แก่นเรื่องหลักของงานประพันธ์ทุกยุคสมัยคือการสำรวจสภาวะการดำรงอยู่ของมนุษย์ งานประพันธ์ยุคก่อนสมัยใหม่ส่วนใหญ่มักสำรวจตำแหน่งแห่งที่ของการดำรงอยู่ของมนุษย์ภายในสังคม การอยู่ผิดตำแหน่งแห่งที่หรือการถูกบังคับให้อยู่ในตำแหน่งแห่งที่โดยไม่เต็มใจคือที่มาของความน่าขันหรือน่าขื่นของตัวละคร ครั้นเมื่อสังคมสมัยใหม่โดยเฉพาะในตะวันตก สถานภาพดั้งเดิมตามประเพณีถูกทำลายลงไปพอสมควร วิถีการผลิตที่แปรเปลี่ยนไปทำให้สังคมแตกตัวออกเป็นหน่วยปัจเจกบุคคลย่อยๆ ในขณะที่กลไกรัฐใหญ่โตขึ้นและสังคมมีความซับซ้อนมากขึ้น การสำรวจสภาวะการดำรงอยู่ของมนุษย์เริ่มปรับจุดโฟกัสมาที่ “ตัวตน” และ “โลกภายใน” ของตัวละคร
นวนิยายประเภทหนึ่งที่เน้นการสำรวจสภาวะการดำรงอยู่ของมนุษย์ก็คือสำนักอัตถิภาวนิยม (Existentialism) ถึงแม้ผู้สันทัดกรณีบางคนจัดนวนิยายของคุนเดอราอยู่ในสำนักนี้ แต่ข้าพเจ้าไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไร นวนิยายสำนักอัตถิภาวนิยมเชื่อว่ามนุษย์จะบรรลุความจริงแท้ของตัวตนได้ก็ด้วยเสรีภาพและการเลือก เสรีภาพและการเลือกของมนุษย์นั้นถูกขัดขวางด้วยสิ่งตรงข้ามคือโลกที่ไร้สาระ (The Absurd) และคนอื่น (The Other) ที่เป็นนรก เมื่อมนุษย์เผชิญหน้ากับโลกและคนอื่นที่เข้าใจไม่ได้ เขาอาจจะพ่ายแพ้และกลายเป็น “คนนอก” หรือได้รับชัยชนะและกลายเป็น “อภิมนุษย์” ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าเขาบรรลุเสรีภาพและการเลือกของตนเองหรือไม่
ในนวนิยายของคุนเดอรานั้น ตัวละครไม่ได้บรรลุความจริงแท้แห่งตัวตนด้วยเสรีภาพและการเลือก เพราะมนุษย์ต้องดำรงอยู่ในโลกที่กลายเป็นกับดัก เสรีภาพจึงไม่ค่อยมี ทางเลือกก็ไม่ค่อยมาก การ “ต้อง” เลือกภายในกรอบของกับดักย่อมไม่ใช่เสรีภาพที่แท้จริง แต่ตัวละครของคุนเดอราก็มิใช่ผู้ถูกกระทำเพียงฝ่ายเดียวหรือใสซื่อบริสุทธิ์ ในขณะที่ตัวละครของคาฟกาถูกเหวี่ยงเข้าสู่สถานการณ์ที่เขาไม่ได้เลือก การต่อสู้กับโลกที่เข้าใจไม่ได้จึงหนักอึ้ง แต่ในโลกของคุนเดอรา มันปฏิเสธไม่ได้ว่ามนุษย์คือส่วนหนึ่งของโลกที่เป็นปฏิปักษ์และจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เขาย่อมมีส่วนอยู่บ้างในการสร้างโลกนั้นขึ้นมา แม้มันจะกลายเป็นปฏิปักษ์ต่อตัวเขาเองก็ตาม อีกทั้งในขณะที่คนอื่นเป็นนรก ตัวเขาก็เป็นนรกของคนอื่นเช่นกัน ในภาวะที่จะโทษโลกหมดก็ไม่ได้ โทษตัวเองหมดก็ไม่ดี เมื่อย้อนคิดดูแล้ว สถานการณ์ที่กลายเป็นกับดักจึงมีทั้งความหนักอึ้งและความน่าหัวเราะเท่าๆ กัน
โลกและคนอื่นไม่ใช่สิ่งลึกลับดำมืดหรือไร้สาระจนอธิบายด้วยเหตุผลไม่ได้ คุนเดอรานั้นช่างอธิบายและอธิบายมากพอสมควร โลกเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ด้วยเหตุผลในระดับหนึ่ง เรามีเครื่องมือมากมายที่จะเข้าใจมัน แต่เนื่องจากมันใหญ่โตเกินไปต่างหาก ต่อให้เราเข้าใจมันได้ เราก็ทำอะไรกับมันไม่ได้ ยิ่งเราพยายามไปแก้ไขมัน มันก็ยิ่งยุ่งเหยิงและเป็นปฏิปักษ์ต่อตัวเรา เราก็ยิ่งพาตัวเราเข้าไปอยู่ในกับดักมากขึ้นๆ
สิ่งที่นิยามความเป็นกับดักก็คือการมีกรอบและกรอบก็คือพรมแดน นวนิยายของคุนเดอราจึงมักพูดถึงการข้ามพรมแดน ทั้งในแง่ของพรมแดนทางภูมิศาสตร์ พรมแดนของความรัก พรมแดนของเพศสัมพันธ์ พรมแดนของความเชื่อและอุดมการณ์ ฯลฯ ความหมกมุ่นอยู่กับการข้ามพรมแดนนี้มาจากประสบการณ์ของการเป็นผู้ลี้ภัยในชีวิตจริงของเขาเอง ในโลกยุคสงครามเย็นนั้น โลกแบ่งออกเป็นพรมแดนระหว่างโลกทุนนิยมกับโลกคอมมิวนิสต์ ด้านหนึ่งของพรมแดนคือโลกคอมมิวนิสต์ที่ไม่มีอารมณ์ขัน มันคือสวรรค์ของคนดีที่ฆ่าทุกคนที่ไม่เห็นด้วย โลกที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของเทวทูตที่ปลื้มปีติในการทำลายล้างตัวตนของมนุษย์ โลกของรสนิยมสามานย์ที่ทุกคนต้องเหมือนกันหมดและปัจเจกบุคคลเป็นสิ่งต้องห้าม โลกที่ว่างเปล่าและหนักอึ้ง
อีกด้านของพรมแดนคือโลกทุนนิยมที่เต็มไปด้วยความรื่นเริงหลากหลาย โลกที่ดูคล้ายมีเสรีภาพให้ทุกคนเลือก แต่ทางเลือกนั้นถูกจำกัดแล้วด้วยทุน สื่อและแฟชั่น ระบอบประชาธิปไตยที่เป็นแค่การตลาด รสนิยมสามานย์แบบ mass production โลกที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของซาตานที่เย้ยหยันและไม่เคยเห็นอะไรมีสาระสำคัญ โลกที่รุงรังและเบาหวิว
การต้องข้ามพรมแดนไปมาระหว่างสองโลกทำให้ปัจเจกบุคคลประสบปัญหาในการสื่อสารกับคนอื่นในโลกอีกฟากของพรมแดน ปัญหาของการปรับตัว การแสวงหาความหมายใหม่ในชีวิต พรมแดนที่เต็มไปหมดทั้งในโลกสังคม การเมืองและชีวิตส่วนตัว โลกและคนอื่นที่พยายามแทรกแซงตัวตนของมนุษย์ตลอดเวลา ทำให้ตัวตนของมนุษย์แตกกระจายเป็นเศษเสี้ยว เหมือนรอยสาดของน้ำหมึกบนกระดาษซับ ไม่มีรูปร่าง ไม่มีรูปทรงชัดเจน ไม่มีความเป็นหนึ่งเดียว เราจะสำรวจตรวจสอบสภาวะการดำรงอยู่ของเศษเสี้ยวที่กระจัดกระจายนี้ได้อย่างไร?
คุนเดอราใช้นวนิยายเป็นเครื่องมือสำรวจตัวตนที่แตกกระจายและสภาวะการดำรงอยู่ของมันในโลก ในนวนิยายสมัยก่อน ผู้ประพันธ์คือพระเจ้าหรือมือที่มองไม่เห็น มีหน้าที่ชี้นำผู้อ่านไปสู่การมองโลกและการเข้าใจโลกในแบบที่ผู้ประพันธ์ต้องการ ส่วนในนวนิยายของคุนเดอรานั้น ผู้ประพันธ์ก็ไม่รู้เท่าๆ กับผู้อ่าน เขาปรากฏตัวออกมาให้เราเห็นตลอดเวลา เขาพูดทั้งสิ่งที่เขารู้และไม่รู้ เขาพิศวงสงสัยในปริศนาของตัวตนเท่า ๆ กับผู้อ่าน เขาเล่าให้ผู้อ่านฟังว่าเขาสร้างตัวละครขึ้นมาอย่างไรและย้ำเสมอว่าตัวหนังสือทั้งหมดคือเรื่องแต่ง
นิทซ์เช่ประกาศว่าพระเจ้าตายแล้วและคุนเดอราฌาปนกิจพระเจ้าในโลกวรรณกรรม พระเจ้าตายแล้ว ผู้ประพันธ์ไม่ใช่พระเจ้า เขาคือมือที่มองเห็น ผู้ประพันธ์จึงมีสถานะความเป็นมนุษย์ที่มีข้อจำกัดเท่า ๆ กับผู้อ่าน
ในเมื่อตัวตนของมนุษย์เปรียบเสมือนแค่หมึกเลอะๆ การสร้างตัวละครที่มีเนื้อมีหนังสมจริง มีรายละเอียดด้านจิตวิทยา/จิตวิเคราะห์ครบถ้วนจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป เราสามารถวิเคราะห์สภาวะการดำรงอยู่ของมนุษย์โดยหยิบยกแค่ส่วนเสี้ยวบางอย่าง สร้างตัวละครจากสถานการณ์บางอย่าง ความสัมพันธ์บางอย่าง ชะตากรรมบางอย่าง แล้วพิเคราะห์สภาวะการดำรงอยู่จากส่วนเสี้ยวเหล่านั้น คุนเดอรามักไม่บรรยายหน้าตารูปโฉมโนมพรรณของตัวละครมากนัก เขาเคยบอกว่าผู้อ่านจะใช้จินตนาการเติมให้เต็มเอง ในแง่นี้นวนิยายของคุนเดอราจึงมิใช่แค่การสื่อสารทางเดียว แต่เป็นการสื่อสารสองทาง ผู้อ่านร่วมเป็นผู้ประพันธ์ปลายทางไปกับผู้ประพันธ์ต้นทาง ผู้อ่านจึงช่วยเติมช่องว่างที่คุนเดอราเว้นไว้ให้
กลวิธีการประพันธ์ของคุนเดอรามีความเกี่ยวร้อยกับเนื้อหาอย่างแนบแน่น ด้วยความที่มีพื้นฐานแน่นหนาด้านดนตรีคลาสสิก นวนิยายของคุนเดอราก็มีลักษณะเช่นเดียวกับดนตรีซิมโฟนี มันมีทั้งจังหวะเร็ว จังหวะช้า เสียงกระหึ่ม เสียงเบา มีท่อนแยก มีจังหวะหยุด แต่บทเพลงทั้งหมดเกี่ยวร้อยด้วย motif และ leitmotif ที่ย้อนกลับมาเสมอ เช่นเดียวกัน ถึงแม้นวนิยายของคุนเดราอาจเต็มไปด้วยบทสั้นๆ ที่ตัดสลับไปมาหรือมีตัวละครและเรื่องราวที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย แต่ฉากตอนทั้งหมดก็เกี่ยวร้อยด้วยแกนเรื่องหลักบางอย่าง
หรือหากจะเปรียบกับงานศิลปะ นวนิยายของเขาก็เหมือนศิลปะสกุล Montage ซึ่งประกอบด้วยเศษเสี้ยวเล็กๆ จำนวนมาก เนื่องจากตัวตนของมนุษย์แตกสลายเป็นเศษเสี้ยวเล็กๆ การหยิบยกแต่ละเศษเสี้ยวมาพิเคราะห์จะช่วยให้เราเห็นสภาวะการดำรงอยู่และโลกจากหลายด้าน มันช่วยให้เราเข้าใจตัวตนอย่างรอบด้านมากขึ้น แต่ไม่มีทางสมบูรณ์เป็นองค์รวม เพราะองค์รวมนั้นไม่มีอยู่ และในเมื่อการสำรวจตัวตนและสภาวะการดำรงอยู่ของมนุษย์ไม่มีทางเสร็จสิ้นสมบูรณ์ นวนิยายจึงมีภารกิจที่ไม่จบสิ้นในการตั้งคำถาม แต่มิใช่ให้คำตอบ
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)