“เมืองระยองเก็บภาษีจากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ปิโตรเคมีและก๊าซธรรมชาติ ปีหนึ่งได้หลายแสนล้านบาท หรือเกือบครึ่งหนึ่งของภาษีที่เก็บได้ทั้งประเทศ แต่คนระยองได้ภาษีกลับคืนมาปีหนึ่งไม่กี่พันล้านบาท แถมยังต้องได้รับผลกระทบจากมลพิษต่างๆ ทั้งทางน้ำ ทางอากาศ ถนนพังเสียหายจากรถบรรทุก อีกทั้งโรงพยาบาลก็มีคนงานต่างชาติเข้าไปใช้บริการมากกว่าคนระยองเสียอีก”
“การยกเลิกผังเมืองตามประกาศของคสช.จะทำให้มีโรงงานต่างๆ เข้าไปตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยอยู่ใกล้แหล่งน้ำหรือแหล่งอาหารของชาวบ้าน เช่น โรงไฟฟ้าชีวมวล โรงไฟฟ้าจากถ่านหิน โรงไฟฟ้าจากขยะ โรงงานปิโตรเคมี รวมทั้งโรงงานคัดแยกและฝังขยะ ซึ่งตามกฎหมายผังเมืองฉบับเดิมไม่อนุญาตให้ตั้งโรงงานเหล่านี้ในเขตเกษตรกรรม....ดังนั้นจึงขอให้รัฐบาลยกเลิกคำสั่ง คสช.ฉบับที่ 3 และ 4 /2559 แล้วกลับไปใช้กฎหมายผังเมืองฉบับเดิม ” ฯลฯ
นี่คือเสียงสะท้อนบางส่วนของตัวแทนชาวบ้านในจังหวัดภาคตะวันออก 8 จังหวัดที่มาร่วมประชุมกันในงาน “เวทีสร้างความเข้าใจร่างรัฐธรรมนูญและการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ร่างรัฐธรรมนูญ และการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อร่างรัฐธรรมนูญ” เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ณ มหาวิทยาลัยบ้านนอก (ศูนย์เรียนรู้ด้านการเกษตรและเศรษฐกิจพอเพียง) บ้านจำรุง ต.เนินฆ้อ อ.แกลง จ.ระยอง ซึ่งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ สภาองค์กรชุมชนตำบล เครือข่ายขบวนองค์กรชุมชน และภาคประชาสังคม ภาคตะวันออก ได้ร่วมกันจัดงานนี้ขึ้น โดยมีนายเธียรชัย ณ นคร กรรมการร่างรัฐธรรมนูญเป็นตัวแทน และมีแกนนำชาวบ้านเข้าร่วมประมาณ 400 คน
เธียรชัย ณ นคร กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ
ผู้ใหญ่ชาติชาย เหลืองเจริญ แกนนำในการจัดเวทีนี้บอกว่า สาระสำคัญของการจัดงานในครั้งนี้ของภาคประชาชน คือ การระดมความคิดเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2559 และจะนำสาระและข้อเสนอของประชาชนในภาคตะวันออกยื่นต่อคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อให้นำไปพิจารณาและบรรจุลงไปในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยมีประเด็นต่างๆ รวม 9 ประเด็นที่ประชาชนได้ร่วมกันนำเสนอ ได้แก่ 1.ประเด็นด้านการเกษตร 2. ผังเมือง 3.ประมงชายฝั่ง 4.การกระจายอำนาจ การมีส่วนร่วม 5.สิทธิหน้าที่ เสรีภาพ สิทธิชุมชน 6.การจัดการทรัพยากร ดิน ป่า น้ำ พลังงาน 7.การปฏิรูปต่างๆ 8.สิทธิส่วนร่วมในการพัฒนา การกระจายรายได้ งบประมาณที่เป็นธรรม และ 9.หมวดว่าด้วยท้องถิ่น
ข้อเสนอของคนตะวันออก
ส่วนข้อเสนอที่ได้จากการเปิดเวทีในครั้งนี้ เช่น ประเด็นด้านการเกษตร 1. กำหนดให้เกษตรกรได้รับการประกันจากรัฐในการมีสิทธิที่ดินอย่างทั่วถึงและน้ำอย่างพอเพียง เพื่อประกอบอาชีพ 2. ให้รัฐสนับสนุนเกษตรกรรมรายย่อยด้านการบริหารโครงสร้างพื้นฐาน การกำหนดมาตรการปกป้อง การพยุงราคา แทรกแซงสนับสนุน เลือกการทำเกษตรที่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจสังคม ระบบนิเวศน์ และคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม
ประเด็นประมงพื้นบ้าน ปัญหาประมงพื้นบ้านจาก พ.ร.บ.ปี 2558 เช่น การให้ทำประโยชน์ในพื้นที่ 5.4กิโลเมตรและในเขต 3 ไมล์ทะเล หากทำผิดกฎหมายจะเสียค่าปรับ ห้ามโอนถ่ายซื้อขายมรดกทางประมง ซึ่งเป็นการลิดรอนสิทธิมนุษยชน ที่ประชุมจึงขอเสนอให้ยกเลิกมาตรา 34 ของ พ.ร.บ.ประมงปี 2558 และให้ทำประมงพื้นบ้านได้ในเขต 3 ไมล์ทะเล และเสนอว่า การออกกฎหมายควรคำนึงถึงภูมิปัญญาและการดำรงวิถีชีวิตของชาวประมง ไม่ใช้ข้อมูลทางวิชาการเพียงอย่างเดียว เพราะจะทำให้ขัดแย้งกับความเป็นจริงและเกิดผลกระทบต่อชาวประมงพื้นบ้าน
ประเด็นการกระจายอำนาจ การมีส่วนร่วม สภาพลเมือง มีข้อเสนอ เช่น 1. ในการออกเสียงประชามติในการแก้ไข เพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ให้เฉพาะผู้มีสัญชาติไทยในการออกเสียง 2. บุคคลผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคน มีสิทธิ์เข้าชื่อถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งตามมาตรา 238 ได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กฎหมายบัญญัติ
ประเด็นสิทธิและหน้าที่ เสรีภาพ ความเสมอภาค สิทธิชุมชน เช่น 1. การส่งเสริมสวัสดิการประชาชน คุ้มครองผู้พิการ ให้ได้รับความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ ให้คนจน คนด้อยโอกาส ในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม 2. สิทธิชุมชน มีสิทธิในการปกป้องรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ควรบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ แยกไว้เป็นประเด็นต่างหาก ไม่ต้องแฝงในหน้าที่แห่งรัฐ
สนับสนุนพลังงานหมุนเวียน แต่ค้านโรงไฟฟ้าชีวมวล
ประเด็นการจัดการทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า พลังงาน (ภูเขา ทะเล และพลังงาน) 1.รัฐต้องประกาศเขตอนุรักษ์ให้ชัดเจน และใช้ประโยชน์ในทรัพยากรร่วมกัน 2.ให้ชุมชน โดยสภาองค์กรชุมชนในการเข้าไปมีส่วนร่วมในเขตอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมมากกว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพราะที่ผ่านมาตัวแทนชุมชนไม่มีโอกาสได้เข้าไปเป็นกรรมการ 3.ให้มีการสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียน แต่ควรยกเว้นโรงไฟฟ้าชีวมวล เพราะมีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และไม่มีการทำ EIA ดังนั้นจึงเสนอว่า ในการสนับสนุนการใช้พลังงานให้ยกเลิกโรงไฟฟ้าชีวมวลในประเภทดังกล่าว ให้เน้นการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ (โซล่าเซลล์) และโซล่าฟาร์ม
ประเด็นเกี่ยวกับการปฏิรูปด้านต่างๆ เช่น 1. สนับสนุนการจัดตั้งกองทุน ธนาคารแรงงาน และสถาบันการเงินชุมชน 2. การจัดตั้งกองทุนการออมตั้งแต่เริ่มจนพ้นวัยทำงาน 3. คุ้มครองภูมิปัญญาของชาวบ้าน 4. การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจจากฐานราก ทั้งนี้การพัฒนาเศรษฐกิจต้องไม่กระทบกับวิถีชุมชนดั้งเดิม 5. ให้การทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรือ EIA ให้เป็นไปตามประชามติของประชาชนในชุมชน
สิทธิส่วนร่วมในการพัฒนา การกระจายรายได้ การเข้าถึงปัจจัยการดำรงชีวิต งบประมาณที่เป็นธรรม 1.ชุมชนควรเข้าถึงแหล่งข้อมูลของรัฐ “อย่างเท่าเทียม” 2. บุคคล/ชุมชน มีสิทธิเสนอเรื่องราวร้องทุกข์และมีส่วนร่วมในการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ 3. บุคคลมีสิทธิฟ้องหน่วยงานรัฐให้รับผิดชอบเนื่องจากการกระทำหรือการละเว้นกระทำ 4.ชุมชนมีสิทธิปกป้องฟื้นฟู อนุรักษ์ สืบสานพัฒนาขนบธรรมเนียมประเพณี รวมถึงการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 5. จัดการส่งเสริมงบประมาณที่มุ่งให้เกิดประโยชน์ กลไกการตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณรัฐที่มีประสิทธิภาพ คุ้มครองแรงงานและชุมชน 6. มีการจัดสรรงบประมาณภาษีสังคม ภาษีรายได้ให้ประชาชน และหักภาษีจากแรงงานต่างด้าว
หมวดว่าด้วยท้องถิ่น 1. องค์กรบริหารการปกครองส่วนท้องถิ่น มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี ไม่เกิน 2 วาระติดต่อกัน 2. ยกระดับสภาองค์กรชุมชน สนับสนุนการจัดตั้งสภาพลเมืองท้องถิ่น เพื่อความหลากหลายมากขึ้น 3. ผู้นำท้องถิ่นต้องผ่านหลักสูตรด้านการพัฒนา ต้องมีการฝึกอบรมให้สมาชิกและผู้บริหารรู้บทบาทตนเอง มีโรงเรียนหลักสูตรการบริหาร 4. ให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี
ประเด็นผังเมือง ที่ประชุมมีความเห็นว่า ผังเมืองไม่สามารถควบคุมและบังคับใช้ได้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะเมืองชายฝั่งอย่างจังหวัดระยองที่มีรายได้สูงต่อหัว แต่ประชาชนได้รับผลกระทบ เช่น ปัญหาประชากรแฝง ภาษีไม่ได้ตกอยู่กับคนระยอง ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลาย จึงมีข้อเสนอดังนี้ 1.ให้ประชาชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดกฎหมายผังเมือง และรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างแท้จริง สามารถกำหนดอนาคตตนเองได้ 2. การเก็บภาษีที่เป็นธรรม คุ้มครองคนที่อยู่ในพื้นที่
3. แต่ละจังหวัดมีปัญหาแตกต่างกันไปตามบริบทและนโยบาย เช่น สระแก้วเป็นพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ ควรมีการกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญว่าควรรักษาแม่น้ำลำคลองแต่ละแห่ง 4. กำหนดการผังเมืองให้มีลักษณะบูรณาการและการมีส่วนร่วมในแต่ละจังหวัด 5.การกำหนดผังเมืองควรเป็นเรื่องที่ท้องถิ่นและประชาชนร่วมกำหนดเป็นสัดส่วน 70 % 6.เสนอให้กลับมาใช้ผังเมืองเดิม ที่ดำรงไว้ซึ่งธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของชนบท ให้มีการจัดโซนนิ่งของอุตสาหกรรม ไม่ให้รุกเข้ามาในพื้นที่แหล่งผลิตอาหารที่มีความสำคัญต่อคนทั้งโลกทำให้สิทธิชุมชนหายไป ฯลฯ
กรรมการร่าง รธน.รับจะนำข้อเสนอของชาวบ้านไปปรับปรุงร่าง
ภายหลังการประชุมเสร็จสิ้นลงในช่วงบ่ายแก่ๆ ตัวแทนชาวบ้านภาคตะวันออกได้ยื่นข้อเสนอทั้งหมดต่อนายเทียนชัย ณ นคร กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ โดยนายเทียนชัยกล่าวว่าจะนำข้อเสนอจากเวทีนี้ไปรวบรวมนำเสนอต่อคณะกรรมการร่างรธน.เพื่อให้นำไปพิจารณาและปรับปรุงตามข้อเสนอของประชาชนต่อไป ทั้งนี้คณะกรรมการร่างรธน.จะจัดเวทีแบบนี้อีก 8 ภาคทั่วประเทศ โดยเวทีสุดท้ายจะจัดขึ้นที่จังหวัดเพชรบุรีในวันที่ 5 มีนาคมนี้ และหลังจากนั้นคณะกรรมการจะร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 29 มีนาคมนี้
“วันนี้กรรมการร่างรัฐธรรมนูญเขียนอยู่บนสองขา คือ ขาที่หนึ่ง เรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชนในกระบวนการต่อสู้ เรียกร้อง ขาที่สอง คือเรื่องของสิทธิเสรีภาพหน้าที่ของรัฐ เช่น เรื่องการปกครองส่วนท้องถิ่น รูปแบบ สิทธิชุมชนถูกกำหนดเข้าในรัฐธรรมนูญแล้ว เพิ่มเข้ามาว่าเป็นหน้าที่ที่รัฐต้องทำด้วย จึงถูกกำหนดเป็นหน้าที่ของรัฐ ส่วนสภาองค์กรชุมชนเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการเติบโตกระบวนการมีส่วนร่วมภาคประชาชน มีกฎหมายรองรับ ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ได้ชื่อว่า เป็นรัฐธรรมนูญฉบับต้านโกง เพราะมีการกำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนักการเมือง และในเรื่องสิทธิชุมชน ประชาชน ได้ให้สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และการกำหนดหน้าที่ของรัฐที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้อยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อประกอบการจัดทำรัฐธรรมนูญให้เสร็จสมบูรณ์ภายในวันที่ 29 มีนาคม 2559 นี้ “ กรรมการร่างรัฐธรรมนูญกล่าวในตอนท้าย
เสนอยกเลิกคำสั่ง คสช.เรื่องการยกเว้นผังเมืองรวมหวั่นกระทบสิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อม
แม้ว่าการจัดเวทีรับฟังข้อเสนอการร่างรัฐธรรมนูญจากคนภาคตะวันออกจะจบสิ้นลงแล้วตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แต่การเคลื่อนไหวเพื่อมีส่วนร่วมในการกำหนดชะตาชีวิตของคนตะวันออกเพิ่งจะเริ่มต้น โดยเฉพาะประเด็นด้านผังเมือง ซึ่งที่ประชุมมีความเห็นคัดค้านคำสั่งของ คสช.ที่ 3 และ 4/ /2559 เรื่องการยกเว้นการใช้ข้อบังคับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมสำหรับการประกอบกิจการบางประเภท โดยก่อนหน้านี้คือในวันที่ 18 กุมภาพันธ์เครือข่ายประชาชนในภาคตะวันออกหลายจังหวัด เช่น ระยอง ชลบุรี ฯลฯ ได้รวมตัวกันไปยื่นหนังสือผ่านทางผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ เพื่อคัดค้านคำสั่งดังกล่าว
ธวัชชัย พรหมจันทร์ จากกลุ่มเพื่อนตะวันออก กล่าวว่า เหตุผลของคำสั่งดังกล่าวเนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ แต่มีข้อจำกัดเรื่องการใช้ประโยชน์ที่ดินตามกฎหมายผังเมือง และข้อกำหนดตามกฎหมายควบคุมอาคารยังไม่สอดคล้องและเป็นอุปสรรคต่อการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยเฉพาะกิจการด้านคลังน้ำมันและพลังงานไฟฟ้า รวมทั้งปัญหาขยะล้นเมือง การบริหารจัดการขยะที่ไม่ถูกสุขลักษณะ รัฐบาลจึงอาศัยอำนาจมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ออกคำสั่งฉบับนี้ โดยมีผลตั้งแต่เมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา เพื่อให้สามารถดำเนินการจัดตั้งและบริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษได้อย่างเป็นรูปธรรมและรวดเร็ว และมีความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยจะจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้นใน 10 จังหวัดชายแดน ประกอบด้วย ตราด สระแก้ว กาญจนบุรี ตาก เชียงราย มุกดาหาร หนองคาย นครพนม สงขลา และนราธิวาส
ธวัชชัยกล่าวอีกว่า การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษจะทำให้ชาวบ้านได้รับผลกระทบหลายด้าน เช่น ด้านสิทธิชุมชน สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ เนื่องจากในภาคตะวันออกมีแม่น้ำที่สำคัญหลายสาย นอกจากนี้โรงงานอุตสาหกรรมก็จะแย่งชิงแหล่งน้ำจากภาคเกษตรเกษตร ส่วนบางพื้นที่ก็มีโรงงานไฟฟ้าชีวมวลเข้าไปตั้งรุกเข้าไปในพื้นที่การเกษตร โดยการหลีกเลี่ยงข้อกฎหมาย เช่น ตั้งโรงงานไฟฟ้ากำลังการผลิตไม่ถึง 10 เมกกะวัตต์ ทำให้ไม่ต้องทำรายงานการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมหรือ EIA จึงอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อพืชผลที่ชาวบ้านปลูกเอาไว้ รวมทั้งมีผลกระทบต่อสุขภาพของชาวบ้านที่ต้องสูดดมเอาฝุ่นควันจากโรงงานไฟฟ้าเข้าสู่ร่างกายด้วย ดังเช่นปัญหาจากโรงงานไฟฟ้าชีวมวลที่เกิดขึ้นแล้วในหลายจังหวัด
