ขี้ของวิทยาศาสตร์

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

 

การศึกษาของเราเน้นเนื้อหาเเละความรู้เป็นหลัก สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาเพราะเนื้อหาความรู้ (Content) เป็นปลายทางของกระบวนการได้มาซึ่งความรู้ (Process) เหมือน “ขี้” ที่เป็นปลายทางของ “กระบวนการย่อยอาหาร” การศึกษาไทยป้อนเเต่ขี้ที่เป็นผลลัพธ์ ทำให้เด็กไม่มีกระบวนการย่อยเอาสิ่งใหม่ๆ ที่เจอในชีวิตประจำวันไปเป็นความรู้ที่มีประโยชน์ได้ ตัวอย่าง “ขี้ของวิทยาศาสตร์” ที่เห็นได้ชัดคือสมการที่เด็กโดนบังคับให้จำไปสอบเเต่ไม่เข้าใจความสำคัญ ความสัมพันธ์กับสิ่งรอบข้าง ประเทศเราจึงมีคนที่เรียน “ขี้ของวิทยาศาสตร์” เเต่ไม่มี “กระบวนการทางวิทยาศาสตร์” อยู่เลย

วิทยาศาสตร์จริงๆ เเล้วเกิดขึ้นเพราะมนุษย์มีความสงสัยเเละสนุกที่จะค้นหาความพิศวงในธรรมชาติเหมือนเล่นเกมถอดปริศนาทำให้มนุษยเกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จะสังเกตว่าทุกๆ ครั้งที่เราเล่นเกมไม่ว่าจะเป็น DotA Candy Crush เกมกีฬาหรืออะไรก็เเล้วเเต่เราจะค้นพบเทคนิคการเล่นใหม่ๆ มากขึ้น เเละเล่นเก่งขึ้น ทำนองเดียวกับการที่นักวิทยาศาสตร์เล่นเกมถอดรหัสธรรมชาติเเละค้นพบสิ่งใหม่ๆ มากขึ้น เเต่การศึกษาไทยละเลยกระบวนการซึ่งมีความสนุก เอาเเต่ส่วนที่น่าเบื่อ(ผลลัพธ์)มาสอนทำให้คนไม่มีความสนุกเเละเเรงบันดาลใจในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพราะเราไม่สามารถเล่นเกมเก่งขึ้นได้ถ้าเราไม่ได้ผ่าน “กระบวน”การเล่น ท้ายที่สุดเเล้วเด็กที่เรียน “ขี้ของวิทยาศาสตร์” จะสามารถจำเนื้อหาที่ตัวเองเรียนได้น้อยมากเพราะมันไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเค้า เเต่จะคงเหลือไว้เเต่ความรู้สึกขยะเเขยงวิทยาศาสตร์โดยที่เขาไม่รู้จักวิทยาศาสตร์ที่เเท้จริงเลยด้วยซ้ำ

การเเก้ปัญหานี้ง่ายมาก ก็เเค่เลิกป้อน “ขี้ของวิทยาศาสตร์” ให้เด็กเเต่หันมาให้ความสำคัญกับการเล่นสนุกซึ่งเป็น “กระบวนการ” ของมนุษย์ในการค้นพบสิ่งใหม่!

เเต่เรื่องที่น่าเศร้าก็คือครูส่วนมากไม่เข้าใจ เเละสนุกในการทำให้เด็กรู้สึกว่าเรื่องที่เรียนมันยาก ครูส่วนมากยังคิดว่าตัวเองเก่งกว่าเด็กเพราะพวกเขารู้เนื้อหามากกว่า เเต่พวกเขาลืมไปว่าวิทยาศาสตร์มันมีประโยชน์เพราะมันทำให้คนมี “กระบวนการ” ค้นหาสิ่งใหม่ หายาต้านไวรัส หาพลังงานทดเเทน หาวิธีการสร้างไอโฟน ไม่ใช่จำขี้ที่ไม่มีประโยชน์ใส่สมอง เรื่องที่น่าเศร้าที่สุดคือต่อให้มีครูที่เข้าใจเเละสนุกกับวิทยาศาสตร์จริงๆ ครูคนนั้นก็อาจจะถูกบีบโดยเนื้อหามหาศาลที่ตัวเองต้องสอนทำให้ไม่มีอิสระในการสอนในเเบบที่ตัวเองคิดว่าถูก เเละต่อให้โรงเรียนนั้นมีหลักสูตรที่ไม่บังคับให้ครูต้องสอนตามเนื้อหากระทรวงเด็กที่ถูกสอนมาให้มี “กระบวนการคิด” ก็อาจจะทำข้อสอบกลางที่เน้นความจำไม่ได้เเละทำให้เข้าเรียนไม่ได้เเละอาจทำให้โรงเรียนได้รับการประเมินต่ำเเละไม่มีเด็กไปเรียนในที่สุด สิ่งนี้ก็จะเกิดซ้ำไปเรื่อยๆ เพราะการศึกษาไทยที่เราภูมิใจจะสร้างเด็กที่เชื่องเเละไม่มีความคิดไปออกข้อสอบที่วัดความไม่มีความคิดในอนาคต เเละก็จะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ

ถ้าถามว่าเรื่องที่เลวร้ายกว่านี้มีอีกไหมในการศึกษาไทย คำตอบคือมีอีกมาก เเต่คิดว่าเรื่องที่เลวร้ายที่สุดคือการทำให้เด็กเป็นเด็กดี เด็กดีในนิยามคนไทย คือ เรียบร้อย น่ารัก เคารพกฎ โดยไม่ต้องคิด ไม่ต้องถาม ไม่ต้องเเสดงความคิดเห็นอะไรทั้งนั้นเพราะผู้ใหญ่ถูกเสมอ สิ่งนี้อันตรายมากที่สุดด้วยสามเหตุผล คือ

1. การทำให้เด็กเป็นคนเฉย ในขณะที่การศึกษาทั่วโลกพยายามที่จะบ่มเพาะ Changemaker หรือ ผู้นำการเปลี่ยนเเปลงให้เกิดขึ้น เพราะโลกมีปัญหาอีกมากที่รอให้คนรุ่นใหม่ออกไปคิดวิธีการใหม่ๆ เพื่อเเก้ปัญหาเหล่านั้น เเต่การศึกษาไทยกลับพยายามจะหยุดทุกอย่างที่เด็กคิดว่าทำได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ กลุ่มเด็กที่พยายามจะประท้วงเรื่องทรงผม พวกเขามีเเนวคิดที่น่าสนใจ มีการค้นหาความรู้จากทั่วโลก มีการสร้างข้อโต้เเย้งที่ดีในระดับหนึ่ง เเต่การศึกษาไทยกลับบอกพวกเขาว่าพวกเขาเป็นเด็ก ไม่มีทางรู้ดีเท่าผู้ใหญ่ ถ้าเเค่การเปลี่ยนเเปลงในโรงเรียนยังยากขนาดนี้เด็กพวกนี้จะมีความเชื่อมั่นในตัวเองได้อย่างไรว่าเขาจะสามารถเปลี่ยนเเปลงโลกให้ดีขี้นได้

2. การเป็นเด็กดีทำให้เด็กต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่เเละไม่มีประสบการณ์ในการทดลองทำสิ่งที่ถูกที่ผิด ผู้ใหญ่มักจะบอกว่าเด็กไม่มีประสบการณ์มากพอที่จะตัดสินใจ เเต่การที่ผู้ใหญ่ไม่ให้เด็กลองทำในสิ่งต่างๆ ยิ่งทำให้เด็กที่เกิดมาไม่มีประสบการณ์ไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้ในวัยที่เขาควรจะเรียนรู้ เมื่อเด็กเหล่านี้โตเป็นผู้ใหญ่พวกเขาจึงยังลองถูกลองผิดในสิ่งที่พวกเขาควรจะได้ลองในวัยเด็ก

3. ค่านิยมเด็กดีที่ถูกถ่ายทอดจากผู้ใหญ่ไปสู่เด็ก เเม้ว่าในช่วงวัยเด็กของเด็กคนนั้นอาจจะไม่เห็นด้วย เเละคิดว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องในสิ่งที่ผู้ใหญ่สอน เเต่เมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่มีเเนวโน้มสูงมากที่เด็กคนนั้นจะสอนเเบบเดียวกันในสิ่งที่เขาถูกสอนมาเพราะพวกเขาถูกสอนมาว่าผู้ใหญ่พูดอะไรก็ถูกเเละเด็กยังไงก็ไม่มีประสบการณ์มากพอที่จะคิดอะไรดีๆ ได้ ทำให้ผู้ใหญ่เหล่านี้โดนล้างสมองว่าความไม่พอใจต่อความอยุติธรรมระหว่างวัยเด็กเป็นเรื่องไร้สาระเเละพวกเขาก็จะสืบทอดอุดมการณ์เด็กดีต้องเรียบร้อย น่ารัก เเละพร้อมโดนกดขี่ต่อไป

ประเทศไทยเป็นประเทศที่สวยงาม น่าอยู่ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว คนมีน้ำใจ มีการศึกษาที่ดี เด็กเรียบร้อยน่ารักที่สุดในโลก มีศาสนาพุทธ เเละมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่คุ้มครองประเทศอยู่ เราไม่ต้องทำอะไรเราก็อยู่กันได้อย่างสบาย เเละเราก็จะยิ่งใหญ่กันต่อไป เเต่ถ้าวันใดที่ "ข้าวหมดนา ปลากลายพันธุ์" ก็หวังว่าขี้ของวิทยาศาสตร์ที่เราถูกยัดใส่หัวมาจะช่วยให้เราสร้างบทสวดมนต์ที่มีพลังขอพรต่อเจ้าพ่อเจ้าเเม่ทั้งหลายให้ช่วยประเทศไทยพ้นจากภยันตรายทั้งปวงเเละมีความสุข (Suck) ต่อไปด้วยเถิด…

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท