Skip to main content
sharethis

แม้แต่นักวิทยาศาสตร์นาซา องค์การอวกาศระดับโลกของสหรัฐฯ ก็ไม่วายต้องเจอกับปัญหาการเดินทางเข้าสู่สหรัฐฯ จากนโยบายกีดกันคนเข้าเมืองของโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อเขากลับเข้าประเทศ ก็ถูกควบคุมตัวเพื่อขอตรวจสอบและถูกขอรหัสผ่านเพื่อขอค้นโทรศัพท์ แม้ว่าเขาระบุว่าเป็นโทรศัพท์ของนาซาที่ต้องปกป้องข้อมูลสำคัญไม่ให้รั่วไหลก็ตาม

ซิดด์ บิคคันนาวาร์ เจ้าหน้าที่นาซา และเป็นคนทำงานในห้องปฏิบัติการจรวดขับดัน (JPL) นอกจากนี้เขายังเป็นนักแข่งรถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์ด้วย (ที่มา: SIDD BIKKANNAVAR/PRINCIPIAALUMNI.ORG/Mashable)

15 ก.พ. 2560 ในช่วงก่อนหน้าที่ศาลอุทธรณ์สหรัฐอเมริกาจะระงับคำสั่งกีดกันคนเข้าเมืองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์นั้น แม้แต่บุคลาการขององค์การนาซาก็โดนหางเลขจากคำสั่งของทรัมป์ด้วย

โดยรายงานของเดอะเวิร์จ เมื่อ 12 ก.พ. รายงานถึงช่วงโกลาหลเมื่อสองสัปดาห์ก่อนของ ซิดด์ บิคคันนาวาร์ (Sidd Bikkannavar) นักวิทยาศาสตร์ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ นาซา เดินทางกลับสหรัฐฯ หลังจากที่ใช้เวลาอยู่ในแถบอเมริกาใต้ไม่กี่สัปดาห์ แต่ก็กลับถูกหน่วยงานศุลกากรและป้องกันเขตแดนของสหรัฐฯ (CBP) กักตัวไว้ไม่ให้เข้าประเทศ รวมถึงเจ้าหน้าที่ยังกดดันเขาให้ส่งมอบโทรศัพท์ให้กับเจ้าหน้าที่และขอรหัสผ่าน ถึงแม้ว่าโทรศัพท์ของบิคคันนาวาร์จะได้รับมาจากองค์การนาซาซึ่งอาจจะมีข้อมูลอ่อนไหวที่ไม่ควรแชร์กับภายนอกก็ตาม

บิคคันนาวาร์ เป็นคนทำงานในห้องปฏิบัติการจรวดขับดัน (Jet Propulsion Laboratory หรือ JPL) ของนาซา เป็นผู้ที่กำลังทำการศึกษาเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านการมองเห็นเพื่อนำไปใช้พัฒนากล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เวบบ์ และเป็นคนที่มีงานอดิเรกคือการแข่งรถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์ โดยเมื่อวันที่ 15 ม.ค. ที่ผ่านมาในช่วงที่ยังอยู่ในรัฐบาลของบารัก โอบามานั้น เขาได้เดินทางไปแข่งรถพลังงานแสงอาทิตย์ที่แถบอเมริกาใต้ร่วมกับทีมจากประเทศชิลี ก่อนจะกลับมาในวันที่ 30 ม.ค. ซึ่งเป็นสมัยของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ และเป็นช่วงที่มีการออกคำสั่งพิเศษกีดกันการเดินทางจากผู้คนหลายประเทศ

ทั้งนี้คำสั่งห้ามเดินทางเข้าประเทศของรัฐบาลสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมาสร้างความโกลาหลให้กับผู้คนไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีกรีนการ์ดหรือผู้ที่มีวีซ่าต่างก็ถูกคุมขังหรือถูกส่งตัวออกนอกประเทศสหรัฐฯ มีผู้คนถูกระงับวีซ่ามากกว่า 60,000 ราย

ในกรณีของบิคคันนาวาร์นั้นมีการอ้างเอกสารขอตรวจค้นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิก เพื่อตรวจสอบโทรศัพท์ของเขาด้วย โดยที่ไม่รู้ว่าหน่วยงาน CBP ได้รับข้อมูลอะไรไปบ้าง ก่อนหน้านี้องค์กรสภาความสัมพันธ์อเมริกัน-อิสลาม (CAIR) เคยร้องเรียนทักท้วง CBP เนื่องจากหน่วยงานดังกล่าวเรียกให้ชาวมุสลิมอเมริกันให้ข้อมูลโซเชียลมีเดียของตัวเองหลังจากที่ชาวมุสลิมอเมริกันเหล่านั้นเดินทางกลับถึงสหรัฐฯ ซึ่งจอห์น เคลลี รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิก็แถลงในสัปดาห์นี้ให้คนที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ บางส่วนอาจจะถูกเรียกขอรหัสผ่านเข้าโซเชียลมีเดียของพวกเขาถ้า "ไม่ให้ความร่วมมือ" ก็จะไม่ให้เข้าประเทศ

แต่แม้กระทั่งนักวิทยาศาสตร์นาซาผู้ที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องอันตรายใดๆ และเป็นชาวอเมริกันโดยกำเนิดอย่างบิคคันนาวาร์ก็ยังถูกเรียกขอรหัสผ่านและขอตรวจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิก นอกจากนี้บิคคันนาวาร์ยังเป็นคนที่ผ่านโครงการโกลบอลเอนทรี (Global Entry) ที่หมายถึงผ่านการตรวจสอบประวัติแล้วจะสามารถเร่งรัดเข้าสู่ประเทศได้เร็วขึ้น และเขาก็ไม่ได้เคยเข้าประเทศที่ถูกสั่งแบนเลย

บิคคันนาวาร์เล่าว่าหลังจากที่เขามาถึงสนามบินในช่วงเช้าเขาก็ถูก CBP กักตัวไว้หลังสแกนหนังสือเดินทางของเขา CBP พาเขาไปห้องด้านหลังและบอกให้รอคำสั่งเพิ่มเติม มีคนราว 5 คนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายสั่งห้ามเดินทาง กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงพับที่จัดไว้ให้ หลังจากนั้นราว 40 นาทีก็มีเจ้าหน้าที่มาเรียกชื่อเขาและพาเขาไปตรวจค้นโดยอ้างว่าเพื่อหาสิ่งของอันตราย นอกจากนี้ยังเริ่มไต่สวนเขาในสิ่งที่ควรจะมีอยู่ในข้อมูลโกลบอลเอนทรีที่เขามีชื่ออยู่แล้ว และเจ้าหน้าที่ไม่ยอมบอกว่าทำไมต้องกักตัวเขาไว้ไต่สวน

ในเรื่องของโทรศัพท์ บิคคันนาวาร์เล่าว่าเขาบอกกับเจ้าหน้าที่ถึงเหตุผลที่ให้โทรศัพท์ไม่ได้ เพราะได้รับมาจากหน่วยงานของนาซาและเป็นสมบัติของนาซาถึงขั้นแสดงบาร์โคดของหน่วยงาน JPL ที่ติดหลังโทรศัพท์ให้ดูแต่เจ้าหน้าที่ CBP ก็ยังขอรหัสผ่านเข้าเครื่องของเขา บิคคันนาวาร์บอกอย่างระมักระวังว่าให้รหัสไม่ได้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ให้ความร่วมมือ แต่เจ้าหน้าที่ CBP ก็ยังคงอ้างว่าเขามีอำนาจในการตรวจค้นได้ และยืนยันจะเอารหัสผ่านเข้าเครื่องมิเช่นนั้นจะไม่ปล่อยตัวเขา

เดอะเวิร์จ ระบุว่าถึงแม้ศาลสหรัฐฯ จะยังคงอำนาจการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่อยู่แต่การตรวจค้นเพียงเพราะอ้างเรื่องสัญชาติหรือเชื้อชาติแต่เพียงอย่างเดียวนั้นยังถือว่าผิดกฎหมาย อีกอำนาจตรวจค้นก็ไม่ได้หมายรวมถึงการต้องให้รหัสผ่านเข้าสู่เครื่องของพวกเขาด้วย

บิคคันนาวาร์ได้รับคืนโทรศัพท์และถูกปล่อยตัวในที่สุด แต่เขาก็ไม่ทราบว่า CBP เอาโทรศัพท์ของเขาไปทำอะไรบ้างและเขาปิดเครื่องเพื่อเตรียมนำไปให้แผนกไอทีของ JPL ดูทันทีหลังจากที่กลับไปถึงนาซา เมื่อเขาเล่าให้ผู้บังคับบัญชาของเขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้นก็มีเสียงสะท้อนจากแผนกความปลอดภัยไซเบอร์ของ JPL บอกว่าพวกเขาไม่พอใจการพยายามเข้าถึงข้อมูลของหน่วยงาน CBP เนื่องจากพนักงานของนาซาต้องปกป้องข้อมูลเกี่ยวกับงานของพวกเขาไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม

อย่างไรก็ตามบิคคันนาวาร์บอกว่าการโต้ตอบระหว่างเขากับเจ้าหน้าที่ CBP เป็นไปอย่างมืออาชีพและเป็นมิตรต่อกัน แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงถูกกันตัวออกมาค้นเครื่องมืออิเล็กทรอนิกอยู่คนเดียว เขายอมรับว่าชื่อของเขาฟังดูต่างถิ่น เป็นชื่อที่มีรากมาจากอินเดียใต้ แต่เขาก็ไม่คิดว่าแค่ชื่อจะเป็นเรื่องที่ทำให้เขาถูกสั่งหยุดตรวจ เขายังตั้งข้อสังเกตอีกว่าเจ้าหน้าที่ดูไม่ได้สนใจว่าเขาจะนำอะไรเข้าประเทศอย่างที่อ้างเพราะไม่เห็นเจ้าหน้าที่เหล่านี้ตรวจกระเป๋าของเขาเลย

หลังจากที่บิคคันนาวาร์โพสต์เรื่องนี้ลงเฟซบุ๊กก็มีผู้แชร์ต่อออกไปมากกว่า 2,000 ครั้ง มีผู้นำไปเผยแพร่ต่อทางทวิตเตอร์และแชร์ต่อออกไปเรื่อยๆ อีกมากกว่า 7,000 ครั้ง บิคคันนาวารยังระบุด้วยว่าเขาไม่พอใจที่การค้นโทรศัพท์ของเขาจะส่งผลต่อสิทธิความเป็นส่วนตัวของเพื่อน ครอบครัว และเพื่อนร่วมงาน ที่มีรายชื่ออยู่ในโทรศัพท์ของเขาด้วย

อนึ่งเมื่อวันที่ 9 ก.พ. ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์ภาค 9 รัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกามีคำวินิจฉัยยืน ตามคำสั่งผู้พิพากษาศาลชั้นต้นรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ให้ระงับการปฏิบัติตามคำสั่งพิเศษฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี ทรัมป์ ที่มีผลเข้มงวดด้านกิจการเข้าเมือง รวมไปถึงห้ามคนเข้าเมืองจาก 7 ประเทศเข้าสหรัฐอเมริกาเป็นการชั่วคราว 90 วัน

เรียบเรียงจาก

A US-born NASA scientist was detained at the border until he unlocked his phone, The Verge, 12-02-2017

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net