Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis


 

กรณีปัญหาเรื่องวัดพระธรรมกายคืนหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน นายบุญชัย เบญจรงคกุล นักธุรกิจคนสำคัญและเจ้าของบริษัทดีแทคเชิญชวนประชาชนร่วมกันปฏิบัติธรรม แผ่เมตตา เพื่อขอให้พระธัมมชโยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายพ้นมลทินจากการถูกใส่ร้าย และอธิบายว่า พระธัมมชโยนั้นเปรียบประดุจแสงสว่างให้ชาวโลกเกิดสันติสุข

กรณีการเคลื่อนไหวของนายบุญชัยเกิดขึ้นหลังจากที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้พยายามที่จะดำเนินคดีเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายในข้อหาฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงินและรับของโจร ซึ่งเป็นผลจากกรณีการฉ้อโกงสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น แต่ทางวัดพระธรรมกายได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และเสนอว่า คดีนี้เป็นการหาเหตุกลั่นแกล้งพระธัมมชโย ทางกลุ่มศิษย์วัดได้ออกแถลงการณ์ในระยะก่อนนี้ว่า รอให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยก่อน พระธัมมชโยจึงจะมอบตัว

ต้นเหตุของเรื่องเริ่มจากกรณีของสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น ซึ่งเป็นสหกรณ์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วใน 20 ปีที่ผ่านมา จนกลายเป็นสหกรณ์ใหญ่ของประเทศ มีสมาชิกกว่าห้าหมื่นคน และมีเงินหมุนเวียนนับหมื่นล้านบาท ผู้บริหารคนสำคัญซึ่งทำงานกับสหกรณ์มาตั้งแต่แรก คือ ศุภชัย ศรีศุภอักษร อย่างไรก็ตาม สหกรณ์เริ่มเกิดปัญหาขาดสภาพคล่องอย่างชัดเจนใน พ.ศ.2556 จนทำให้สมาชิกจำนวนมากไม่อาจเบิกเงินได้ หลังจากที่มีการสอบสวน นายศุภชัยถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการสำคัญในการยักยอกเงินสหกรณ์ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้รายงานว่า มีเงินรั่วไหลจากสหกรณ์ทั้งสิ้นประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท โดยการปล่อยกู้ให้สมาชิกสมทบที่เป็นนิติบุคคลที่เป็นฝ่ายนายศุภชัยราว 1.1 หมื่นล้านบาท จ่ายเป็นเงินยืมทดลองให้นายศุภชัย 3 พันล้านบาท นำไปบริจาคให้วัดธรรมกาย 937 ล้านบาท และไปลงทุนซือหุ้นบริษัทสหประกันชีวิต 300 ล้านบาท ในที่สุด นายศุภชัยและคณะจึงถูกจับกุมดำเนินคดี และถูกยึดทรัพย์ ปัญหาคือ ทางสหกรณ์ได้ยื่นฟ้องต่อวัดพระธรรมกายเป็นจำเลยด้วย ในที่สุด ศาลก็ได้ตัดสินจำคุกนายศุกชัย 16 ปี แต่ในส่วนวัดพระธรรมกาย ได้มีการเจรจาประนีประนอม โดยทางวัดได้ขอจ่ายเงินให้กับสหกรณ์ 684 ล้านบาท ทางสหกรณ์จึงตกลงถอนฟ้องไม่ดำเนินคดีกับวัดพระธรรมกายอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษได้เข้ามาสอบสวนคดีนี้ตั้งแต่ พ.ศ.2557 ได้สั่งอายัดทรัพย์ของนายศุภชัย ศุภศรีอักษร และได้เสนอฟ้องเพิ่มอีก 7 คดี แต่ที่สำคัญคือ ดีเอสไอ ได้เสนอทีจะดำเนินคดีกับพระธัมมชโยในฐานะผู้ร่วมมือกับนายศุภชัยด้วย กรณีนี้เปิดทางให้กลุ่มสลิ่มและผู้ต่อต้านวัดพระธรรมกายเข้าร่วมในการถล่มโจมตีพระธัมมชโย โดยเฉพาะ พระพุทธอิสระ นายไพบูลย์ นิติตะวัน นายมโน เลาหวณิช สำนักข่าวทีนิวส์ หนังสือพิมพ์แนวหน้า ไทยโพสต์ และโดยเฉพาะ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ-เอเอสทีวี โดยพยายามโยงว่า วัดพระธรรมกายเป็นฝ่ายทักษิณและสนับสนุนขบวนการคนเสื้อแดง ส่วนเป้าหมายของคณะทหาร คสช. อาจสะท้อนได้จากคำแถลงของ พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ว่า “หากพระธัมมชโยถูกจับกุมตัว ก็ต้องถูกจับสึกตามขั้นตอนและตามที่พระธรรมวินัยที่กำหนดไว้”

ในกรณีทั้งหมดนี้ ทางฝ่ายวัดพระธรรมกายได้อธิบายว่า ทางพระธัมมชโยไม่ได้เกี่ยวข้องกับการยักยอกเงินสหกรณ์ของนายศุภชัย ศรีศุภอักษร เพราะเมื่อมีผู้ศรัทธานำเงินมาบริจาคเพื่อทำบุญ คงไม่มีวัดไหนที่จะไปถามที่มาของเงินบริจาค และที่โจมตีว่า กรณีที่นายศุภชัยบริจาคเงินเป็นเงินหลายร้อยล้านบาททำไมจึงไม่สนใจที่มาของเงิน ทางวัดก็ได้ชี้แจงว่า นายศุภชัย ไม่ใช่ผู้ที่มาบริจาคทำบุญมากที่สุดของวัด ยังมีผู้ที่บริจาคทำบุญมากกว่านายศุภชัยอีกหลายราย และการสร้างศาสนสถานของวัดเพื่อรองรับคนจำนวนมากก็ต้องใช้งบประมาณมากเช่นกัน ดังนั้นเมื่อนายศุภชัยอธิบายว่า ได้ทำธุรกิจหลายอย่างได้ผลกำไรดีมาก จึงเอามาทำบุญ ทางวัดจึงไม่สามารถจะไปตั้งข้อสงสัยได้ และเมื่อทางวัดรับบริจาคมาแล้ว ก็นำเงินนั้นไปใช้ในกิจการทางศาสนา ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค ซึ่งเป็นการดำเนินการที่ตรวจสอบได้ จึงไม่เป็นความผิดฐานฟอกเงินหรือรับของโจร

สำหรับเรื่องเงินที่วัดมอบเงินแก่สหกรณ์ 684 ล้านบาท ก็ไม่ใช่เป็นเงินคืนจากการบริจาคของนายศุภชัย แต่เป็นเงินที่ทางคณะศิษย์ของวัดพระธรรมกายเห็นว่า  หากมีการต่อสู้คดีกันต่อไปก็จะกินเวลานาน และเกิดความเสียหายทั้งต่อชื่อเสียงของวัด  และสมาชิกสหกรณ์ผู้ฝากเงินที่เดือดร้อน  จึงได้ตั้งกองทุนรวบรวมเงินเพื่อช่วยเหลือเยียวยาบรรเทาความเดือดร้อนแก่สมาชิกผู้ฝากเงินสหกรณ์ และผลจากการเข้าไปช่วยเหลือทำให้เรื่องราวระหว่างสหกรณ์กับวัดพระธรรมกายก็จบลงด้วยดี ทางสหกรณ์ไม่ติดใจเอาความ ดังนั้น ดีเอสไอจึงดำเนินคดีกับวัดพระธรรมกายโดยไม่มีเจ้าทุกข์

ที่สำคัญคือ นายศุภชัย บริจาคเงินให้วัดตั้งแต่ พ.ศ.2552 ในขณะนั้น นายศุภชัยมีฐานะเป็นนักสหกรณ์ดีเด่น และเป็นคนใจบุญ ทำบุญกับวัดและโรงเรียนหลายแห่ง แม้กระทั่งบริจาคให้สภากาชาดไทย เกียรติประวัติด้านการบุญทำให้ทำให้เขาได้รับรางวัลพุทธคุณูปการจากคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร นายศุภชัยไม่เคยมีภาพลักษณ์เป็นนักฉ้อโกงจนกระทั่งมาถูกฟ้องดำเนินคดีใน พ.ศ.2556 ทางวัดพระธรรมกายคงไม่อาจจะรู้ล่วงหน้าได้

ทางฝ่ายวัดพระธรรมกายได้ตั้งคำถามต่อดีเอสไอด้วยว่า เมื่อนายศุภชัยก็ได้นำเงินไปบริจาคการกุศลจำนวนมาก แต่วัดและองค์กรอื่นก็ไม่ได้ถูกเรียกร้องให้คืนเงินแต่อย่างใด และเงินทั้งหมดที่อ้างว่ามีการฉ้อโกงก็มากถึง 2 หมื่นล้านบาท แต่เหตุใดจึงมาไล่บี้ดำเนินคดีกับวัดพระธรรมกายที่ได้รับบริจาคมาเพียง 900 ล้านบาท

นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องเล่าสู่กันฟังในเรื่องเกี่ยวกับดีเอสไอและวัดพระธรรมกาย

0000



เผยแพร่ครั้งแรกใน โลกวันนี้วันสุข ฉบับ 570 วันที่ 25 มิถุนายน 2559

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net