Skip to main content
sharethis

หน้าเรือนจำภูเขียว .ชัยภูมิ กลุ่มเพื่อนมากหน้าหลายตากำลังรอเข้าพบเพื่อนผู้กำลังต่อสู้อยู่ในห้องขัง 'ไผ่ ดาวดิน' หรือ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา บรรยากาศการขอเข้าเยี่ยมหลังจากวันหยุดยาวทำให้มีผู้มาขอเข้าเยี่ยมหลายสิบคน บ้างรู้จักกันบ้างไม่รู้จักกันแต่ก็มาด้วยความเป็นห่วงเพื่อน บทสนทนาจึงเริ่มต้นขึ้น

ไผ่ ถูกควบคุมตัวในความผิดข้อหาฝ่าฝืน ...ประชามติ มาตรา 61 วรรค 2 จากการแจกใบปลิวรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 6 .. 2559หลังจากนั้นเขาได้อดอาหารประท้วงด้วยเหตุผลความไม่เป็นธรรมในการจับกุมตัว ตั้งแต่วันที่ถูกจับกุมเป็นต้นมา

 

กลุ่มป้าจากกรุงเทพฯ : “เรามองข้ามทักษิณไปแล้ว เราขอให้เราเท่าเทียมกับคนอื่น ใช้กฎหมายให้มันมาตรฐานเดียว” 

ป้าๆ วัยเกษียณเกือบ 10 เหมารถตู้มาจากกรุงเทพฯ พวกเธอบอกว่าติดตามข่าวไผ่โดยตลอดในโซเชียลมีเดีย และตัดสินใจถามหาสมาชิกที่ต้องการเยี่ยมไผ่ แต่เนื่องจากคนเข้าเยี่ยมเยอะหลายสิบคน ห้องเยี่ยมมีขนาดเล็กมากเข้าได้ทีละ 5-6 คน และมีเวลาพูดคุยทั้งหมดเพียง 15 นาที ป้าๆ กลุ่มนี้ที่ต่อคิวเยี่ยมจึงไม่ได้เข้าเยี่ยมไม่เป็นไร เรามาถึงแล้ว เราให้กำลังใจจากข้างนอกกรงก็ได้คนหนึ่งในกลุ่มว่า

กลุ่มนี้ประกอบด้วยคนวัยเกษียณเป็นส่วนใหญ่ จนป้าคนหนึ่งถึงกับพูดติดตลกว่าถ้าอายุไม่ถึง 50 ปีจะเป็นสมาชิกไม่ได้ พวกเธอไม่มีชื่อกลุ่มแต่รู้จักกันในการชุมนุมมานานแล้ว ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวมาตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 เลยทีเดียวและใช้รูปแบบเดียวกันนี้คุยในไลน์ สอบถามผู้สมัครใจเดินทาง แล้วเหมารถออกเดินทางเพื่อไปร่วมกิจกรรมต่างๆ ในหลายจังหวัดตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเวทีเสวนา หรือกิจกรรมของกลุ่มเสื้อแดงใดๆ 

ครอบครัวพวกเราส่วนใหญ่เห็นด้วย แต่เขาก็เป็นห่วง บางคนที่ครอบครัวไม่เห็นด้วยก็ลุยเดี่ยวเดินทางคนเดียว บางคนก็มาเป็นคู่ เราไปร่วมกิจกรรมหลายจังหวัด ตอนรณรงค์โหวตโน เราก็ไปปัตตานี เชียงใหม่” 

ถามว่าสนใจการเมืองเข้าเส้นเพียงนี้เพราะเหตุใด คนหนึ่งในกลุ่มที่ใส่เสื้อรัฐธรรมนูญต้องมาจากประชาชนของกลุ่มนักศึกษารามคำแหงตอบว่าเรามองเห็นความไม่เป็นธรรมยังไม่ทันได้ถามถึงทักษิณ ชินวัตร เธอก็ชิงตอบก่อนไม่ใช่ว่ารักนายกฯ ทักษิณ ทำเพื่อทักษิณไม่ลืมหูลืมตา ไม่ได้เห่อตามกระแสด้วย เรามองข้ามทักษิณไปแล้ว เอาจริงๆ เราขอให้เราเท่าเทียมกับคนอื่น ใช้กฎหมายให้มันมาตรฐานเดียว” 

พี่นี่ตอนทักษิณเป็นนายกฯ ยังไม่ได้สนใจการเมืองเลย” 

ของป้านี่มันสะสมมาตั้งแต่ 6 ตุลาแหละหนู” 

ตอนนี้ทำอะไรได้เราก็ทำ ทำกันเองไม่ต้องรอให้ใครนำ เราข้ามความกลัวมาแล้ว ก็ลองคิดดู 10 เมษา [2553] ที่ราชดำเนิน เราอยู่ในม็อบติดหน้าเวที อยู่จนวันสุดท้าย ติดอยู่ในวัดปทุมกัน เพื่อนตายต่อหน้า ลากศพเข้ามาเราก็มองเฉย มันสุดแล้ว

หลังประชามติ หลายคนก็หดหู่ท้อแท้ แต่มันก็คิดได้ดว่า เราจะท้อทำไม อะไรที่เลวร้ายก็ผ่านมาไม่รู้กี่ครั้ง ถึงเขาจะเชือดไก่ให้เราดูทีละตัวๆ เราก็จะสู้ต่อ จะให้ปลีกวิเวกมันทำไม่ได้ ไม่ใช่ไม่ลอง ลองแล้ว จิตใจมันไม่สงบ (หัวเราะ)”

ป้าว่าเรายังมีความหวังว่ามันต้องมีความเปลี่ยนแปลง จะริบหรี่ยังไงก็ต้องสู้ เขาจะชนะได้ยังไง ถ้าเรายังไม่ยอมแพ้” 

หลายเสียงช่วยกันตอบคำถามจนจดไม่ทัน  

เมื่อถามถึงไผ่ ป้าคนหนึ่งที่ใส่เสื้อดาวดินและท่าทางจะติดตามดาวดินมาพอสมควร เพราะเธอชูกำปั้นและพยายามอธิบายถึงคำขวัญห้าประการของกลุ่มประชาธิปไตยใหม่ ซึ่งดาวดินสังกัดอยู่ด้วย บอกว่าจริงๆ เขาก็ไม่ใช่ลูกใช่หลาน ไม่เคยคุยกัน แต่เราเห็นความมุ่งมั่นของเขา ทำไมต้องปิดกั้นกันขนาดนี้ แค่แจกเอกสารอีกคนเสริมว่าอยากให้ไผ่อดทน คนอยู่ข้างนอกให้กำลังใจเสมอขณะที่อีกคนนั้นไม่เห็นด้วยนักร่างกายต้องการอาหาร ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ไผ่ลองทบทวนดูอีกครั้งดีไหม ออกมาสู้ข้างนอกน่าจะดีกว่าส่วนอีกคนยิ้มมุ่งมั่นและว่าป้าภูมิใจในตัวไผ่และจะอยู่เคียงข้างเขา ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจยังไง” 

...

สามนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยนเรศวร: “พี่เขามีพรสวรรค์ในการชนะใจคน อยากให้เขาออกมาสู้ข้างนอกมากกว่า

ยุ้ย พี ใหม่ สามนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยนเรศวรผู้ไม่อยากเปิดเผยชื่อและหน้าตา ทั้งสามพบเจอไผ่จากกิจกรรมเล็กๆ ภายในมหาวิทยาลัย การเจอกันเพียงครั้งเดียวสร้างความใกล้ชิดสนิทสนมพอที่จะทำให้พวกเขาอาสามาให้กำลังใจไผ่ถึงหน้าเรือนจำ ทั้งสามคนให้ความคิดเห็นในแนวคนรุ่นใหม่ ที่มองทั้งกิจกรรมการเมืองที่เกิดขึ้น และปฏิกิริยาคนรุ่นใหม่ด้วยกันที่มีต่อเหตุการณ์ต่างๆ

มันเป็นความเสื่อมของสังคม ถ้ามันเกิดการไม่ยอมรับมันจะเกิดการพัฒนาได้อย่างไร ในเมื่อเห็นต่างก็ไม่ได้ แสดงความเห็นก็ไม่ได้แล้วอะไรมันคือการพัฒนา การพัฒนามันไม่ได้เริ่มจากแค่ฝั่งเดียว แต่การพัฒนามันจะต้องไม่เริ่มมาจากการพัฒนาฝั่งเดียว มันต้องควบคู่ทั้งฝั่งที่เห็นต่างและเห็นชอบ

