ็นเอของจำเลยทั้งสองที่จอบของกลางจึงยังไม่ใช่ข้อพิสูจน์อันจะมีน้ำหนักหักล้างวัตถุพยานการพบดีเอ็เอของอสุจิจำเลยทั้งสองในศพผู้ตายที่ 2 ได้ พฤติการณ์แห่งคดีรับฟังได้ว่าหลังจากจำเลยทั้งสองร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายที่ 2 แล้ว จำเลยทั้งสองได้ใช้จอบของกลางซึ่งเป็นวัตถุของแข็งมีคมขนาดใหญ่ ตีและฟันผู้ตายที่ 2 หลายครั้ง จนเป็นแผลฉีกขาดลึกถึงฐานสมอง

 

(51)

และกระดูกหน้าผากเบ้าตาซ้ายแตกยุบผิดรูป บ่งชี้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้จอบของกลางกระหน่ำตีผู้ตายที่ 2 อย่างสุดแรงจนทำให้ผู้ตายที่ 2 เสียชีวิต อันเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่า การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายที่ 2 เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ตามทางนำสืบโจทก์ปรากฏว่าผู้ตายที่ 1 ถูกทำร้ายในที่เกิดเหตุในช่วงเวลาไล่เลี่ยแทบจะพร้อมไปในคราวเดียวกับผู้ตายที่ 2 จนเป็นเหตุให้ผู้ตายที่ 1 เสียชีวิต ทั้งรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสารหมาย จ.11 ก็พบคราบโลหิตของผู้ตายที่ 1 ติดอยู่ที่ด้ามจอบของกลางเช่นเดียวกับผู้ตายที่ 2 ซึ่งลักษณะบาดแผลบนศพผู้ตายที่ 1 ไม่ขัดแย้งและยังเข้ารอยกันได้กับจอบของกลาง นับเป็นพฤติการณ์ที่เห็นอยู่ในตัวว่าจำเลยทั้งสองใช้จอบของกลางเป็นอาวุธชิ้นหนึงในการทำร้ายผู้ตายที่ 1 เพื่อความสะดวกในการข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายที่ 2 อันเป็นการกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายที่ 1 ตามฟ้อง สำหรับข้อหาจำเลยที่ 1 เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตตามคำฟ้องข้อ 1.1 และข้อ 1.2 ทางนำสืบโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานใดๆ มาสืบแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ไม่เคยได้รับอนุญาตให้เข้ามาและอยู่ราชอาณาจักรในช่วงเวลาตามคำฟ้อง คงปรากฏข้อเท็จจริงแต่เพียงการแจ้งข้อหาดังกล่าวแก่

 

(52)

จำเลยที่ 1 ในชั้นจับกุมเท่านั้น ส่วนทางนำสืบจำเลยที่ 1 มีหลักฐานเป็นหนังสือเดินทาง (Passport) เอกสารหมายเลข ล.68 มานำสืบแสดงให้เห็นในทำนองว่า จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้เข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรในช่วงระหว่างวันที่ 4 เมษายน 2556 จนถึงวันที่ 3 เมษายน 2558 อันเป็นช่วงเวลาก่อนและขณะเกิดเหตุ เมื่อโจทก์ไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์และไม่ได้ถามค้านให้เห็นข้อพิรุธในพยานเอกสารดังกล่าว ดังนั้นแม้ตามคำฟ้องจะระบุช่วงเวลาว่าจำเลยที่ 1 ลักลอบเข้ามาตั้งแต่ในช่วงต้นปี 2554 ถึงกลางปี 2555 และจำเลยที่ 1 จะเบิกความเจือสมทำนองว่า จำเลยที่ 1 ได้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรตั้งแต่ช่วงปี 2555 ซึ่งเป็นวันเวลาก่อนที่จำเลยที่ 1 จะได้รับอนุญาตตามหนังสือเดินทางหมาย ล.68 ก็ไม่อาจนำข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของจำเลยที่ 1 มารับฟังลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดทั้งสองข้อหานี้ได้ สำหรับข้อหาจำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ได้ความทางนำสืบพยานโจทก์ปากนายออง ลี ซอ หรือเรน เรน ว่าภายหลังเกิดเหตุเพียงไม่กี่ชั่วโมง จำเลยที่ 2 นำโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางมามอบให้พยานโดยอ้างว่าชาวต่างชาติลืมไว้ที่ร้าน นอกจากนี้ พันตำรวจเอกประชุม เรืองทอง พยานโจทก์เบิกความสนับสนุนว่า ภายหลังได้รับแจ้งจากเจ้าพนักงานตำรวจว่าจำเลยที่ 2 รับสารภาพและให้การว่านำ

 

(53)

โทรศัพท์เคลื่อนที่และแว่นตากันแดดของผู้ตายที่ 1 ไปฝากไว้ที่เพื่อนชื่อนายเรน เรน พยานกับพวกจึงไปสอบถามนายเรน เรน และสามารถตรวจยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ตายที่ 1 มาเป็นของกลางได้ เกี่ยวกับข้อมูลที่ได้มาในส่วนนี้ พยานโจทก์ปากพันตำรวจโทณัฐพงษ์ ร่มไทร พนักงานสอบสวนผู้สอบคำให้การจำเลยที่ 2 ไว้ในฐานะพยาน และพันตำรวจโททนงศักดิ์ อักษรสม พนักงานสอบสวนผู้แจ้งข้อหาและร่วมสอบคำให้การจำเลยทั้งสอง กับนายพิทยา ใยเพ็ชร ทนายความผู้เข้าฟังการสอบปากคำจำเลยทั้งสองในวันที่ 3 ตุลาคม 2557 มาเบิกความในทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพว่า หลังจากทำร้ายและข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายที่ 2 แล้ว จำเลยที่ 2 ได้หยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่และแว่นตากันแดดของผู้ตายที่ 1 ไป คำพยานโจทก์ในส่วนนี้ล้วนเบิกความไปตามข้อเท็จจริงที่รู้เห็นและรับฟังมาด้วยตนเอง โดยพยานโจทก์ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้งสองมาก่อนเช่นนั้น ดังนั้นย่อมเป็นการยากที่เจ้าพนักงานตำรวจจะไปทำการตรวจยึดมาได้หากไม่มีข้อมูลดังที่เบิกความ ภายหลังตรวจยึดไว้เป็นของกลาง เจ้าพนักงานตำรวจผู้รับผิดชอบดำเนินการตรวจสอบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางในทันที โดยโจทก์มีพยานมาเบิกความรับรองประกอบเอกสารหมาย จ.30 ว่า หมายเลขประจำเครื่องหรือ IMEI ของโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง

 

(54)

ตรงกับหมายเลขประจำเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ตายที่ 1 และโจทก์ยังมีพยานเอกสารหมายเลข จ.77 ที่ได้รับจากบิดาผู้ตายที่ 1 มาสนับสนุนให้มีน้ำหนักรับฟังได้ดียิ่งขึ้น ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่มีพยานหลักฐานใดๆ มานำสืบหักล้างเป็นอย่างอื่น พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักรับฟังได้อย่างสิ้นข้อสงสัยว่า โทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางเป็นของผู้ตายที่ 1 จริง แม้โจทก์จะไม่มีพยานเห็นเหตุการณ์ขณะจำเลยที่ 2 ลักโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางไปจากที่เกิดเหตุ แต่ข้อเท็จจริงตามคำพยานโจทก์ที่นำสืบมาก็ได้ความอย่างสอดคล้องต้องกันและเชื่อมโยงว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ยึดถือและครอบครองโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางภายหลังเกิดเหตุ เมื่อพฤติการณ์ในคดีรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายร่วมเข้าไปทำร้ายผู้ตายที่ 1 ในที่เกิดเหตุ เช่นนี้จำเลยที่ 2 ย่อมมีโอกาสหยิบลักเอาโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ตายที่ 1 ไปจากที่เกิดเหตุได้ไม่ยาก อย่างไรก็ตาม โจทก์ไม่สามารถยึดแว่นตากันแดดของผู้ตายที่ 1 มาเป็นของกลาง ทั้งไม่มีพยานใดยืนยันว่าจำเลยที่ 2 มีส่วนเกี่ยวข้องในการยึดถือครอบครองแว่นตากันแดดภายหลังเกิดเหตุหรือไม่ อย่างไร จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยที่ 2 ลักแว่นตากันแดดของผู้ตายที่ 1 ไปตามที่โจทก์ฟ้อง ข้ออ้างจำเลยที่ 2 ฟังขึ้นบางส่วน รุปคดีคงรับฟังได้เพียงว่า จำเลยที่ 2 ลักเฉพาะโทรศัพท์เคลื่อนที่

 

(55)

