Skip to main content
sharethis

ที่มาภาพ เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล

23 พ.ค. 2559  เมื่อเวลา 14.35 น. ณ ห้องประชุมวายุภักดิ์ แกรนด์บอลรูม โรงแรมเซ็นทารา ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวมอบนโยบาย “การบูรณาการเพื่อนำประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” ในการประชุมสัมมนาการขับเคลื่อนและปฏิรูปประเทศไทยแบบบูรณาการ โดยผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วยคณะรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้นำเหล่าทัพ ผู้บริหารภาครัฐ ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน ธนาคารของรัฐ และสื่อมวลชน

เน้นสร้างความเข้าใจ ไม่เน้นอำนาจ

โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวมอบนโยบาย สรุปสาระสำคัญตอนหนึ่งว่า รัฐบาลพยายามบูรณาการการทำงาน แก้ไขปัญหาของประเทศ ซึ่งหลายคนยังไม่เข้าใจ ต้องการให้นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจตามมาตรา 44 แก้ไขปัญหาทั้งหมดในเวลาเดียวกัน เพราะเห็นในสิ่งที่บกพร่อง แต่สิ่งที่นายกรัฐมนตรีต้องการคือความเข้าใจ ความร่วมมือมองไปข้างหน้า โดยต้องไม่ลืมนำปัญหาที่ทับซ้อนอยู่ข้างหลังให้เดินไปข้างหน้าด้วย เพื่อไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ฉะนั้น จึงเกิดการบูรณาการ ทำใหม่ คิดใหม่ แก้ไขวิธีการกระบวนการในการบริหารจัดการ ปรับในเชิงโครงสร้าง ปรับกิจกรรมให้มีการบูรณาการข้ามกระทรวงข้ามหน่วยงานในงานเดียวกัน บูรณาการรัฐ ข้าราชการกับประชาชน กับธุรกิจเอกชน และบูรณาการในส่วนของประชาชนด้วยกันให้มีส่วนร่วมสร้างความเข้มแข็งของตัวเองด้วยตัวเอง ไม่ใช่พึ่งรัฐแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความมุ่งหมายในการบูรณาการ เพื่อปฏิรูปประเทศสู่ไทยแลนด์ 4.0 ให้สอดคล้องกับโลกในอนาคตที่มีการเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน รวมทั้งเดินหน้าวางกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีข้างหน้าที่เป็นการตีกรอบกว้าง ๆ ใน 6 ยุทธศาสตร์ เพื่อเป็นแนวทางให้รัฐบาลต่อไปดูแลคนทุกหมู่เหล่าให้เกิดความทั่วถึงเป็นธรรม ซึ่งความท้าทายวันนี้คือการเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ซึ่งเราต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมของโลก โดยจะต้องปฏิรูปประเทศเพื่อไม่ให้ถูกกดดันจากโลกภายนอก พัฒนาประเทศไทยไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างภาคภูมิใจ เป็นสังคมประชาธิปไตยที่มีธรรมาภิบาลไม่มีความขัดแย้ง ประเทศมีเสถียรภาพ ไม่ใช่ประชาธิปไตยเทียม

“วันนี้ผมไม่ใช่เป็นนักการเมือง แต่เข้ามาทำงานการเมืองร่วมกับทุกคน แม้แต่ข้าราชการที่นั่งอยู่ที่นี่ก็ทำงานการเมืองด้วย อย่าลืมว่าผลงานที่ผ่านมา ข้าราชการทุกระดับต่างก็ทำงานการเมืองทั้งสิ้น รัฐบาลมีเพียงหน้าที่ดำเนินนโยบายเท่านั้น ประเทศไทยได้ผ่านประสบการณ์มามากพอสมควร ตั้งแต่โชติช่วงชัชวาลย์มาจนถึงวันนี้ ความท้าทายของเรามีอยู่มากมาย ที่ผ่านมาเราไม่มียุทธศาสตร์ชาติที่ชัดเจน การทำงานของกระทรวง ทบวง กรม ก็ต่างคนต่างทำ ทำงานแบบรูทีน รัฐบาลไม่ได้มองภาพในเชิงบูรณาการหรืออนาคต ก็ต้องตุปัดตุเป๋ไปมา ความเข้มแข็งจึงไม่เกิดขึ้น ยิ่งเมื่อเติมด้วยความขัดแย้งเข้าไปอีก ก็ทำให้ปัญหามีมากขึ้น ดังนั้นการที่รัฐบาลวางยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นเพียงการตีกรอบกว้าง ๆ และได้นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเป็นเข็มทิศนำทางนำพาประเทศชาติไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

บอกขณะนี้กำลังปฏิรูปครั้งที่ 2 หลังจากครั้งแรกเกิดสมัย ร.5

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า จะต้องขับเคลื่อนปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ปฏิรูปการวิจัยและพัฒนา และปฏิรูปการศึกษาไปพร้อมกันเพื่อเตรียมคนสู่อนาคตในศตวรรษที่ 21 และศตวรรษต่อ ๆ ไป ดังนั้น จึงต้องผนึกกำลังกันทุกภาคส่วนภายใต้แนวคิดประชารัฐ ซึ่งวันนี้เรากำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายในศตวรรษที่ 21 ที่เราต้องปรับตัวให้สอดคล้องเข้ากับอารยธรรมของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งต้องปรับตัวกับภัยคุกคามจากภายใน ภายนอก โดยในเรื่องโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมของเราในปัจจุบัน จะต้องเปลี่ยนจากสังคมที่พึ่งการเกษตร พึ่งตนเอง พึ่งการส่งออกสินค้าเกษตร ไปสู่การเป็นสังคมเกษตรและอุตสาหกรรมเพิ่มมูลค่าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรมสีเขียว และปรับเปลี่ยนสู่สังคมฐานความรู้เศรษฐกิจสร้างมูลค่า แต่การปกครองระบอบประชาธิปไตยของเรายังมีความขัดแย้งกันในเรื่องที่ไม่ได้เริ่มต้นจากระเบียบ ไม่ได้เริ่มจากกฎเกณฑ์การอยู่ร่วมกันในสังคมที่เป็นปกติสุขมาก่อน พูดกันแต่เรื่องสิทธิเสรีภาพ จนลืมคำว่าหน้าที่ ดังนั้น การทำงานของพวกเราจึงยาก แต่ก็ยังสู้ได้ด้วยความเอาใจใส่ความจริงใจของพวกเรา เพื่อลูกหลานประเทศชาติในอนาคต พร้อมกับต้องมองตำแหน่งของไทยในเชิงยุทธศาสตร์ในเวทีโลกให้ประเทศไทยมีที่ยืนที่มั่นคงด้วย โดยจะต้องสร้างความเชื่อมั่นทำให้ประเทศไทยมีเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ แก้ไขประเด็นที่เปราะบาง อ่อนไหว ไร้เสถียรภาพในทุกมิติ ไม่ให้เกิดความแตกแยกวุ่นวาย เป็นสังคมประชาธิปไตยที่มีการเมืองที่มีธรรมาภิบาลและมีเสถียรภาพ

พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวด้วยว่า ขณะนี้เรากำลังปฏิรูปประเทศในครั้งที่ 2 ซึ่งการปฏิรูปประเทศครั้งแรกเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยวันนี้หากไม่มีการปฏิรูปเราจะถูกกดดันจากภายนอกในทุกมิติรวมทั้งจะมีแรงปะทุจากภายในของเรา ทั้งนี้ ทุกหน่วยงานมีหน้าที่ตามความรับผิดชอบ ขอให้ทุกหน่วยงานทำหน้าที่อย่างเต็มที่ สิ่งใดที่เป็นปัญหา รัฐบาลพร้อมจะแก้ไขปัญหาให้ แต่จะต้องมีการบูรณาการกันข้ามหน่วยงานในกิจกรรมเดียวกัน เพราะรัฐบาลไม่สามารถจะทำทุกอย่างในเวลาเพียง 2 ปีหรือเวลาที่เหลืออยู่ตามโรดแมป จึงต้องนำกิจกรรมหลักขึ้นมาวางพื้นฐานให้ได้ก่อน ส่วนที่เหลือก็ทำคู่ขนานกันไป รวมทั้งต้องทำให้ไทยหลุดจากกับดักรายได้ปานกลาง ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม และในเรื่องคุณภาพของคน ต้องคิดถึงสังคมผู้สูงวัยที่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะมีมากขึ้นถึงครึ่งหนึ่งของประชากรไทย รวมทั้งเรื่องการขาดแรงงานวัยฉกรรจ์ที่เป็นปัญหาระยะยาว