จับนักโทษประชามติมันน่าขำ ตรงที่แค่ไปบอกให้ไปใช้สิทธิก็ถูกจับ แสดงความเห็นต่างจากรัฐก็ถูกจับ เรานึกไม่ออกว่าจะไปบอกเพื่อนในเรือนจำด้วยข้อหาอะไร มันร้ายแรงขนาดโทษสิบปี แต่แค่ไปแจกใบปลิวในตลาด

“ผมพูดตรงๆ ว่าผมไม่ตื่นเต้นอะไรในการจับ เพราะเราอยู่ในสังคมที่คนส่วนใหญ่ยอมรับในอำนาจเผด็จการตั้งแต่แรกอยู่แล้ว มีใครเดือดร้อนมั้ย มีประชาชนที่เขาเดือดร้อนกับเรามั้ย ความรู้สึกของผมคือคนเขาไปยอมรับอำนาจที่มาโดยไม่ชอบไปเสียแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งขึ้นป้ายป่าวประกาศ พูดออกโทรทัศน์ แต่อีกฝ่ายไม่สามารถพูดอะไรได้เลย คนส่วนใหญ่เขาไม่ตระหนัก ไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ เขาจำยอมไปแล้ว”

ทั้งสามคนให้ความเห็นกับประเด็นจับนักโทษประชามติ สาเหตุที่เพื่อนของพวกเขาต้องเข้ามาอยู่ในเรือนจำเพราะพยายามแจกในปลิวในตลาด 

เมื่อถามถึงสถานการณ์ที่ไผ่กำลังอดข้าวในปัจจุบันทั้งสามคนเงียบไปสักพัก ก่อนจะเริ่มออกตัวว่าเป็นแค่ความเห็น ถึงอย่างไรพวกตนก็พร้อมที่จะให้กำลังใจและเคารพการตัดสินใจของไผ่เสมอ ก่อนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นห่วงและอยากให้ออกมาสู้ด้วยกันข้างนอก

“วิธีของพี่ไผ่เราไม่ได้เห็นด้วย เพราะเอาจริงๆ มันไม่เป็นกระแส ถ้าอดข้าวแล้วเป็นกระแส สังคมเอาประเด็นไปเล่น มันเป็นการเรียกร้องแบบสันติวิธีมาก ถ้าภาครัฐเขายังมองเห็นสิ่งที่เรียกว่าสิทธิมนุษยชน เขาจะหันมามอง แต่ตอนนี้มันมีเพียงไม่กี่คนที่หันมามอง เราไม่เห็นด้วย เราเป็นห่วง เราต้องยอมรับกันจริงๆ ว่าตอนนี้มีกี่คนที่รับรู้”

“พวกเราที่อยู่ข้างนอกก็ทำได้แค่ให้กำลังใจ แต่วิธีของเขาอาจจะใช้ผิดยุค แต่ผมคิดว่าเขาอาจจะสื่อว่าสิทธิของเขาไม่ได้มีอยู่ในปัจจุบันเพราะสังคมภายนอกมันอยู่ใต้อำนาจเผด็จการ ตอนนี้อยากให้พี่ไผ่ออกมาต่อสู้กับปัญหาที่เยอะเยอะมากมายภายนอกมากกว่า ออกมาทำกิจกรรมดีกว่า ออกมานำคน พี่เขาทำด้านนี้ได้ดี เป็นผู้นำที่ดี ของแบบนี้มันเป็นพรสวรรค์ เขาทำอะไรได้อีกหลายอย่างเมื่ออยู่ข้างนอก บางทีอุดมการณ์มันก็ทำร้ายเราได้ถ้าอยู่ผิดที่ผิดเวลา”

“อาวุธเดียวที่สู้กับเผด็จการได้นั่นคือความรู้ การทำงานแบบสร้างกระบวนการคิดให้คนได้คิดมันเป็นกระบวนการที่ได้ผลในระยะยาว เมื่อคนได้คิด ความคิดมันไม่สิ้นสุด เขาก็จะคิดต่อไปเรื่อยๆ ประเด็นอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม ไม่ใช่แค่ประเด็นเดียว”

...

อาจารย์นักมานุษยวิทยา: “ เขากำลังจุดไฟเผาตัวเอง มันอันตรายแต่มันก็ยิ่งใหญ่จนคนหันมามอง”

อัจฉริยา ชูวงศ์เลิศ อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เธอมาพร้อมกับสีหน้าที่แสดงความเป็นห่วงผู้ที่ถูกจองจำอย่างชัดเจน ขับรถเดินทางไกลมาจากพิษณุโลกพร้อมลูกศิษย์ตั้งแต่ 6 โมงเช้า จนถึงหน้าเรือนจำภูเขียวในเวลา 10 โมงเศษ

เคยเจอกันแค่ครั้งเดียวแต่ก็รู้สึกสนิทใจกับเขา เพราะเขาเป็นคนกวนๆ เขาพูดด้วยท่าทีกวนๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันในงานที่เราเป็นคนจัด คือการดูหนังและพูดคุยการเมืองจากในหนัง วันนั้นไม่ว่าศิษย์หรือครูทุกคนนั่งพื้นเท่ากันหมด ถึงไผ่เขาจะมาพูดจากวนเราอย่างไร แต่เขาก็ไม่เคยเกินเลย เขาเข้ากับเด็กๆ ได้ ในขณะเดียวกันเขาก็ดูสุภาพ

อัจฉริยาพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอดในขณะที่บรรยายถึงความรู้สึกต่อไผ่ ก่อนที่จะเปลี่ยนสีหน้าเป็นห่วงใยอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเริ่มพูดถึงสาเหตุที่ต้องขับรถข้ามจังหวัดมาเจอนักกิจกรรมที่เคยพบกันแค่ครั้งเดียว

นึกถึงเขาตลอดตั้งแต่วันที่เขาถูกจับ นึกถึงวันละหลายๆ ครั้ง อาจจะฟังดูแปลกแต่มันเป็นเพราะว่าเราเป็นห่วง เป็นห่วงเพื่อนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน ที่กำลังต่อสู้อย่างถึงที่สุดเพื่อจะชนะ ในหนทางที่ไม่มีใครแน่ใจว่าจะชนะ

อัจฉริยาออกตัวว่าแม้จะเป็นห่วงอย่างไรแต่ตนเองก็เป็นเพียง 'ไอ้พวกนักมานุษยวิทยา' เธอไม่ถนัดในงานกิจกรรมทั้งหลาย แต่ในเมื่อเพื่อนที่เธอเรียกว่า 'ไอ้พวกนักกิจกรรม' กำลังตั้งใจทำอะไรบางอย่าง เธอก็พร้อมที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่

"สิ่งที่ไผ่ทำมันยิ่งใหญ่นะ แต่เขากำลังจุดไฟเผาตัวเอง มันอันตรายแต่มันก็ยิ่งใหญ่จนคนหันมามอง แต่มันไม่สามารถไปกระทบใจผู้ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมแต่ประการใดเลย แล้วก็คิดว่าคงไม่ได้ส่งสัญญาณไปถึงผู้มีอำนาจในรัฐ แต่ไผ่เขากำลังสร้างความสั่นสะเทือนต่อคนที่โหยหาเสรีภาพ คนที่โหยหาความเสมอภาค เขากำลังสั่นสะเทือนคนอย่างพวกเรา เขาลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง เพื่อที่จะสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อสังคม แต่คนระดับใหญ่ๆ พวกนั้นเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไผ่อดอาหาร หรือรู้แต่อาจจะไม่ใส่ใจ"

เมื่อถามถึงความเห็นต่อสถานการณ์ปัจจุบันว่าพอจะมีทางใดที่จะช่วยเหลือเพื่อนของเธอได้ เธอหยุดคิดสักพักหนึ่งก่อนจะหันมาออกตัวอีกครั้งว่า ตัวเองเป็นนักมานุษยวิทยา 

เราไม่ใช่นักกิจกรรมเราก็ไม่รู้จะทำยังไง แต่เราเรียนรู้จากชาวบ้าน การเมืองของชาวบ้าน ซึ่งเขาไม่มีอำนาจทางเศรษฐกิจหรืออำนาจสื่อ แต่เขามีอำนาจทางวัฒนธรรม อำนาจที่สามารถสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวจากการสร้างพิธีกรรม เราจึงไปคิดถึงวิธีการทำพิธีรับขวัญไผ่ ถึงแม้เจ้าตัวจะยังติดอยู่ในเรือนจำแต่การทำพิธีมันคือการเรียกรวมพลชาวบ้าน แสดงให้คนที่ไม่รู้ได้รู้ว่าขณะนี้มีลูกหลานภูเขียวกำลังถูกกลั่นแกล้ง แค่การแจกเอกสารมันต้องติดคุกขนาดนี้ พระ เณร หรือผู้ใหญ่บ้านทั้งหลายเขาควรได้รู้

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net