10 มิ.ย.2559 จากกรณีเมื่อ 17 พ.ค. ที่ผ่ามมา กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าได้แจ้งความดำเนินคดีกับ พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ สมชาย หอมลออ และอัญชนา หีมมีนะ ที่สภ.เมืองยะลา ในข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาโดยเอกสารและความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 จากที่ทางมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กลุ่มด้วยใจ องค์กรเครือข่ายนุษยชนปาตานี เก็บข้อมูลและเรียบเรียงและได้เผยแพร่ ‘รายงานสถานการณ์การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรีในจังหวัดชายแดนใต้ ปี 2557 – 2558’ นั้น
วานนี้ (9 มิ.ย.59) คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากลหรือไอซีเจ (International Commission of Jurists) ได้ออกแถลงการณ์ต่อกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า ทางการทหารไทยต้องถอนแจ้งความร้องทุกข์คดีหมิ่นประมาททางอาญาที่มิชอบต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนแถวหน้าสามรายที่หยิบยกประเด็นข้อกล่าวหาเรื่องการทรมานที่เกิดขึ้นในชายแดนใต้ที่ไม่สงบโดยทันที
โดย ความผิดฐานหมิ่นประมาททางอาญา ระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท (5,600 ดอลลาร์สหรัฐ) ส่วนความผิดตามมาตรา 14 (1) แห่งพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท (2,800 ดอลลาร์สหรัฐ) หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ
ตั้งแต่พ.ศ. 2547 นับเป็นครั้งที่สองแล้ว ที่ทางการทหารไทยได้ยื่นฟ้องหมิ่นประมาททางอาญาเอาผิดกับ พรเพ็ญ คงขจรเกียรติและสมชาย หอมลออ สืบเนื่องมาจากการหยิบยกประเด็นข้อกล่าวหาเรื่องการทรมานในจังหวัดชายแดนภาคใต้
นอกจากนี้ นายแซมฯยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทางการทหารไทยควรจะได้พิจารณาคำพิพากษาล่าสุดในคดีภูเก็ตหวานของศาลจังหวัดภูเก็ตที่วางหลักการว่าพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ไม่ได้มีเจตนารมณ์ที่จะครอบคลุมไปถึงข้อกล่าวหาเรื่องการหมิ่นประมาทด้วย”
วันที่ 1 ก.ย. 58 ศาลจังหวัดภูเก็ตได้ยกฟ้องคดีที่นักข่าวสองราย ถูกฟ้องหมิ่นประมาททางอาญาเเละกระทำผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ภายหลังที่กองทัพเรือได้ยื่นฟ้องว่านักข่าวได้ทำการหมิ่นประมาทเมื่อวันที่ 17 ก.ค.56 โดยเกี่ยวโยงกับการที่นักข่าวได้พิมพ์ซ้ำย่อหน้าหนึ่งจากบทความของสำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters) ซึ่งเป็นบทความที่ชนะรางวัลพูลิตเซอร์ (Pulitzer) โดยมีเนื้อความกล่าวหาว่า “กองกำลังทางน้ำของประเทศไทย (Thai naval forces)” ได้สมรู้ร่วมคิดในการค้ามนุษย์
การใช้กฎหมายหมิ่นประมาททางอาญาที่ระวางโทษจำคุกต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนโดยมีเหตุมาจากการรายงานเรื่องข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้น เป็นผลให้ประเทศไทยละเมิดพันธกรณีภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights : ICCPR) ที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคี
นอกจากนี้ ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน (UN Declaration on Human Rights Defenders) ได้วางหลักการว่า “บุคคลทุกคนล้วนทรงสิทธิ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิที่จะเป็นอย่างเอกเทศหรือที่จะเกี่ยวข้องกับผู้อื่น อาทิ พิมพ์, ติดต่อสื่อสาร หรือเผยแพร่แลกเปลี่ยนกับมุมมองอื่น ๆ ข้อมูลและองค์ความรู้ในเรื่องสิทธิมนุษยชนเเละเสรีภาพพื้นฐานทุกประการ”
ความเป็นมา
เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 58 ประเทศไทยได้เข้าร่วมกับอีก 127 รัฐ ณ สมัชชาแห่งสหประชาชาติ (UN General Assembly) เพื่อรับเอาข้อมติเเห่งสหประชาชาติว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน (UN Resolution on human rights defenders) ข้อมติดังกล่าวได้เรียกร้องให้รัฐต่าง ๆ งดเว้นจากการข่มขู่หรือการโต้กลับต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
เมื่อเดือนที่เเล้ว ระหว่างกระบวนการทบทวนสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชน (Universal Periodic Review) ประเทศไทยได้แจ้งต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน (Human Rights Council) ว่าคณะรัฐมนตรีกำลังพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย ต่อมามีรายงานว่าทางคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติร่างพระราชบัญญัติฯดังกล่าวในวันที่ 24 พ.ค.59
ภายหลังการสรุปการทบทวนสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนดังกล่าว ประเทศไทยยังได้รับเอาข้อเสนอเเนะบางประการว่าจะคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนเเละสอบสวนกรณีที่ได้มีการรายงานประเด็นการข่มขู่ การคุกคาม เเละการโจมตีนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
ทั้งนี้ สิทธิที่จะเข้าถึงกระบวนการเยียวยาที่มีประสิทธิภาพจากการถูกทรมานเเละการประติบัติที่ทารุณอื่น ๆ รวมถึงการที่เรื่องร้องเรียนจักได้รับการสวบสวนโดยทันที โดยครบถ้วนเเละเป็นกลาง ได้รับการประกันโดยสนธิสัญญาระหว่างประเทศต่าง ๆ ที่ประเทศไทยเข้าเป็นรัฐภาคี รวมถึง อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม (Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment: CAT) และ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
จะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีพันธกรณีภายใต้สนธิสัญญาทั้งสองฉบับที่จะดำเนินการสอบสวน หากปรากฏว่ามีข้อกล่าวหาเรื่องการทรมานเเละการประติบัติที่ทารุณ รวมถึงการนำผู้รับผิดชอบการกระทำความผิดเข้ามาสู่กระบวนการยุติธรรมผ่านกระบวนการทางอาญาที่เป็นธรรม
เมื่อเดือน พ.ค.57 ประเทศไทยถูกวิจารณ์ประเด็นเรื่องความล้มเหลวที่จะเคารพซึ่งสิทธิดังกล่าว ในการนี้คณะกรรมการแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน (United Nations Committee Against Torture) ได้แสดงข้อห่วงใยว่า “ปรากฏว่ามีข้อกล่าวหาจำนวนมากเเละมีเนื้อความที่ขัดเเย้งในเรื่องการกระทำความผิดร้ายเเรงเรื่องการโต้กลับเเละข่มขู่นักปกป้องสิทธิมนุษยชน, นักข่าว, ผู้นำชุมชนเเละญาติ รวมถึงการทำร้ายด้วยการใช้วาจาเเละทำร้ายร่างกาย การบังคับบุคคลให้สูญหายเเละการสังหารนอกระบบยุติธรรม รวมทั้งขาดข้อมูลในการสอบสวนข้อกล่าวหาต่างๆ’’
คณะกรรมการฯได้เสนอเเนะให้ประเทศไทย “ควรจะใช้มาตรการที่จำเป็นต่าง ๆ ในการ (ก) หยุดการคุกคามเเละโจมตีนักปกป้องสิทธิมนุษยชน นักข่าวเเละผู้นำชุมชนทันที และ (ข) ดำเนินการสอบสวนอย่างเป็นระบบ หากมีรายงานเรื่องเหตุการณ์ของการข่มขู่ การคุกคามเเละการโจมตี โดยมีแนวคิดที่จะนำผู้กระทำผิดเข้ามารับโทษเเละรับรองว่าจะมีการเยียวยาที่มีประสิทธิภาพให้แก่เหยื่อเเละครอบครัว”