แม้ส่งออกลด แต่มวลความสุขสูงขึ้น ต้องภูมิใจที่มีความสุขแบบเบิร์ดเบิร์ด

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจบางคน ออกมาพูดว่าเศรษฐกิจตกต่ำคนจะตายกันหมดแล้ว มันตายตรงไหน เขาไม่ตายกันหรอก เขามีการปรับตัวเสมอ ตนไปภาคอีสานเขาก็บอกว่าปรับตัวได้เอง เพราะปีนี้แล้งมาก แต่กลับมีคนไปยุแหย่ตลอดเวลา ว่ามันแย่แล้วถ้ามันแย่ตัวเลขเศรษฐกิจมันจะขึ้นไหม จาก0.8 ตอนนี้ขึ้นมา 3.2 ก็ยังมาบอกว่าเป็นตัวเลขปลอมอีก ตนไม่เข้าใจ ทั้งโลกและประเทศรอบบ้าน ประเทศรวยๆติดลบตัวแดงเถือกหมด เรามีเรื่องการส่งออกที่ลดลง แต่เราก็มีมวลความสุขสูงขึ้น เราต้องภูมิใจที่มีความสุขแบบเบิร์ดเบิร์ด แบบพี่ไทยตามใจตัวเอง ขณะที่ประเทศอื่นกฎหมายเขาแรงทำอะไรมากไม่ได้ แต่มาบ้านเราสบาย แม้แต่การขับรถ เหมือนกับไทยเป็นสนามขับรถมากันเต็มที่เชียงใหม่ เกิดความวุ่นวายกันหมดแล้วก็จะมาให้รัฐบาลไล่กลับ ถ้าไล่เขาแล้วเราจะอยู่ยังไงในเมื่อรายได้หลักของประเทศอยู่ที่การท่องเที่ยว

เพิ่มบทบาทไทยในเวทีโลก 

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า วันนี้ต้องเพิ่มบทบาทของไทยในเวทีโลก ต้องมองวิกฤตให้เป็นโอกาส ไม่ใช่ทำโอกาสให้เป็นวิกฤตเพิ่มขึ้น ต้องเดินหน้าไปสู่อนาคตโดยต้องดูว่าจะเดินให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอาเซียนอย่างไร ซึ่งก่อนหน้าที่นายกรัฐมนตรีจะเข้ามาทำหน้าที่ก็ไม่โทษใคร แต่โทษตัวเองด้วย เรากำลังเป็นรัฐที่จะล้มเหลว และจะล้มเหลวทันทีถ้าไม่ได้ปฏิรูปโดยเริ่มจากตัวเอง ภาครัฐ และประชาชน อย่าคิดแต่เพียงอำนาจ ผลประโยชน์ ทุกวันนี้ถ้ามีทุจริตจะโดนหมด เราต้องสะอาดและโปร่งใส เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น ดังนั้นการปฏิรูปจึงต้องมีโรดแมปยุทธศาสตร์ 20 ปี ซึ่งรัฐบาลได้เริ่มปฏิรูปมาแล้ว สำหรับเรื่องการค้าการลงทุน เราเปิดทั้งหมดทำให้มีการแข่งขัน ทำให้สร้างความเชื่อมั่นและลดการรั่วไหล ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้บอกกับทุกประเทศว่าไทยจะต้องไม่มีการทุจริตและคอร์รัปชั่นโดยเด็ดขาด ถ้าหน่วยงานไหนบอกว่าต้องเสียเงินขอให้มาบอกแล้วจะลงโทษเดี๋ยวนั้น แต่ส่วนตัวนายกรัฐมนตรีก็ไม่คิดว่าใครจะทำ ถ้ารักประเทศต้องไม่ทำ

เลิก ม.44 ก็ใช้ กม.ปกติ ไม่ละเว้น มีรธน.เพื่อสากลยอมรับ มีประชามติเพื่อให้ทุกคนรับทราบ

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวถึงเรื่องการเมืองด้วยว่า ขอให้ทุกฝ่ายหนักแน่นเชื่อมั่นในนายกรัฐมนตรี ซึ่งส่วนตัวไม่เคยหมดกำลังใจ ขอให้ไว้วางใจซึ่งกันและกัน อย่าเชื่อการบิดเบือน พร้อมกับชี้แจงถึงการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ว่าเพื่อให้เกิดความมั่นคง เพื่อให้สามารถผ่อนปรน ผ่อนผันได้ แต่หากมีการเรียกร้องให้ยกเลิก มาตรา 44 ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายปกติ โดยไม่ละเว้น ส่วนเรื่องรัฐธรรมนูญ เป็นหลักประกันที่ให้ประเทศไทยมีหลักการที่สากลยอมรับ ขณะที่เรื่องประชามติก็เพื่อให้ทุกคนรับรู้รับทราบ

 

เรียบเรียงจาก เว็บไซต์ทำเนียบฯ มติชนออนไลน์และผู้จัดการออนไลน์

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net