รายงานพิเศษ: เปิดใจ 3 ครอบครัวแอดมินเรารัก พล.อ.ประยุทธ์

 
 
เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2559 ที่ผ่านมา เว็บไซต์ของสมาคมเพื่อเพื่อน ได้เผยแพร่รายงาน 'เปิดใจ 3 ครอบครัวแอดมินเรารัก พล.อ.ประยุทธ์' โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
 
ผ่านฝันร้ายที่สุดของ 8 ครอบครัวไป 1 สัปดาห์แล้ว ฝันร้ายที่ไม่มีใครเคยนึกถึงมาก่อน ปฏิบัติที่รวดเร็วดุจสายฟ้าฟาดของเช้าวันที่ 27 เม.ย. 2559 ราวกับเหยี่ยวตะคุบเหยื่อยังคงเป็นที่โจษขานจนถึงทุกวันนี้
 
ครอบครัวสายบุตรเปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยอาศัยอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพ โดยที่มารดาขายข้าวแกงอยู่ในโรงเรียนศรีอยุธยา ในพระอุปถัมภ์ฯ มีรายได้วันละหลายพันบาท แม้จะมีรายได้ค่อนข้างดี แต่ในช่วงปิดเทอมกลับไม่มีรายได้ อาชีพนี้จึงดูเหมือนไม่ค่อยมั่นคงสำหรับครอบครัวนี้
 
เมื่อแม่มีอายุมากขึ้น กอปรลูกสาวคนโตมีอาการป่วย แม่และพี่สาวจึงจำต้องย้ายกลับไปอยู่ จ.สุรินทร์ ขณะที่ศุภชัย (ตั๋ม) เลือกที่จะทำงานอยู่ในกรุงเทพ ส่วนพ่อทำงานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยจึงอยู่ด้วยกันกับตั๋ม
 
ตั๋มชอบค้าขาย ในวัยเด็กมักจะขอให้แม่ปิ้งขนมปังในตอนเช้าเพื่อเอาไปขายให้กับเพื่อนที่โรงเรียนเป็นค่าขนม แม้จะได้เงินไม่มากนัก แต่ก็ทำให้ผู้เป็นแม่รู้สึกภาคภูมิใจที่ลูกชายช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัว
 
ก่อนหน้านี้ครอบครัวนี้ยากจนมาก แม่ต้องทำงานเป็นคนงานก่อสร้างซึ่งเป็นงานที่หนักและได้เงินน้อย พ่อเคยเป็นทหารผ่านศึกในสงครามเวียดนามจึงได้สิทธิเข้าไปขายอาหารในโรงเรียน ช่วยทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น
 
ครอบครัวสายหยุดเปิดเผยอีกว่า ในวันดังกล่าวทหารจำนวน 20 คน ได้บุกมาที่บ้านพักของตั๋มก่อนเวลา 6.00 น. ก่อนจับกุมตั๋มและยึดคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเขา
 
พ่อซึ่งต้องเข้าเวรตอนกลางคืนกลับเข้าบ้านหลังเวลา 6.00 น. จึงไม่ได้พบกับลูกชาย แต่พบทหารคนหนึ่งซึ่งยืนรออยู่หน้าบ้านพวกเขา โดยแจ้งว่า ตั๋มถูกพาตัวไป มทบ.11 พ่อจึงรีบเดินทางไปเยี่ยมตั๋ม แต่ก็ไม่สามารถเยี่ยมได้
 
ครอบครัวมั่งคั่งสง่าเปิดเผยว่า ครอบครัวพวกเขารักความเป็นธรรม พ่อเป็นอดีตทหารอากาศ แต่ด้วยความเถรตรงจึงมักมีเหตุขัดใจกับผู้เป็นนายจนตัดสินใจที่จะเกษียณก่อนกำหนด
 
ในปี 2535 อาจเรียกได้ว่า พ่อเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ จำลอง ศรีเมือง เมื่อคราวเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยในเดือนพฤษภาคม ที่บ้านมีภาพถ่ายของจำลองติดอยู่เต็มบ้าน แต่เมื่อจำลองเปลี่ยนไป เขาจึงเลือกที่อยู่ข้างที่ถูกต้อง
 
โยธิน มั่งคั่งสง่า (โย) รักในงานศิลปะ หลังจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีก็เลือกที่จะไปทำงานเป็นช่างบูรณะวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ รัฐอุตตรประเทศ อินเดีย เป็นเวลานานกว่า 2 ปี
 
หลังกลับมาประเทศไทย เขายังคงทำอาชีพที่เกี่ยวกับงานศิลปะ เช่น ตุ๊กตาแม่เหล็กติดตู้เย็น หินธิเบต ลงสีจตุคามรามเทพ จนสามารถเปิดร้านในศูนย์การค้าเซียร์ แถวรังสิต มีรายได้สูงสุดวันละนับหมื่นบาท
 
หลังปี 2552 ความนิยมในวัตถุมงคลลดลง กอปรเศรษฐกิจไม่ดีทำให้โยจำใจต้องปิดร้าน และหันกลับมาต่อโมเดลกันดั้มขายทางอินเตอร์เน็ตเป็นหลัก ด้วยความที่มีจิตอาสาจึงช่วยงานมูลนิธิกระจกเงาทำหน้าที่โพสท์ประกาศคนหายในอินเตอร์เน็ต
 
ครอบครัวมั่งคั่งสง่าเปิดเผยอีกว่า ในวันดังกล่าวทหารทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบ 15 คนมายืนรอที่หน้าบ้านของพวกเขาก่อนเวลา 7.00 น. สุนัข 2 ตัวที่พวกเขาเลี้ยงไว้อยู่ในบ้านเห่าเสียงอยู่นานกว่าปกติจนทุกคนในบ้านต้องตื่นขึ้นมา คนแถวบ้านออกมามุงดูที่บ้านของพวกเขาด้วยความแปลกใจ
 
ทหารถามหาโย และบุกค้นบ้านของพวกเขาก่อนที่จะยึดคอมพิวเตอร์ไป 3 เครื่อง และโทรศัพท์เคลื่อนที่อีก 4 เครื่องซึ่ง 1 ในนั้นเป็นแทบเล็ต Samsung ของพ่อที่เพิ่งซื้อมาเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น
 
แม่ซึ่งเป็นอดีตนักโภชนาการของโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ชอบการเล่นเกมคอมพิวเตอร์มากจึงรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมากที่ถูกยึดคอมพิวเตอร์
 
ไม่เพียงแค่โยที่ได้รับผลกระทบ แฟนสาวของโยซึ่งอยู่ จ.นครปฐม ยังถูกทหาร 8 คนบุกเข้าค้นห้องพักก่อนเวลา 7.00 น. เช่นเดียวกัน แม้เธอจะไม่ถูกจับกุม แต่ก็ถูกยึดคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปหลายเครื่อง สิ่งนี้สร้างความหวาดกลัวให้เธออย่างมากจนต้องไปอาศัยอยู่กับเพื่อน และไม่กล้าที่จะกลับเข้าห้องพักอีก
 
เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นข่าวปรากฎตามสื่อมวลชนต่างๆหลายแห่งจนทำให้เพื่อนร่วมงานเก่าของแม่หลายคนมาเยี่ยมเธอ และปลอบโยนเธออย่างเห็นใจ เนื่องจากพวกเขาจำหน้าของโยได้ เพราะในอดีตแม่มักพาโยไปที่โรงพยาบาลอยู่เป็นประจำ
 
แต่สิ่งที่สร้างความกังวลให้กับครอบครัวมั่งคั่งสง่ามากที่สุดคือ ปัญหาสุขภาพของโย โยมีอาการภูมิแพ้ค่อนข้างรุนแรงซึ่งเป็นกรรมพันธุ์มาจากพ่อของเขา เขาจำเป็นต้องใช้ยา แต่จนถึงปัจจุบันโยก็ยังไม่ได้รับยาแต่อย่างใด
 
ครอบครัวบูรณศิริเปิดเผยว่า แม่ไม่ได้อยู่ด้วยกันกับ ธนวรรธ บูรณศิริ (ปอน) จึงไม่ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น แต่ปอนโทรศัพท์มาหาเธอหลังจากถูกจับกุม
 
ตอนแรกเธอรู้สึกตกใจ แต่ไม่มาก เพราะคิดว่า คงเกี่ยวกับรถมอเตอร์ไซด์ของเขา แต่ตอนหลังมาทราบข่าวจากสื่อว่า ปอนโดนคดี พรบ.คอมพิวเตอร์ฯ และ ม.116 จึงรู้สึกตกใจมาก
 
ครอบครัวบูรณศิริเปิดเผยอีกว่า ปอนเคยบวชเณรมาตั้งแต่เด็ก แม้ปอนจะจบการศึกษาไม่สูงนัก แต่ปอนก็สามารถหาเลี้ยงตนเองได้ และยังส่งเสียให้กับเธอเดือนละหลายพันบาท แม่ทราบเพียงว่า ปอนทำงานอยู่ในมูลนิธิกระจกเมื่อต้นเดือนเมษายนนี้เอง
 
ปัจจุบันแม่ทำงานเป็นพนักงานบรรจุหีบห่อในโรงงานผลิตอะไหล่รถมอเตอร์ไซด์ แถวบางพลี สมุทรปราการ มีรายได้เพียงวันละ 300 บาท หากวันใดที่แม่ต้องมาเยี่ยมปอนวันนั้นก็ไม่สามารถทำงานได้ ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ไม่มีรายได้ในวันนั้น 
 
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท