กองปราบรับตัว 15 รายจากทหาร แถลงแจ้งข้อหาอั้งยี่ซ่องโจร และขัดคำสั่ง คสช. เตรียมส่งฝากขัง ระบุไม่พบหลักฐานโยงเหตุระเบิด ญาติโวยขอให้ทนายที่เตรียมมา ตำรวจไม่อนุญาต ส่งนอนเรือนจำ ทนายยื่นประกันตัวไม่ทัน เหตุหมดเวลาราชการ
19 ส.ค.2559 เวลาประมาณ 10.30 น. ที่กองบังคับการปราบปราม มีการนำตัวผู้ต้องหา 15 รายซึ่งถูกควบคุมตัวที่ มทบ.11 และศาลทหารออกหมายจับมาแถลงข่าว โดย พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรเดช ผู้บังคับการกองแผนงานอาชญากรรม สำนักยุทธศาสตร์ตำรวจ ระบุว่าเบื้องต้นทั้งหมดมีการติดต่อกันเป็นกลุ่มขบวนการในนาม พรรคปฏิวัติเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งคล้ายกับกลุ่มคอมมิวนิสต์ และมีพฤติการณ์ต่อต้านรัฐบาล แต่ทั้งหมดปฏิเสธความเกี่ยวโยงกับเหตุระเบิดหลายจุดที่เกิดขึ้น และตามหลักฐานก็ยังไม่พบความเชื่อมโยงเช่นกัน ทั้งหมดจะถูกแจ้งข้อหาตาม มาตรา 209 ประมวลกฎหมายอาญา ข้อหาการกระทำผิดอั้งยี่ซ่องโจร และฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ว่าด้วยการชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน หลังจากนี้จะนำตัวทั้งหมดไปทำการสอบสวนก่อนที่จะส่งตัวไปฝากขังยังศาลทหารต่อไป
ขณะนี้ พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญผู้แจ้งความกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าจะมีการคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาในการฝากขังยังศาลทหาร
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในการสอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 15 คนตำรวจจัดเตรียมทนายความให้ผู้ต้องหาโดยเป็นทนายความจากสภาทนายความ ขณะที่ญาติของผู้ต้องหา 10-15 คนที่มาดักพบผู้ต้องหาที่กองปราบในวันนี้ต่างคัดค้าน และขอใช้ทนายที่ญาติได้เตรียมมาแล้วจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนและทนายส่วนตัว แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่อนุญาตให้ทนายที่เตรียมมาเข้าร่วมฟังการสอบสวนแต่อย่างใด
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 17 ส.ค.พล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าส่วนปฏิบัติการคณะทำงานด้านกฎหมาย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมด้วย พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ เสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชาฝ่ายกฎหมาย คสช. นำเอกสารหลักฐานเดินทางเข้าแจ้งความกับทางพนักงานสอบสวน กองปราบ เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องจากเหตุระเบิดและวางเพลิงหลายจุดในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ และทางกองปราบได้ยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลทหาร
สำหรับผู้ต้องหา 15 คน ประกอบด้วย 1.ด.ต.ศิริรัตน์ มโนรัตน์ อายุ 71 ปี ชาว จ.พัทลุง, 2.นายวีระชัฏฐ์ จันทร์สะอาด อายุ 62 ปี ชาว จ.นนทบุรี, 3.นายประพาส โรจนพิทักษ์ อายุ 67 ปี ชาว จ.ตรัง, 4.นายปราโมทย์ สังหาญ อายุ 63 ปี ชาว จ.สตูล, 5.นายสรศักดิ์ ดิษปรีชา อายุ 49 ปี กทม., 6.นางสาวมีนา แสงศรี อายุ 39 ปี กทม., 7.นายศิริฐาโรจน์ จินดา อายุ 56 ปี ชาว จ.หนองคาย, 8.นายชินวร ทิพย์นวล อายุ 71 ปี ชาว จ.เชียงราย, 9.นายณรงค์ ผดุงศักดิ์ อายุ 60 ปี ชาว จ.อ่างทอง, 10.นายศรวัชษ์ กุระจินดา อายุ 60 ปี ชาว จ.มหาสารคาม, 11.นายเหนือไพร เซ็นกลาง อายุ 41 ปี, 12.นายวิเชียร เจียมสวัสดิ์ อายุ 59 ปี ชาว จ.นครศรีธรรมราช, 13.นายบุญภพ เวียงสมุทร อายุ 61 ปี ชาว จ.เชียงราย, 14.นางสาวรุจิยา เสาสมภพ อายุ 52 ปี ชาว จ.ร้อยเอ็ด, 15.นายวิโรจน์ ยอดเจริญ อายุ 67 ปี ชาว จ.นครศรีธรรมราช
ขณะที่ สำนักข่าวไทย รายงานด้วยว่า ส่วนผู้ต้องหาอีก 2 คนประกอบด้วย ร.ต.ต.หญิง วิลัยวรรณ คูณสวัสดิ์ อายุ 54 ปี ชาว จ.หนองคาย และ ร.ต.ท.สมัย คูณสวัสดิ์ อายุ 57 ปี ชาว จ.หนองคาย อยู่ระหว่างการติดตามตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย
ล่าสุด วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า เมื่อเวลา 16.40 น. ผู้ต้องหาทั้ง 15 คน นอนเรือนจำ ทนายยื่นประกันตัวไม่ทัน เหตุหมดเวลาราชการ ทั้งนี้ ศาลทหารอนุญาตฝากขัง 12 วัน พร้อมระบุว่า พนักงานสอบสวนส่งตัวใกล้หมดเวลาราชการ
ทั้งนี้ ตอนหนึ่งของคำร้องขอฝากขังระบุว่า พฤติการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ ก่อนเกิดเหตุเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจ ฝ่ายข่าวของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สืบทราบว่ามีกลุ่มแกนนำเสื้อแดง (นปช.) ได้ร่วมกันจัดตั้ง พรรคแนวร่วมปฏิวัติประชาธิปไตย โดยมีวัตถุประสงค์ ร่วมมือกับมวลชนในพื้นที่ต่างๆ ที่มีแนวคิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยจงใจสนับสนุนการต่อสู้ทุกรูปแบบ เจ้าหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย จึงอาศัยอำนาจของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 3/2558 ลงวันที่ 1 เม.ย.2558 ทำการควบคุมตัวผู้ต้องหาจำนวนมากเนื่องจากได้ร่วมกันชุมนุมทางการเมืองและเคลื่อนไหวแบบปิดลับ เพื่อจัดตั้งพรรคแนวร่วมปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยมิชอบ ด้วยวิ 4 แห่งรัฐธรรมนูญอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย เริ่มจากเดือนธันวาคม 2558 ด.ต.ศิริรัตน์ มโนรัตน์ เป็นหัวหน้าฝ่ายความมั่น, นายวีระชัฏฐ์ จันทร์สอาด เป็นหัวหน้าฝ่ายต่างประเทศ นายประพาส โรจนพิทักษ์ และนายปราโมทย์ สังหาญ มีฐานะเป็นหัวหน้าผู้จัดการหรือแกนนำ ได้ร่วมกันกับพวก จัดการชุมนุมทางการเมือง ที่จังหวัดนนทบุรี มีหัวข้อในการชุมนุมคือ เพื่อการจัดตั้งพรรคแนวร่วมปฏิวัติประชาธิปไตย แสวงหาแนวร่วมและแบ่งมวลชนออกเป็น 11 เขตงาน ตามพื้นที่ภูมิภาค ร่วมเป็นสมาชิกพรรคฯ ตลอดมา ต่อมาประมาณเดือนพฤษภาคม 2559-มิถุนายน 2559 ด.ต.ศิริรัตน์ และนายวีระชัฏฐ์ ได้ไปพบนายเหนือไพรฯ เพื่อพูดคุยแนวทางในการดำเนินงานของพรรคฯ เมื่อตกลงกันได้แล้วก็ได้ไปพบนายศิริฐาโรจน์เพื่อกำหนดเงื่อนไขในการเคลื่อนไหวและการหาทุน ที่จะมาใช้ในการดำเนินงานของพรรคฯ น.ส.มีนา ได้ร่วมกิจกรรมดำเนินการกับสมาชิกของพรรคฯ ตลอดมา