บทความนี้แปลจาก Obama's Africa legacy: more trade than democracy (มรดกเกี่ยวกับแอฟริกาของโอบามา : เป็นการค้าเสียยิ่งกว่าประชาธิปไตย) จากเว็บ http://www.dw.com
มีความตื่นเต้นเป็นอันมากในทวีปแอฟริกา เมื่อบารัก โอบามาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2008 แต่เขาก็ไม่สามารถเป็นไปตามความคาดหวังอันมีอยู่เป็นจำนวนมาก คุณเดเนียล เปลซ์ได้กล่าวถึงมรดกของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่มีเลือดแอฟริกันดังนี้
ฝูงชนที่แสนปีติได้แห่แหนกันไปบนถนนของอักกราซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศกานา ในช่วงที่โอบามามาเยือนทวีปแอฟริกาเป็นครั้งแรกในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ แม้แต่สมาชิกของรัฐสภากานาก็ลุกขึ้นมาเอ่ยประโยค "ใช่ เราทำได้" ซ้ำไปซ้ำมา เมื่อเขากล่าวคำปราศรัยต่อหน้าพวกเขา
"ผมมีเลือดแอฟริกันภายในร่างกาย เรื่องราวของครอบครัวผมได้ผสมผสานทั้งโศกนาฏกรรมและชัยชนะของเรื่องราวเกี่ยวกับทวีปแอฟริกา" โอบามากล่าวโดยอ้างอิงถึงมรดกของเขาในฐานะที่เป็นบุตรของบิดาชาวเคนยา
ในคำปราศรัย เขาเรียกร้องให้ชาวแอฟริกันหันมาลิขิตชีวิตด้วยตัวเอง หลีกเลี่ยงการทุจริตคอรัปชั่นและต้องการภาระรับผิดชอบ (Accountability) จากบรรดาผู้นำของเขา " อย่าได้เข้าใจผิด ประวัติศาสตร์อยู่กับชาวแอฟริกันซึ่งห้าวหาญ และไม่ได้อยู่กับผู้ซึ่งใช้การทำรัฐประหารหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญเพื่ออยู่ในอำนาจต่อไป” เขากล่าว
พูดมากขึ้นแต่ทำน้อยลง
“ถือได้ว่าเป็นคำปราศรัยที่ทรงพลังอย่างมากในเวลานั้น” อาเล็กซ์ วินส์ หัวหน้าโครงการแอฟริกันขององค์กรวิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศของอังกฤษอย่างชาธาม เฮาส์บอกกับดีเบิลยู (สำนักข่าวของเยอรมัน) “ความคิดและข้อเสนอแนะของเขาในนั้นจะอยู่ยาวนานต่อไป”
แต่ความตื่นเต้นก็ยังไม่หยุด โอบามายังดึงดูดฝูงชนขนาดใหญ่ในการไปเยือนครั้งต่อ ๆ ไป แต่ชาวแอฟริกันจำนวนมากผิดหวังกับผลงานของเขา หลายคนรู้สึกว่าเขาไม่สามารถทำตามสัญญาอันสูงส่งที่เขามีให้ในคำปราศรัย นักวิเคราะห์ต่างมีมุมมองที่แตกต่างกันออกไปในผลงานของเขา
“ผมให้คะแนนเขา 6 จาก 10 สำหรับการเข้ามาเกี่ยวข้องกับทวีปแอฟริกา” นักวิเคราะห์การเมืองของเคนยาคือนายมาร์ติน อูลูได้บอกกับดีดับเบิลยู โอบามาเข้าใจปัญหาและการท้าทายของทวีปแอฟริกาเป็นอย่างดี อูลูยังกล่าวว่า “เขาน่าจะทำได้มากกว่านี้ หากมีสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยกว่านี้สำหรับเขา”
แต่เมื่อพบกับวิกฤตเศรษฐกิจที่เพิ่มทวีที่บ้าน ปัญหาการว่างงานที่สูงขึ้นและประเด็นสำคัญของนโยบายต่างประเทศอย่างเช่นสงครามในอัฟกานิสถานและอิรัก โอบามาพยายามจะหาเวลาสำหรับทวีปแอฟริกาในช่วงปีแรกๆ ที่ดำรงตำแหน่ง กานาเป็นประเทศในแอฟริกาเพียงประเทศเดียวที่เขาเดินทางไปเยือนในช่วงวาระแรกของการเป็นประธานาธิบดี
เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะชดเชยในปีต่อมา ในต้นปี 2012 เขาวางกลยุทธ์ใหม่ๆ เกี่ยวกับทวีปแอฟริกาซึ่งได้ประกาศให้ทวีปแห่งนี้เป็นเรื่องราวแห่งความสำเร็จทางเศรษฐกิจในอนาคต เขาเดินทางไปยังเซเนกัล แอฟริกาใต้และแทนซาเนียในอีก 1 ปีต่อมา ในปี 2015 เขาเดินทางไปยังเคนยาบ้านเกิดของบิดาตน ภายหลังจากที่ได้รับการรอคอยมานาน เขากลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่ได้กล่าวคำปราศรัยต่อสหภาพแอฟริกาขณะดำรงตำแหน่ง