“การยกเลิกผังเมืองตามประกาศของคสช.จะทำให้มีโรงงานต่างๆ เข้าไปตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยอยู่ใกล้แหล่งน้ำหรือแหล่งอาหารของชาวบ้าน เช่น โรงไฟฟ้าชีวมวล โรงไฟฟ้าจากถ่านหิน โรงไฟฟ้าจากขยะ โรงงานปิโตรเคมี รวมทั้งโรงงานคัดแยกและฝังขยะ ซึ่งตามกฎหมายผังเมืองฉบับเดิมไม่อนุญาตให้ตั้งโรงงานเหล่านี้ในเขตเกษตรกรรม โดยในภาคตะวันออกมีการประกาศเขตเศรษฐกิจพิเศษในจังหวัดสระแก้วและตราด ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพทางการเกษตร และจะต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงขอให้รัฐบาลยกเลิกคำสั่ง คสช.ฉบับที่ 3 และ 4 /2559 แล้วกลับไปใช้กฎหมายผังเมืองฉบับเดิม ส่วนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น ควรจะกำหนดให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการกำหนดผังเมือง ไม่ใช่ปล่อยให้เฉพาะกลุ่มที่เห็นด้วยเข้าไปประชุมและลงความเห็นชอบ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มของกำนันและผู้ใหญ่บ้านที่เห็นด้วยกับทางราชการ” ตัวแทนกลุ่มเพื่อนตะวันออกกล่าว
ทั้งนี้ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์นี้ ตัวแทนภาคประชาชนในภาคกลางและตะวันตก 28 จังหวัด จะทำหนังสือคัดค้านการยกเลิก พ.ร.บ.ผังเมืองดังกล่าวผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด 28 จังหวัดไปถึงรัฐบาลคสช. ซึ่งตัวแทนเครือข่ายภาคประชาชน 8 จังหวัดภาคตะวันออกก็จะไปยื่นหนังสือภายในวันเดียวกันที่ศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัดในภาคตะวันออกด้วยเช่นกัน
ส่วนความคืบหน้าในการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษนั้น นายจักรกฤศฎิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์ได้ให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวว่า กรมธนารักษ์ได้ลงนามให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เช่าพื้นที่ราชพัสดุใน ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เนื้อที่ 650 ไร่ ระยะเวลา 50 ปี ในราคา 22,400 บาทต่อไร่ต่อปี เพื่อจัดทำเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ส่วนในจังหวัดตากให้กนอ.เช่า 836 ไร่ และสงขลา 1,196 ไร่
ขณะที่นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่า กนอ.กล่าวว่า เขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดสระแก้วมีเอกชนรายใหญ่ที่สนใจเข้ามาลงทุนแล้ว 5-6 ราย เช่น ปตท. SCG (เครือซีเมนต์ไทย) โดยจะเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและก่อสร้าง โดยจะแบ่งพื้นที่ออกเป็นแปลงๆ รวม 60 แปลง คาดว่าจะมีเอกชนเข้ามาเช่าประมาณ 40-50 ราย ในอัตราไร่ละ 1.6 แสนบาท คาดว่าจะมีเงินลงทุนเบื้องต้นประมาณ 5,000 ล้านบาท และกนอ.จะมีรายได้ต่อปีประมาณ 4,000 ล้านบาท มีการจ้างแรงงานประมาณ 3,000-4,000 คน เริ่มก่อสร้างได้ในปีงบประมาณ 2560 (ที่มา : คมชัดลึก / หน้า 8 / 19 ก.พ.2559)
ทั้งหมดนี้คือข้อเสนอของเครือข่ายภาคประชาชนภาคตะวันออกต่อการร่างรัฐธรรมนูญฉบับคสช. รวมทั้งการเคลื่อนไหวคัดค้านการยกเลิกกฎหมายผังเมืองเพื่อเอื้อต่ออุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชาวบ้าน
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)