ศาลฎีกายืนจำคุก อดีต จนท.กกต. หัวหน้าพรรค – ผู้อำนวยการพรรค และสมาชิกพรรคพัฒนาชาติไทย โกงเลือกตั้ง จ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้งปี 49 ส่วน พล.อ.ธรรมรักษ์ รอด ศาลอุทธรณ์สั่งยกฟ้อง อัยการไม่ฎีกา
เมื่อวันที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมา สำนักข่าวไทย รายงานว่า เมื่อ 09.00 น. วันนี้ (3 ก.พ.) ที่ห้องพิจารณา 913 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีจ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้ง หมายเลขดำ อ.961/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 5 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อายุ 76 ปี อดีต รมว.กลาโหมและกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย , นายอมรวิทย์ สุวรรณผล อดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาระบบบริหารฐานข้อมูลพรรคการเมือง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.), นายชวการ หรือ กรกฤต โตสวัสดิ์ อดีตสมาชิกพรรคพัฒนาชาติไทย , นายสุขสันต์ หรือจตุชัย ชัยเทศ อดีต ผอ.การเลือกตั้งพรรคพัฒนาชาติไทย และนายบุญทวีศักดิ์ อมรสินธุ์ อดีตหัวหน้าพรรคพัฒนาชาติไทย เป็นจำเลยที่1-5 ในความผิดฐานกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา6 และ 11
โจทก์ยื่นฟ้องคดี เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2553 สรุปว่า ระหว่างวันที่ 2 – 7 มี.ค.2549 ต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 3 จ้างวานให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็น เจ้าหน้าที่ กกต.ให้ ปฏิบัติหน้าที่ทุจริต พร้อมมอบเงินค่าตอบแทนให้ 30,000บาท เพื่อดำเนินการตัดต่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายชื่อ ข้อมูลสมาชิกพรรคพัฒนาชาติไทย ที่ไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง ให้สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้ ทั้งที่เป็นสมาชิกพรรคพัฒนาชาติไทยไม่ครบ 90 วัน ตามกฎหมาย เหตุเกิดที่แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง,แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร และแขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กทม. เกี่ยวพันกัน พวกจำเลยให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลชั้นต้นคำพิพากษา เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2555 ว่า จำเลยที่ 1 , 3 – 5 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 ให้จำคุกคนละ 3 ปี 4 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ กกต.ผิดตาม พ.ร.บ.เดียวกัน มาตรา 6 ให้จำคุก 5 ปี โดยไม่รอลงอาญาจำเลยทั้งหมด ริบเงินสดของกลาง
ต่อมาศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ ให้จำคุกนายอมรวิทย์ จำเลยที่ 2 เป็นเวลา 3 ปี 4 เดือน ส่วนจำเลยที่ 3-5 เหลือจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา และให้ยกฟ้อง พล.อ.ธรรมรักษ์ จำเลยที่ 1
เมื่อถึงเวลา นายอมรวิทย์ อดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยฯ จำเลยที่ 2 ซึ่งได้รับการประกันตัวเดินทางมาศาล ขณะที่ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เบิกตัวนายบุญทวีศักดิ์ อดีตหัวหน้าพรรคพัฒนาชาติไทย จำเลยที่ 5 มาจากเรือนจำ สำหรับ พล.อ.ธรรมรักษ์ จำเลยที่ 1 คดีถึงที่สุดในชั้นอุทธรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง และอัยการโจทก์ไม่ฎีกา ขณะที่ จำเลยที่ 2-5 ยื่นฎีกา ขอให้ศาลยกฟ้องด้วย ส่วนนายนายชวการ จำเลยที่ 3 และนายสุขสันต์ จำเลยที่ 4 ที่หลบหนี และศาลได้ออกหมายจับไว้ ขณะนี้ครบกำหนด 1 เดือนแล้ว ยังไม่สามารถติดตามจับกุมตัวจำเลยได้ ศาลจึงอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาลับหลังจำเลยทั้งสองในวันนี้
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมานั้นมีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2- 5 กระทำผิดจริง ที่ศาลล่างพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน และให้ออกหมายจับนายชวการ จำเลยที่ 3 และนายสุขสันต์ จำเลยที่ 4 มารับโทษตามคำพิพากษาด้วย ต่อมาเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวจำเลยที่ 2 และ จำเลยที่ 5 ไปควบคุมไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพต่อไป
โดย ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาในคดีดังกล่าว เมื่อวันที่ 7 ม.ค. 57 ซึ่ง ไทยรัฐออนไลน์ ได้รายงานส่วนหนึ่งไว้ โดยศาลอุทธรณ์ เห็นว่า กรณี พล.อ.ธรรมรักษ์ จำเลยที่ 1 แม้โจทก์จะมีหลักฐานเป็นภาพจากกล้องวงจรปิด ที่ได้จากศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม ที่พวกจำเลยเดินอยู่บนระเบียง โดยภาพช่วงที่เข้าไปยังกระทรวงกลาโหม และออกจากกระทรวงกลาโหม แตกต่างกันตรงที่ปรากฏซองสีขาวในมือของบุคคลที่ปรากฏในภาพวงจรปิด แต่โจทก์ก็ไม่มีประจักษ์พยานเบิกความ ยืนยันว่าพวกจำเลยได้เข้าไปพบจำเลยที่ 1 ภายในห้องรับรอง และจำเลยที่ 1 จะเป็นผู้มอบซองที่อาจจะมีการบรรจุเงินในซองดังกล่าว ให้กับจำเลยที่ 3 เพื่อไปมอบต่อให้กับจำเลยที่ 4 และ 5 นำไปให้จำเลยที่ 2 จริงหรือไม่