คำวิจารณ์จากกลุ่มสิทธิมนุษยชน
รัฐบาลสหรัฐฯ ยังส่งหน่วยรบพิเศษยังไปแถบแอฟริกากลางเพื่อตามล่าขุนศึกของอูกันดาคือโจเซฟ โคนี โอบามายังเข้าไปแทรกแซงซ้ำแล้วซ้ำเล่าในวิกฤตการณ์ซูดาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไปช่วยเหลือการลงประชามติอันนำไปสู่การเป็นเอกราชของประเทศซูดานใต้ในปี 2011
โอบามายังคงย้ำถึงแนวคิดหลักของตนเกี่ยวกับประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชนและแนวคิดนิติรัฐ ขณะเดินทางไปเยือนทุกครั้งในทวีปแอฟริกา แต่ผู้ไม่เห็นด้วยถือว่าไม่ค่อยมีการกระทำตามหลังคำพูดนัก
“โดยภาพรวมแล้ว รัฐบาลของโอบามาได้ให้การสนับสนุนอย่างแข็งขันต่อขบวนการประชาสังคม เสรีภาพของสื่อและสิทธิของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในแอฟริกา” เคนเนท รอธ ผู้อำนวยการองค์กรฮิวแมนไรตส์วอตช์เขียนลงในบทความล่าสุด
“อย่างไรก็ตาม ขณะที่การปกครองแบบเผด็จการอำนาจนิยมมีพลังมากขึ้นเรื่อยๆ ในทวีปแอฟริกา กรุงวอชิงตันไม่ค่อยจะคงเส้นคงวาที่จะปฏิบัติตามข้อสังเกตเบื้องต้นและชาญฉลาดของโอบามาที่ว่าทวีปแอฟริกาต้องการ “สถาบันอันแข็งแกร่งไม่ใช่บุรุษอันแข็งแกร่ง (เป็นการเล่นคำ เพราะคำว่า strongman ที่จริงหมายถึงเผด็จการ -ผู้แปล) พร้อมด้วยการกระทำที่เป็นรูปธรรม”
การประชุมระหว่างสหรัฐฯและแอฟริกาที่ประสบความสำเร็จ
แต่มาร์ติน อูลูแห่งเคนยาคิดว่ามีเพียงเล็กน้อยที่โอบามาสามารถทำได้ “เขายังถูกจำกัดโดยปัญหาอื่นๆ ของทวีปแอฟริกาอย่างเช่น ภาระรับผิดชอบอันย่ำแย่และธรรมาภิบาลที่เลวร้ายของรัฐบาล รวมไปถึงการท้าทายจากกลุ่มผู้นำ คุณมีกลุ่มผู้นำซึ่งไม่สนองตอบต่อประชาชน” เขากล่าว
โอบามายังได้รับการโจมตีจากองค์กรเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนจากการร่วมมือเรื่องหน่วยข่าวกรองกับประเทศอย่างซูดานและเอธิโอเปีย (ซึ่งรัฐบาลล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชน - ผู้แปล) เขายังดำเนินการต่อเนื่องในการโจมตีโดยเครื่องบินไร้นักบิน (Drone) ต่อผู้ที่ถูกหาว่าเป็นนักรบอิสลามในโซมาเลีย ซึ่งเริ่มต้นโดยประธานาธิบดีคนก่อนคือจอร์จ ดับเบิลยู บุช
เขายังรับเป็นเจ้าภาพของการประชุมระหว่างสหรัฐฯและแอฟริกาเป็นครั้งแรกในเดือนสิงหาคมปี 2014 ซึ่งได้นำผู้นำ 50 กว่าประเทศมายังกรุงวอชิงตัน ในการประชุมนั้น โอบามายกย่องแอฟริกาว่าเป็นทวีปแห่งโอกาสและได้ประกาศงบประมาณการลงทุน 3 หมื่นกว่าล้านเหรียญสหรัฐมายังทวีปแอฟริกา
“เป็นการสนับสนุนว่ามันเป็นการโยกย้ายนโยบายของสหรัฐฯ จากเรื่องมนุษยธรรมและการต่อต้าน การก่อการร้ายไปเป็นการเน้นว่าแอฟริกาเป็นทวีปแห่งอนาคตและมันยังเกี่ยวกับการค้าและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ” อาเล็กซ์ วินส์แห่งชาธาม เฮ้าส์กล่าว
สำหรับวินส์ มันชัดเจนว่าส่วนของนโยบายแอฟริกาของประธานาธิบดีโอบามาที่จะได้รับการจดจำก็คือ “มันจะเป็นการค้ามากกว่าการช่วยเหลือหรือความมั่นคง นั่นคือมรดกเกี่ยวกับทวีปแอฟริกาอันสำคัญยิ่งของประธานาธิบดีโอบามา ตามความคิดของผม” เขากล่าว