Skip to main content
sharethis
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นยกฟ้องในคดีลอบสังหาร 'ใช้ บุญทองเล็ก' นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนและสมาชิกสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.)

1 ธ.ค. 2559 รายงานข่าวจากสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน แจ้งว่า เมื่อวันที่ 28 พ.ย.ที่ผ่านมา เวลา 09.00 น. ศาลจังหวัดเวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ในคดีหมายเลขดำ ที่ อ.1273/2558 และคดีหมายเลขแดงที่ อ. 642/2559 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดเวียงสระ โจทก์ กับ สันติ วรรณทอง จำเลย ในคดีลอบสังหาร นายใช้ บุญทองเล็ก สมาชิกสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.) และนักต่อสู้เพื่อสิทธิในที่ดินชุมชนคลองไทรพัฒนา เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2558

โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 15 มี.ค. 2559 โดยพิพากษายกฟ้องโจทก์และยกคำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของโจทก์ร่วม เนื่องจากศาลเห็นว่าประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองคนไม่น่าจะจดจำใบหน้าคนร้ายได้ เพราะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ พยานอยู่ห่างจากจุดที่คนขับรถยืนอยู่พอสมควร ประกอบกับเป็นช่วงเวลาใกล้ค่ำ ส่วนที่โจทก์ร่วมนำสืบในประเด็นการใช้โทรศัพท์ของจำเลยซึ่งเชื่อมโยงกับคนยิงนั้น เห็นว่าเป็นข้อมูลหลังจากวันเกิดเหตุเวลานานมาก จากพยานหลักฐานและการนำสืบดังกล่าวจึงไม่ส่ามารถบ่งชี้ได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย

ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค8 ได้มีคำพิพากษา ดังนี้ 1. ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์จากข้อเท็จจริงเบื้องต้นมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ในเรื่องของประจักษ์พยานรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย และจากนั้นเดินไปขึ้นท้ายรถจักรยานยนต์ของคนร้ายอีกคนเพื่อหลบหนี หลังเกิดเหตุประจักษ์พยานทั้งสองได้แก่ เด็กชายเกียรติศักดิ์และนางสมฤดีได้แจ้งตำหนิรูปพรรณของคนร้ายทั้งสองให้เจ้าพนักงานตำรวจสเก็ตช์ภาพ และได้ยืนยันว่าภาพสเก็ตช์มีลักษณะเหมือนจำเลยเป็นคนขับรถจักรยานยนต์ แต่เนื่องด้วยคำเบิกความของประจักษ์พยานทั้งสองมีข้อพิรุธน่าสงสัยอยู่หลายประการ และกรณีมีข้อน่าสงสัยว่าที่เกิดเหตุมีแสงสว่างพอที่จะทำให้พยานเห็นหน้าและจำหน้าคนร้ายได้หรือไม่ อีกทั้งตรงจุดที่จำเลยจอดรถจักรยานยนต์อยู่ห่างจากที่พยานทั้งสองนั่งประมาณ 8 ถึง 10 เมตร โดยพยานทั้งสองต่างเห็นจำเลยทางด้านข้าง ซึ่งขณะนั้นพยานทั้งสองไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อนและจำเลยก็สวมหมวกแก๊ปปิดบังใบหน้า โอกาสที่จะเห็นและจำจำเลยได้จึงเป็นไปได้น้อย อีกทั้งบ้านเกิดเหตุก็เป็นร้านขายของชำ การที่จำเลยกับพวกขับรถมาจอดที่หน้าบ้านเกิดเหตุก็เป็นเหตุการณ์ปกติของคนทั่วๆไปมิได้มีลักษณะพิเศษแต่อย่างใด อาจเข้าใจว่าเป็นบุคคลทั่วไปที่จอดรถจักรยานยนต์เข้ามาซื้อสินค้า เชื่อว่าพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองคนคงไม่ได้สังเกตหรือจ้องมองใบหน้าของจำเลยตลอดเวลา

2. นอกจากนี้ขณะที่คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองคนต่างตกใจและหมอบลงกับพื้น ซึ่งขณะนั้นพยานโจทก์และโจทก์ร่วมน่าจะต้องตกใจดิ้นรนเพื่อป้องกันให้ตัวเองหลุดพ้นจากการถูกคนร้ายยิง ไม่เชื่อว่าพยานโจทก์และโจทก์ร่วมจะเห็นและจดจำใบหน้าของจำเลยซึ่งจอดรถจักรยานยนต์ที่หน้าบ้านเกิดเหตุได้ นอกจากนี้ภาพสเก็ตช์ใบหน้าคนร้ายและจำเลยเมื่อนำมาเปรียบเทียบกันแล้ว รูปร่างใบหน้าไม่มีส่วนคล้ายคลึงกันแต่อย่างใด

3. จากผลการตรวจพิสูจน์ลูกกระสุนปืนจากที่เกิดเหตุ และอาวุธปืนของจำเลยก็ปรากฏว่าไม่ได้ยิงมาจากอาวุธปืนของกลางแต่อย่างใด นอกจากนี้ข้อมูลการใช้โทรศัพท์ของจำเลยก็มิได้บ่งชี้ให้เห็นได้ว่าเป็นการโทรศัพท์ติดต่อเกี่ยวกับการกระทำความผิดในคดีนี้ พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยเป็นคนร้ายหรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องมานั้นศาลอุทธรณ์ภาค8เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองฟังไม่ขึ้น ส่วนอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองล้วนแต่เป็นข้อปลีกย่อย ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net