Skip to main content
sharethis

15 ส.ค. 2559 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานความคืบหน้าคดีหมายเลขดำที่ อ.1676/2558 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ กับนายไมตรี จำเริญสุขสกุล ในข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ซึ่งถูกกล่าวหาจากการโพสต์ข้อความเล่าเรื่องราวกรณีเจ้าหน้าที่ทหารได้ตบหน้าชาวบ้านที่บ้านกองผักปิ้ง อำเภอเชียงดาว ต่อมา ศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้พิพากษายกฟ้อง เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2559

ล่าสุด เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2559 ศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้มีหนังสือรับรองว่าคดีนี้ถึงที่สุด โดยถือเป็นอันสิ้นสุดคดีในศาลชั้นต้นนี้ โดยก่อนหน้านี้ แม้พนักงานอัยการขอขยายเวลายื่นอุทธรณ์คดีออกไป แต่จนถึงเดือนมิถุนายน 2559 อัยการก็ไม่ขยายเวลายื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลอีก

ในคดีนี้ นายไมตรี จำเริญสุขสกุล ถูกเจ้าหน้าที่ทหารแจ้งความกล่าวหาในข้อหาตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) โดยการนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ทหาร จากกรณีการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กมีเนื้อหาว่าได้มีเจ้าหน้าที่ทหารไปตบหน้าชาวบ้านหลายคน ซึ่งมีทั้งเด็กและคนชรา ขณะนั่งผิงไฟอยู่ที่บ้านกองผักปิ้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2557 และยังได้นำคลิปวิดีโอเป็นภาพเหตุการณ์ทหารโต้เถียงกับประชาชนเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2558 มาเผยแพร่

จำเลยได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาทั้งในชั้นสอบสวนและชั้นศาล ก่อนคดีจะมีการสืบพยานโจทก์และจำเลยติดต่อกันในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ก่อนที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้อ่านพิพากษายกฟ้องคดีในที่สุด สำหรับประเด็นสำคัญในคำพิพากษา ที่ศาลใช้วินิจฉัยยกฟ้องคดีนี้ มีส่วนสำคัญสองประเด็น ได้แก่

1) ศาลเห็นว่านอกจากคำเบิกความของเจ้าหน้าที่ทหารสองนายที่ยืนยันว่ามีคลิปวิดีโอพร้อมข้อความระบุว่าทหารทำร้ายประชาชน เผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ โดยคลิปวิดีโอและข้อความดังกล่าวถูกแชร์มาจากเฟซบุ๊กของจำเลยแล้ว โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดที่จะพิสูจน์ได้ว่าคลิปวิดีโอและข้อความดังกล่าว จำเลยเป็นผู้นำไปเผยแพร่ และถูกแชร์มาจากเฟซบุ๊กของจำเลยจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าข้อความดังกล่าวมิได้ถูกดัดแปลง ตัดต่อ หรือแก้ไขไปจากเดิม ข้อเท็จจริงได้ความว่าข้อความในเอกสารตามฟ้องได้จากการคัดลอกแล้วนำมาต่อกัน มิได้เกิดจากการแคปเจอร์ภาพหน้าจอมาให้เห็นถึง URL หรือที่อยู่ของข้อมูลอันเป็นที่มาของข้อความดังกล่าวบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จึงไม่สามารถเชื่อมโยงให้เห็นการกระทำความผิดของจำเลยได้

2) แม้จำเลยจะยอมรับว่าได้โพสต์ข้อความบางส่วนตามฟ้องลงในเฟซบุ๊กของตนเองก็ตาม แต่ศาลเห็นว่าการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลเท็จตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) จะเป็นความผิดก็ต่อเมื่อผู้นั้นรู้หรือทราบว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลปลอมหรือเท็จ แต่จำเลย ได้มีทั้งวัยรุ่น เด็ก และหญิงชรา ที่ถูกทำร้ายและร้องไห้ในคืนเกิดเหตุมาเบิกความยืนยันว่าถูกบุคคลสวมเสื้อเกราะ ซึ่งมากับเจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาตบหน้าจริง ต่อมาเจ้าหน้าที่ทหารได้ทำการขอโทษ และมีชาวบ้านนำเรื่องดังกล่าวไปแจ้งให้จำเลยทราบ การที่จำเลยโพสต์ข้อความไปตามข้อมูลที่ได้รับแจ้ง ลงเผยแพร่ผ่านทางเฟซบุ๊กโดยเข้าใจว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นความจริง การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิด

สำหรับ ไมตรี อายุ 32 ปี พื้นเพเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ มีบทบาทในการเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้ง “กลุ่มเยาวชนรักษ์ลาหู่” เพื่อทำกิจกรรมกับเด็กและเยาวชนชาติพันธุ์ ให้ห่างไกลยาเสพติด โดยในภายหลังยังได้ร่วมกับกลุ่มกิจกรรมดินสอสี ทำโครงการ “พื้นที่นี้ดีจัง” ในพื้นที่บ้านกองผักปิ้ง อำเภอเชียงดาว เขายังมีทักษะในการทำภาพยนตร์ โดยเคยเข้าร่วมโครงการอบรมการทำภาพยนตร์ของมูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดน และกำกับภาพยนตร์สั้นของตนเองมาแล้วหลายเรื่อง รวมทั้งยังมีบทบาทในการเป็นผู้สื่อข่าวพลเมืองให้กับสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ทำหน้าที่สื่อสารเรื่องราวและวิถีชีวิตของชาวลาหู่ให้กับสังคมได้รับรู้

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net