ของกลางไปโดยทุจริตเท่านั้ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน สำหรับประเด็นข้ออ้างของจำเลยทั้งสองเรื่องฐานที่อยู่ ทางนำสืบจำเลยทั้งสอง คงมีเพียงจำเลยทั้งสองเบิกความอ้างโดยไม่มีพยานบุคคลหรือพยานหลักฐานใดๆ มาสนับสนุนให้เห็นว่าจำเลยทั้งยังขัดแย้งและไม่สามารถหักล้างวัตถุพยานของฝ่ายโจทก์ที่รับฟังได้อย่างแจ้งชัดแล้วว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายเข้าไปก่อเหตุคดีนี้ ตามคำพยานจำเลยทั้งสองที่อ้างว่า หลังจากดื่มเบียร์แล้ว จำเลยทั้งสองอยากกลับบ้านจึงชักชวนกันเดินกลับบ้าน แต่จำเลยทั้งสองกลับลงเล่นน้ำทะเลในเวลายามดึกวิกาลในขณะที่มีฝนตกปรอยๆ ดังที่จำเลยที่ 1 เบิกความ ทั้งเป็นการผิดวิสัยของคนปกติทั่วไปจะกระทำกัน ส่อให้เห็นพิรุธพฤติการณ์ส่อแสดงเป็นเหตุให้เชื่อได้ในทำนองว่าน่าจะเป็นการทำลายหลักฐานที่ติดตามเนื้อตัวร่างกายของจำเลยทั้งสองเสียมากกว่า เมื่อจำเลยทั้งสองไม่มีพยานหลักฐานใดมาสนับสนุน จึงมีลักษณะเป็นเพียงข้ออ้างลอยๆ ข้ออ้างในประการต่อมาที่ว่า การจับกุมและสอบสวนไม่ชอบด้วย ทำให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ตามทางที่นำสืบกันมาได้ข้อเท็จจริงเป็นที่แน่ชัดว่า ภายหลังเจ้าพนักงานตำรวจสอบถามจำเลยทั้งสองเกี่ยวกับหนังสือเดินทาง จำเลยทั้งสองไม่มี

 

(56)

หนังสือเดินทางมาแสดงต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ข้อนี้จำเลยที่ 1 เบิกความเจือสมรับว่าไม่มีหนังสือเดินทางมาแสดงจริง โดยให้เหตุผลว่านำเล่มหนังสือเดินทางไปฝากไว้กับเพื่อนก่อนหน้านี้ ลักษณะการกระทำของจำเลยทั้งสองที่ไม่มีหลักฐานการเข้าเมืองโดยชอบมาแสดงต่อเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมเช่นนี้ ย่อมเป็นพฤติการณ์ที่มีเหตุผลสมควร ทำให้เจ้าพนักงานตำรวจสงสัยได้ในเบื้องต้นว่าจำเลยทั้งสองคนเป็นคนต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย มีลักษณะเป็นความผิดซึ่งหน้า ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจสามารถจับกุมได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องมีหมายจับ ดังที่จำเลยที่ 1 อ้าง ข้ออ้างของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น จำเลยทั้งสองยังเบิกความตรงกันว่า ภายหลังถูกจับกุม เจ้าพนักงานตำรวจจัดหาล่ามภาษาพม่าให้แก่จำเลยทั้งสอง ทำให้เห็นได้อีกประการว่า เจ้าพนักงานตำรวจปฏิบัติหน้าที่ไปตามระเบียบและขั้นตอนโดยชอบแล้ว จำเลยทั้งสองก็เบิกความรับว่าพูดคุยกับล่ามโดยใช้ภาษาพม่ากลาง จึงไม่มีเหตุให้สงสัยว่าจำเลยทั้งสองกับล่ามจะพูดคุยสื่อสารกันไม่เข้าใจดังที่อ้าง แม้จำเลยทั้งสองจะอ้างทำนองถูกล่ามและเจ้าพนักงานตำรวจขู่เข็ญทำร้ายร่างกายและทรมานเพื่อบังคับให้รับสารภาพในชั้นจับกุมก็ตาม แต่จำเลยทั้งสองไม่มีหลักฐานใดๆ อันจะมีน้ำหนักเพียงพอพิสูจน์ให้รับฟังเชื่อได้ดังที่อ้าง คงเป็นเพียงการเบิกความอ้างลอยๆ เช่นกัน ทั้ง

 

(57)

ร่องรอยฟกช้ำตามที่อ้างว่าแพทย์ตรวจพบนั้น จะเกิดขึ้นเมื่อใดและโดยใครก็ยังไม่ปรากฏให้เห็นได้อย่างเด่นชัด ข้อนี้ตามทางนำสืบโจทก์ปรากฏว่า ภายหลังจากสอบคำให้การจำเลยทั้งสองแล้วพนักงานสอบสวนจัดให้นายแพทย์ชสิทธิ์มาทำการตรวจร่างกายจำเลยทั้งสองไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งนายแพทย์ชสิทธิ์มาเบิกความเป็นพยานฝ่ายโจทก์ยืนยันว่า จากการตรวจร่างกายจำเลยทั้งสองไม่พบร่องรอยฟกช้ำใดๆ ชีพจรเต้นเป็นปกติ และอาการทั่วไปของจำเลยทั้งสองก็อยู่ในเกณฑ์ปกติ เมื่อพิจารณาคำพยานประกอบกับตามภาพถ่ายขณะแพทย์ชสิทธิ์ตรวจร่างกายจำเลยทั้งสองตามเอกสารหมาย จ.68 ก็เห็นได้ว่า จำเลยทั้งสองอยู่ในสภาพปกติ และไม่มีร่องรอยการถูกทำร้ายใดๆ ให้เห็นได้ดังที่อ้าง ข้ออ้างนี้ของจำเลยทั้งสองคนค่อนข้างเลื่อนลอย ซึ่งง่ายต่อการกล่าวอ้าง แต่ยากที่จะรับฟังเชื่อถือได้ ส่วนขั้นตอนการสอบสวนก็ปรากฏข้อเท็จจริงเช่นเดียวกันว่า พนักงานสอบสวนจัดหาล่ามให้แก่จำเลยทั้งสองและมีทนายความมร่วมฟังการสอบปากคำจำเลยทั้งสองตลอดเวลา แม้นายพิทยา ใยเพ็ชร ซึ่งทำหน้าที่ทนายความเข้าฟังการสอบปากคำจำเลยทั้งสองในวันที่ 3 ตุลาคม 2557 จะไม่มีรายชื่ออยู่ในทำเนียบบัญชีรายชื่อทนายความอาสาในโครงการทนายความอาสาเข้าฟังการสอบปากคำผู้ต้องหาในคดีอาญาของทนายความอาสาประจำ

 

(58)

จังหวัดเกาะสมุย ตามเอกสารหมาย ล.16 ก็ตามที แต่ความก็ปรากฏตามคำพยานโจทก์ปากนายพิทยาว่า พยานเป็นทนายความที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพทนายความจากสภาทนายความ และพยานได้รับมอบหมายให้มาปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทนายความ เช่นนี้ นายพิทยาย่อมมีศักดิ์และสิทธิดังเช่นทนายความทั่วไปซึ่งสามารถปฏิบัติหน้าที่ทนายความได้ การที่พนักงานสอบสวนไม่จัดหาทนายความให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างสภาทนายความกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดังนี้จำเลยอ้าง ก็เป็นแต่เพียงการไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงที่มีต่อกัน หาใช่เป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย เมื่อพนักงานสอบสวนจัดหาทนายความเข้าฟังการสอบปากคำจำเลยทั้งสองในฐานะผู้ต้องหาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ทั้งยังจัดหาล่ามให้แก่จำเลยทั้งสองโดยไม่ปรากฏว่าล่ามมีสาเหตุความขัดแย้งส่วนตัวดังที่จำเลยทั้งสองอ้าง เช่นนี้ ย่อมเป็นการปฏิบัติไปตามขั้นตอนกระบวนการสอบสวนที่ชอบแล้ว จำเลยทั้งสองคงอ้างเถียงเฉพาะว่าถูกทำร้ายในชั้นจับกุม โดยไม่ได้พาดพิงว่าถูกข่มขู่ บังคับ ขู่เข็ญ ทำร้ายและทรมานในชั้นสอบสวนแต่อย่างใด เมื่อการจับกุมและสอบสวนเป็นคนละขั้นตอน แม้การจับกุมจะไม่ชอบด้วยประการใด ก็เป็นเรื่องที่ต้องไปว่ากล่าวเป็นอีกส่วนหนึ่ง หาได้ส่งผลให้การสอบสวนในส่วนที่ชอบด้วยกฎหมายมาตั้งแต่ต้น กลายเป็นการสอบสวนที่

 

(59)

ไม่ชอบอย่างใด เมื่อการสอบสวนเป็นไปโดยชอบ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง ข้ออ้างนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้นเช่นกัน แม้ตามคำพยานโจทก์ปากนายกมลและนายเมียจนางจะยอมรับว่าพยานอ่านภาษาไทยไม่ได้ อันเป็นเหตุให้สงสัยได้ตามสมควรว่า ล่ามจะรู้ข้อความและจะได้แปลความในบันทึกคำให้การให้จำเลยทั้งสองฟังตรงตามที่บันทึกไว้หรือไม่ อย่างไร ทั้งพยานหลักฐานของโจทก์ ในส่วนการทำแผนนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ ก็เกิดขึ้นก่อนมีการแจ้งข้อหาฐานร่วมกันฆ่าและร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราแก่จำเลยทั้งสอง ถ้อยคำรับใดๆ ในขณะจำเลยทั้งสองยังไม่ตกเป็นผู้ต้องหาในความผิดฐานดังกล่าวนี้ ย่อมไม่อาจนำมารับฟังเพื่อลงโทษได้ดังที่ฝ่ายจำเลยอ้างก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แห่งคดีตามที่ศาลได้วินิจฉัยมานั้น ก็มิได้หยิบยกถ้อยคำรับสารภาพใดๆ ของจำเลยทั้งสองในชั้นสอบสวนมารับฟังประกอบการวินิจฉัยเพื่อลงโทษในความผิดฐานดังกล่าว ข้อสงสัยและข้อบกพร่องในส่วนนี้ จึงมิใช่ข้อสาระสำคัญอันจะทำให้พยานหลักฐานของโจทก์ส่วนอื่นที่รับฟังได้โดยชอบนั้นต้องเสียไปแต่ประการใด ส่วนข้ออ้างเถียงอื่นๆ ของจำเลยทั้งสองเป็นเพียงข้อปลีกย่อย ไม่มีน้ำหนักและไม่ทำให้ผลคำวินิจฉัยของศาลเปลี่ยนแปลงไป

สำหรับจอบของกลางและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง แม้จำเลยทั้งสองจะนำจอบของกลาง

 

(60)

ไปเป็นอาวุธในการก่อเหตุ แต่ของกลางทั้งสองรายการเป็นทรัพย์ของผู้อื่นที่ไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำความผิด จึงเห็นควรให้คืนแก่เจ้าของ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ลักโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางของผู้ตายที่ 1 ไปโดยทุจริต การกระทำของจำเลยที่ 2 ย่อมเป็นการละเมิดจำต้องคืนหรือชดใช้ราคาทรัพย์แก่ทายาทของผู้ตายที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรคสอง โทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางเป็นทรัพย์ที่มีราคาสูงพอสมควร จำเลยที่ 2 ไม่นำสืบโต้แย้งว่า โทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางไม่ได้มีราคา 15,000 บาท ตามที่ระบุในบัญชีทรัพย์ถูกประทุษร้าย เอกสารหมาย จ.29 ข้อเท็จจริงจึงรับฟังว่า โทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางมีราคา 15,000 บาท จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้กระทำละเมิด จำต้องคืนโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางให้แก่ทายาทของผู้ตายที่ 1 เมื่อทางนำสืบปรากฏว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางถูกทุบทำลายจนแตกละเอียดอยู่ในสภาพไม่สามารถใช้การได้และถูกยึดไว้เป็นของกลางแล้ว เช่นนี้ จำเลยที่ 2 ย่อมอาจจะส่งมอบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง คืนแก่ทายาทของผู้ตายที่ 1 ในสภาพเรียบร้อยใช้งานตามเดิมได้ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดชดใช้ราคาทรัพย์ 15,000 บาท แก่ทายาทของผู้ตายที่ 1 ตามที่โจทก์ขอ

 

(61)

พิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289 (7), 276 วรรคสาม ประกอบมาตรา 83 และจำเลยที่ 2 ยังมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) วรรคแรก และพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 12 (1), 18 วรรสอง, 62 วรรคหนึ่ง อีกกระทงหนึ่ง การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายที่ 1 ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง ฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายที่ 2 เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง ฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราหญิงอื่นที่มิใช่ภริยาตนอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 20 ปี ฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี ฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางและเวลาตามกฎหมาย ฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่มีหนังสือเดินทางและไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย และเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านการตรวจของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมือง มิได้ยื่นรายการตามแบบที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย เป็นการกระทำโดยมีเจตนาเดียวกัน เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน

 

(62)

จึงให้ลงโทษฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 เดือน ฐานเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 เดือน จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ส่วนถ้อยคำรับชั้นจับกุมในความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การสืบสวนจนสามารถยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางได้ เห็นควรลดโทษให้หนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน ฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 3 เดือน ฐานเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 3 เดือน เมื่อลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสองแล้ว ก็ไม่อาจนำโทษจำคุกในความผิดกระทงอื่นของจำเลยทั้งสองมารวมอีกได้ คงให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสองสถานเดียว ให้คืนจอบของกลางแก่เจ้าของ กับให้จำเลยที่ 2 ใช้ราคาโทรศัพท์เคลื่อนที่

 

(63)

ของกลาง 15,000 บาท แก่ทายาทของผู้ตายที่ 1 ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

 

นายมนต์ชัย โพธิ์ทอง
นางสาวนิตยา วัฒนะชีวะกุล
นางสาวพิมพ์ศศิ จันทร์สว่าง

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท