Skip to main content
sharethis

แม้รัฐบาลสหรัฐฯ จะแสดงออกว่าต้องการหาทางออกให้กับสงครามในซีเรีย  แต่การที่สหรัฐฯ สนับสนุนกลุ่มกบฏสายกลางบางกลุ่มอย่างไม่เต็มที่ก็เหมือนเป็นการทำให้สงครามยืดเยื้อต่อไปเรื่อยๆ เอ็ดเวิร์ด ฮันท์ นักวิชาการอเมริกันศึกษา มองว่าสหรัฐฯ ใช้ยุทธวิธีนี้เพราะมันให้ประโยชน์กับพวกเขาเอง

18 ก.ย. 2559 เอ็ดเวิร์ด ฮันท์ ผู้จบปริญญาเอกด้านอเมริกันศึกษาจากวิทยาลัยวิลเลียมแอนด์แมรี นักเขียนเรื่องเกี่ยวกับสงครามและจักรวรรดินิยม นำเสนอบทความเกี่ยวกับสงครามซีเรียผ่านเว็บไซต์วิเคราะห์นโยบายต่างประเทศ หรือ Foreign Policy In Focus (FPIF) โดยระบุว่า ในขณะที่รัฐบาลบารัค โอบามา ยังคงดำเนินนโยบายที่จะยิ่งเป็นการทำให้ความขัดแย้งดำเนินต่อไปอย่างยาวนาน แม้ว่ารัฐบาลโอบามาจะอ้างว่าพวกเขามีนโยบายต้องการทำให้เผด็จการบาชาร์ อัลอัสซาด ออกจากตำแหน่ง แต่วิธีการดำเนินนโยบายของพวกเขาก็มีแต่จะทำให้เกิดกลุ่มที่สู้รบกันหลายฝักหลายฝ่ายในซีเรียอยู่ในสภาพที่ไม่มีใครชนะใครได้อย่างเด็ดขาดและทำให้ซีเรียอยู่ภายใต้ความขัดแย้งที่มีการใช้รุนแรงต่อกันอย่างหาทางออกไม่ได้

บทความของฮันท์ระบุถึงการที่รัฐบาลโอบามานำเสนอวิธีการในระยะยาวเพื่อพยายามยุติความรุนแรงในซีเรีย โดยอ้างอิงจากคำแถลงของรัฐมนตรีต่างประเทศ จอห์น แคร์รี เมื่อวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมาว่าพวกเขาจะนำเสนอแผนการเพื่อยุติสงครามระหว่างรัฐบาลซีเรียกับกลุ่มที่พวกเขาเรียกว่าเป็นกองกำลังต่อต้านรัฐบาล "ที่มีความชอบธรรม" อย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ในขณะที่พูดแบบนี้สหรัฐฯ และรัสเซียก็ร่วมกันปฏิบัติการจู่โจมทางอากาศต่อกลุ่มติดอาวุธกลุ่มอื่นๆ แคร์รีอ้างว่าพวกเขาหวังให้แผนการของพวกเขาช่วยลดความรุนแรง ทำให้ความทุกข์ยากลดลง และทำให้เกิดการนำไปสู่การเจรจาสันติภาพและการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในซีเรีย ไม่เพียงแค่แคร์รีเท่านั้น เจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐฯ คนอื่นๆ ก็แสดงความคิดเห็นไปในทางเดียวกันคือการอยากให้มีสันติภาพในซีเรียและต้องมีการแก้ปัญหาด้วยวิธีทางการเมืองแทนวิธีการทางการทหาร

ฮันท์ระบุว่าถึงแม้ทางการสหรัฐฯ จะอ้างว่าพวกเขาต้องการให้เกิดสันติภาพในซีเรียเสมอมา แต่การที่จะทำให้เกิดสันติภาพได้พวกเขาต้องทำเงื่อนไขบางอย่างให้สำเร็จก่อน หนึ่งในเงื่อนไขดังกล่าวคือการที่รัฐซีเรียต้องรอดพ้นจากสงคราม จากที่แอชตัน คาร์เตอร์ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ เคยกล่าวต่อคณะกรรมาธิการวุฒิสภาฝ่ายการทหาร (Senate Armed Services Committee) ว่าถึงแม้พวกเขาต้องการให้รัฐบาลอัสซาดหมดอำนาจแต่ตัวรัฐซีเรียเองต้องไม่สูญสลายไปหมดสิ้นเพราะอาจจะเกิดการแตกแยกทางนิกาย พวกเขาต้องการให้โครงสร้างการบริหารประเทศยังคงอยู่ แต่อัสซาดต้องออกจากตำแหน่ง

อีกแหล่งข้อมูลหนึ่งของทางการสหรัฐฯ ที่กล่าวถึงกรณีซีเรียคือ จอห์น เบรนแนน ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐฯ หรือ ซีไอเอ (CIA) ซึ่งระบุถึงรายละเอียดยุทธวิธีโดยการที่รัฐบาสหรัฐฯ จะยังคงให้การสนับสนุนกลุ่มต่อต้านรัฐบาลบางกลุ่มในการต่อสู้โค่นล้มรัฐบาลซีเรียอยู่ กลุ่มต่อต้านรัฐบาลที่พวกเขาต้องการสนับสนุนให้ยังคงเข้มแข็งอยู่คือพวกกลุ่มสายกลางเพื่อเป็นการกดดันรัฐบาลซีเรีย เบรนแนนกล่าวเช่นเดียวกับคาร์เตอร์ว่าพวกเขาไม่ถึงขั้นอยากทำให้รัฐบาลซีเรียล่มสลาย "นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเราต้องการจะทำ" เบรนแนนกล่าว

อย่างไรก็ตามฮันท์วิจารณ์ยุทธวิธีเช่นนี้ว่าจะยิ่งเป็นการทำให้สงครามซีเรียยืดเยื้อมากขึ้นไปอีก ในความเป็นจริงแล้วเจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐฯ บางส่วนยอมรับว่าการทำให้สงครามยืดเยื้อออกไปจะเป็นประโยชน์กับพวกเขาเองมากกว่า ถึงแม้ว่าสงครามที่ยาวนานนี้ยิ่งจะทำให้ประชาชนชาวซีเรียทุกข์ยากและสูญเสีย จนถึงบัดนี้มีจำนวนผู้เสียชีวิตอยู่ราว 250,000-500,000 รายแล้ว

ในแง่ที่ว่าสหรัฐฯ จะได้ประโยชน์อะไรจากสงครามที่ยืดเยื้อในซีเรียนั้น ในปี 2556 ผู้อำนวยการทำเนียบขาว เดนิส แมคโดนอจ พูดกับเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐสภาว่า การทำให้สงครามในซีเรียอยู่ในภาวะคุมเชิงจะทำให้ศัตรูของสหรัฐฯ เช่นอิหร่านถูกกลืนไปกับสงครามด้วย โดยแมคโดนอจเชื่อว่ารัฐบาลอิหร่านจะใช้เวลาและทรัพยากรในระยะยาวไปกับความพยายามเพิ่มกำลังให้กับรัฐบาลซีเรีย ซึ่งหมายความว่าแม้แต่การสู้รบกันเองของกลุ่มกบฏต่างกลุ่มกันก็อาจจะเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ ด้วย 

คนในรัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มแสดงการสนับสนุนยุทธวิธีแบบนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงเอ็ดเวิร์ด เอ็น ลุตต์วัค นักยุทธศาสตร์ที่มีชื่อเสียงผู้เป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ให้เหตุผลแบบเดียวกันว่าสงครามยืดเยื้อจะทำให้ศัตรูของสหรัฐฯ อ่อนแอลง ลุตต์วัคถึงขั้นเสนอว่าให้สนับสนุนอาวุธในช่วงที่อัสซาดอยู่ในขาขึ้นและเลิกส่งอาวุธให้เมื่อฝ่ายกบฏมีท่าทีว่าจะชนะ ในปี 2557 ผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติของสหรัฐฯ เจมส์ แคลปเปอร์ ถึงขั้นกล่าวต่อคณะกรรมการของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการข่าวกรองของสหรัฐฯ ว่าไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลซีเรียหรือฝ่ายกบฏไม่ควรจะมีฝ่ายใดเป็นผู้ชนะ

จนกระทั่งในเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมามีนักการทูตสหรัฐฯ 50 คน ส่งบันทึกแสดงความไม่พอใจเป็นการภายในต่อฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ว่านโยบายสงครามซีเรียของสหรัฐฯ เป็นไปเพื่อทำให้เกิดภาวะคุมเชิงกันโดยไม่ได้มีความต้องการเปลี่ยนแปลงสภาพสงครามที่เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ ในซีเรียเลย โดยเรื่องนี้ถูกนำเสนอผ่านสื่อนิวยอร์กไทม์ แต่ฝ่ายทูตสหรัฐฯ ก็ไม่ได้นำเสนอยุทธวิธีอื่นๆ ให้กับรัฐบาลอย่างจริงจัง พวกเขาแค่เสนอให้ใช้กำลังทหารในการกดดันอัสซาดให้ออกจากการเป็นรัฐบาลเร็วขึ้น

ฮันท์มองว่าทางการสหรัฐฯ รู้เรื่องข้อเสนอของนักการทูตดีและพวกเขามีกำลังทหารมากพอจะกดดันอัสซาดได้ แต่พวกเขาเหมือนจะเจอหนทางที่ดีกว่าในการบรรลุวัตถุประสงค์ของตัวเอง จากที่จอห์น เคอร์บี โฆษกกระทรวงการต่างระเทศพูดเมื่อวันที่ 18 ส.ค. ที่ผ่านมาว่าพวกเขาจะให้การสนับสนุนกลุ่มต่อต้านรัฐบาลบางกลุ่มในซีเรียต่อไป พวกเขาต่างก็กำลังทำให้สงครามยืดเยื้อต่อไปเท่านั้น แม้แต่จอห์น แคร์รี เองก็พูดเอาไว้ว่าสภาพปัจจุบันในซีเรียนั้นมีแต่จะสร้างผู้ก่อการร้าย สร้างกลุ่มหัวรุนแรง เพิ่มมากขึ้นจนเป็นการทำลายประเทศ

 

เรียบเรียงจาก

Perpetuating Stalemate in Syria, Edward Hunt, FPIF, 13-09-2016

http://fpif.org/perpetuating-stalemate-syria/

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net