เปิดสถิติจับกุม-คุมขังด้วย 112 หลังรัฐประหาร ชี้สิทธิตามกระบวนการยุติธรรมถูกละเมิด

สมาพันธ์เพื่อสิทธิมนุษยชนสากล (FIDH) และ สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) ออกรายงานสถานการณ์การใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหลังรัฐประหาร เปิดสถิติผู้ถูกคุมตัว-ลงโทษ มีผู้ถูกจับกุมตามข้อหา 112 เพิ่มขึ้นเกือบ 9 เท่า และมีเพียง 6% ที่ได้รับการประกันตัวระหว่างรอพิจารณาคดี 


 

26 ก.พ. 2559 สมาพันธ์เพื่อสิทธิมนุษยชนสากล (International Federation for Human Rights: FIDH) องค์กรสิทธิมนุษยชน ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงปารีส และ สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) ออกรายงานเรื่อง “36 and counting - Lèse-majesté imprisonment under Thailand’s military junta” (36 และที่ต้องนับต่อไป การคุมขังตามกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพภายใต้รัฐบาลทหารไทย) โดยระบุว่า การควบคุมตัวในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพสูงขึ้นในระดับน่าตกใจ ภายหลังการรัฐประหารในไทยเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 พร้อมแสดงความกังวลอย่างจริงจังต่อแบบแผนการละเมิดสิทธิที่จะมีเสรีภาพ สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม และสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงความเห็นและการแสดงออก อันเป็นผลมาจากการฟ้องร้องดำเนินคดีตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา โดยชี้ว่า การละเมิดทั้งหลายเหล่านี้ถือว่าขัดต่อพันธกรณีของไทยที่มีต่อกฎบัตรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่สำคัญ

คาริม ลาฮิดจี (Karim Lahidji) ประธานของ FIDH กล่าวว่า การปฏิบัติมิชอบกรณีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ส่งผลให้สถิติด้านสิทธิมนุษยชนของไทยเสื่อมทรามลงอย่างมากภายหลังรัฐประหาร ในช่วงที่จะมีกระบวนการทบทวนสิทธิมนุษยชนตามวาระกรณีประเทศไทย (Universal Periodic Review) ประชาคมระหว่างประเทศต้องเสนอให้ประเทศไทยแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน อันเนื่องมาจากการฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และต้องกดดันให้มีการปฏิรูปมาตรา 112

ข้อมูลจากรายงานระบุว่า ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหารในไทยหรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) การสอบสวนคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมักนำไปสู่การตั้งข้อหาอาญามากกว่าช่วงก่อนรัฐประหารถึงเกือบ 3 เท่า นับแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 มีผู้ถูกศาลตัดสินลงโทษจำคุกตามมาตรา 112 เป็นเวลายาวนาน 36 คน ในช่วงที่ทหารยึดอำนาจ มีผู้ที่ถูกศาลตัดสินจำคุกตามมาตรา 112 อยู่ก่อนแล้วหกราย จนถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2559 จำนวนบุคคลที่ถูกจับกุมในคดีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 53 คน หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 9 เท่า โดยในจำนวนนี้มีอยู่ 35 คนที่ได้รับโทษจำคุก และอีก 18 คนที่อยู่ระหว่างรอการพิจารณา

จำเลยคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหลายคนต้องถูกควบคุมตัวเป็นเวลานานระหว่างรอการพิจารณา และมักถูกปฏิเสธอย่างเป็นระบบไม่ให้ได้รับการประกันตัว ส่งผลให้มีการละเมิดอย่างมากต่อสิทธิขั้นพื้นฐาน รวมทั้งสิทธิขั้นพื้นฐานที่จะมีเสรีภาพและสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม โดยในจำนวน 66 คนที่ถูกจับกุมในข้อหาละเมิดมาตรา 112 หลังรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 มีเพียง 4 คน (6%) ที่ได้รับการประกันตัวระหว่างรอการพิจารณา จนถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2559 61% ของจำเลยคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพต่างถูกควบคุมตัวมาแล้วอย่างน้อย 1 ปีระหว่างรอการพิจารณา โดย 28% ถูกควบคุมตัวมาเกือบ 6 เดือนแล้ว

นอกจากนั้น รายงานให้ข้อมูลว่า การให้อำนาจศาลทหารในการพิจารณาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทั้งหมดที่เกิดขึ้นหลังรัฐประหารแทนที่จะใช้ศาลพลเรือนส่งผลกระทบอย่างมากต่อสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมของบุคคลที่ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 นับแต่รัฐประหาร ศาลทหารได้พิจารณาและลงโทษจำเลยคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ 24 คน โดยมีโทษจำคุกโดยเฉลี่ยสูงกว่าโทษจำคุกในช่วงก่อนรัฐประหารที่เป็นการตัดสินของศาลพลเรือนถึง 2 ปีครึ่ง

นับแต่รัฐประหารวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เกือบ 75% ของการจับกุม การควบคุมตัว และการจำคุกกรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพภายหลังรัฐประหาร มักเป็นผลมาจากการใช้สิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงความเห็นและการแสดงออก การควบคุมตัวบุคคลในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพรวมทั้งการควบคุมอย่างเข้มงวดต่อการเผยแพร่ข้อมูลอย่างเสรีเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ไทย เป็นการละเมิดอย่างชัดเจนต่อพันธกรณีของไทยที่มีต่อกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงความเห็นและการแสดงออก

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหน่วยงานสหประชาชาติและกลไกพิเศษหลายแห่งต่างได้แสดงความกังวลอย่างเปิดเผยต่อการฟ้องร้องดำเนินคดี การควบคุมตัวเป็นเวลานาน และคำสั่งจำคุกเป็นเวลาหลายปีตามมาตรา 112 พวกเขาได้เรียกร้องครั้งแล้วครั้งเล่าให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 112 และให้ปล่อยตัวผู้ถูกควบคุมตัวในคดี หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คณะทำงานว่าด้วยการควบคุมตัวโดยพลการแห่งสหประชาชาติ (UN Working Group on Arbitrary Detention - UNWGAD) ได้ประกาศว่าการควบคุมตัวบุคคลในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพสามคนคือ สมยศ พฤกษาเกษมสุข ปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม และภรณ์ทิพย์ มั่นคง เป็นการกระทำโดยพลการ คณะทำงานว่าด้วยการควบคุมตัวโดยพลการแห่งสหประชาชาติได้ร้องขอให้ทางการไทยปล่อยตัวบุคคลทั้งสาม และให้ชดเชยค่าเสียหายกรณีที่มีการควบคุมตัวพวกเขาโดยพลการ

จตุรงค์ บุณยรัตนสุนทร ประธาน สสส. กล่าวว่า จนกว่าจะมีการเริ่มต้นปฏิรูปมาตรา 112 โดยทันที เชื่อว่าจำนวนผู้ถูกควบคุมตัวในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จะเพิ่มขึ้นต่อไป การปฏิรูปมาตรา 112 จะทำให้ภาพลักษณ์ของไทยในประชาคมโลกดีขึ้น และตอบสนองต่อข้อกังวล ด้านสิทธิมนุษยชนของประชาคมระหว่างประเทศ

รายงานนี้ยังครอบคลุมรายละเอียดกรณีบุคคล 6 คน เป็นชาย 3 และหญิง 3  ซึ่งถูกศาลตัดสินจำคุกตั้งแต่ 5-30 ปีในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและการละเมิดพระราชบัญญัติการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ เรื่องราวของพวกเขาสะท้อนให้เห็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง อันเป็นผลมาจากการที่ทางการบังคับใช้กฎหมายมาตรา 112 อย่างจริงจังเกินไป

 

ที่มา: https://www.fidh.org/ไทย/19399

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท