Skip to main content
sharethis

พล.อ.ประยุทธ์ ขอผู้มีรายได้น้อย เปลี่ยนตนเอง เปลี่ยนความคิด เพิ่มความขยันขันแข็ง อดทนโอกาสจะมีอยู่เสมอ อย่าเกียจคร้าน รอรัฐบาลช่วยเหลือตลอดเวลา เป็นไปไม่ได้ในโลกแห่งความจริงแล้ว ขออย่าไปหลงเชื่อในวาทกรรม การบิดเบือน

ที่มาภาพ เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล

เมื่อวันที่ 12 พ.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ว่า อยากขอให้คนไทยทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจน ได้ร่วมมือกันสร้างความสงบสุข ความมีเสถียรภาพ ทั้งด้านการเมืองและความมั่นคงในประเทศให้มากที่สุด เพื่อรองรับโอกาสดังกล่าว สิ่งดีๆ กำลังจะตามมา สำหรับเรื่องเศรษฐกิจระดับฐานราก ผู้มีรายได้น้อย รัฐบาลก็พยายามช่วยเหลือและแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่องทั้งเกษตรกร อาชีพอิสระ แรงงาน ผู้ที่ปรับ เปลี่ยนตนเอง เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนวิธีการ เพิ่มความขยันขันแข็ง อดทนโอกาสจะมีอยู่เสมอ เว้นแต่หากท่านอยากสบาย ไม่ต้องทำงานมาก เกียจคร้าน ไม่อดทน ไม่เปลี่ยนแปลง แล้วต้องการรายได้ที่เพิ่มขึ้น รัฐบาลต้องช่วยเหลือตลอดเวลา คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในโลกแห่งความจริง อย่าไปหลงเชื่อในวาทกรรม การบิดเบือน และการสร้างความเข้าใจที่ผิดๆ อีกต่อไป ไม่ว่าจะมาจากแหล่งใดก็ตาม หวังดีหรือไม่หวังดีหรืออาจจะมีผู้ที่หวังผลให้บ้านเมืองไม่สงบสุข

นอกจากนี้ยังกล่าวถึงความสำคัญของวันพืชมงคล การแก้ปัญหาในภาคเกษตรและการช่วยเหลือชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน และเกษตรกรด้านอื่นๆ  การหารือกับสหรัฐอเมริกา กับประธานาธิบดี ทรัมป์ ในเรื่องของการเพิ่มมูลค่าการค้า การลงทุนของไทย และอาเซียน กับสหรัฐอเมริกา และการหารือกับรัสเซีย  อียู และประเทศอื่นๆ ที่สำคัญ เหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นที่จังหวัดปัตตานี และมาตรการในการลดความเสี่ยงเรื่องน้ำท่วม ฯลฯ
 
โดยมีรายละเอียดดังนี้
 
วันนี้เป็นวันพืชมงคลซึ่งเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของพี่น้องชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องเกษตรกร    ผู้ถือว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติ เป็น “เสาหลัก” ที่ช่วยค้ำยันเศรษฐกิจของประเทศ เราจึงได้ยกวันนี้ให้เป็น “วันเกษตรกร” สำหรับพิธีแรกนาขวัญที่ได้จัดขึ้นเมื่อเช้านี้ ถือว่าเป็นประเพณีโบราณของไทยมีทั้งการทำพิธีพุทธ ซึ่งก็คือพระราชพิธีพืชมงคล ในการทำขวัญ เมล็ดพืชพันธุ์ต่าง ๆ เพื่อให้ปราศจากโรคภัยและเจริญเติบโตได้ดี และพิธีพราหมณ์ ก็คือพิธีที่เราเรียกกันว่าพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ที่เป็นการเริ่มไถนาเพื่อหว่านเมล็ดข้าว เพื่อให้เป็นอาณัติสัญญาณว่าฤดูเพาะปลูกได้เริ่มขึ้นแล้ว และเราก็ถือว่าเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยอันเป็นมงคลในช่วงการเพาะปลูกของปีที่กำลังมาถึง
 
ในการนี้กรมการข้าวที่เป็นผู้ดำเนินการปลูกข้าว ณ แปลงนาทดลองในโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดาในฤดูนาปี 2559 ได้ขอพระราชทานพันธุ์ข้าวทรงปลูกพระราชทาน ทั้งข้าวนาสวนและข้าวไร่ จำนวน 11 พันธุ์ เพื่อใช้ในพระราชพิธี โดยเมล็ดพันธุ์ข้าวเปลือกที่นำมาใช้ มีน้ำหนักรวมทั้งสิ้น 2,865 กิโลกรัม และจัดเป็น “พันธุ์ข้าวทรงปลูกพระราชทาน” ที่ได้บรรจุในซองแจกจ่ายให้บรรดาพสกนิกร ประชาชน และกับชาวนาทั่วประเทศ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นมิ่งขวัญและเป็นสิริมงคลในการประกอบอาชีพการเกษตรตามประเพณีนิยม เพื่อให้เป็นไปตามพระราชประสงค์สืบไป
 
รัฐบาลนี้ มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะสนับสนุนและยืนเคียงข้างพี่น้องเกษตรกรตลอดมา ในโอกาสนี้พวกเราขอส่งแรงใจให้พี่น้องเกษตรกร สำหรับฤดูกาลเพาะปลูกที่กำลังจะเริ่มขึ้น โดยผมและรัฐบาลจะดำเนินการมาตรการเพื่อดูแลและสนับสนุนพี่น้องเกษตรกรอย่างเต็มความสามารถเพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืนด้านความเป็นอยู่ และรายได้ของพี่น้องเกษตรกรทุกท่านด้วย นะครับ
 
ผมขอเรียนว่าการแก้ปัญหาในภาคเกษตรและการช่วยเหลือพี่น้องชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน และเกษตรกรด้านอื่นๆ นั้น ไม่ใช่เพียงพูดว่าเป็นไปตามความรู้ความชำนาญ หรือประสบการณ์ที่มีมาตั้งแต่  โบราณกาล ก็จะสำเร็จ นั่นเป็นส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นวัฒนธรรม อัตลักษณ์ของเกษตรกรไทย อันนี้ไม่มีใครที่จะมาเปลี่ยนแปลงได้ แต่เราก็ต้องถือว่าวันนี้เป็นส่วนหนึ่ง ที่เราจะต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาให้ได้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันนั้น สภาพแวดล้อม สภาพอากาศ และความต้องการสินค้าเกษตร ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ในสังคมโลก ในวันนี้ แต่ละพื้นที่มีสภาพแตกต่างกันทำให้เราต้องวิเคราะห์ให้ดีว่า พื้นที่ที่ใช้ในการเพาะปลูกควรมีลักษณะอย่างไร ทั้งที่มีอยู่ในเขตหรือนอกเขตชลประทาน มีการกักเก็บน้ำมาอย่างต่อเนื่องเพียงพอหรือไม่ แม้แต่ระบบส่งน้ำ กระจายน้ำที่อาจจะยังไม่เพียงพอและยังเข้าถึงพื้นที่ได้ไม่ทั่วถึงมากบ้าง น้อยบ้าง มีการใช้เครื่องมือเครื่องจักรเข้าช่วยในการผลิตหรือไม่ ได้มีการใช้เทคโนโลยี และความรู้ด้านต่างๆ มาพัฒนา มาใช้ ปฏิบัติอย่างจริงจังแล้วหรือยัง  ปัจจัยเหล่านี้นะครับ ล้วนส่งผลต่อต้นทุนการผลิต และความสามารถในการเข้าสู่ตลาดของผลผลิต รวมถึงรายได้ของเกษตรกรด้วย อันนี้เป็นกังวล เป็นห่วง
 
ที่ผ่านมานั้นรัฐบาล ใช้เวลาตลอด 3 ปี ได้มีการแก้ไข ปรับปรุง พัฒนาทุกขั้นตอน เรียกว่าครบวงจร พร้อมกับสื่อสารกับพี่น้องประชาชน เกษตรกร ชาวไร่ ชาวนามาอย่างต่อเนื่อง เราไม่ได้เพียงแต่บอกว่าท่านจะต้องทำอย่างไร หรือบังคับท่านอย่างโน้นอย่างนี้ อย่างที่มีการกล่าวอ้างกัน แต่เราจะบอกว่าราคาผลผลิตจะขึ้นจะลง จะต่ำจะสูง ในช่วงใด ราคาเท่าไร เราต้องเตรียมความพร้อมอย่างไร ช่วงไหนจะกักเก็บน้ำได้มากขึ้น ช่วงไหนจะขาดน้ำ ช่วงไหนจะต้องพบกับปัญหาจากภัยธรรมชาติ และเราจะต้องเตรียมรับมืออย่างไร พื้นที่ใดจะประสบปัญหา พื้นที่ใดเหมาะสมควรจะปลูกพืชชนิดใด ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นการสร้างการรับรู้แบบครบวงจร ซึ่งเป็นหนึ่งในการช่วยแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ช่วยให้พี่น้องเกษตรกรสามารถปรับตัวได้ เพื่อมีการ เตรียมตัวรองรับความเสี่ยง และสามารถรักษารายได้ ให้สามารถดำเนินชีวิตไปได้อย่างราบรื่น
 
แต่ในการแก้ปัญหาเหล่านี้จะต้องแก้ให้ “ครบวงจร” ด้วยนะครับ ทั้งต้นทางกลางทางและปลายทาง ของแต่ละกระบวนการ ทั้งการปลูก การแปรรูป การนำออกขาย และการพัฒนาเป็นนวัตกรรม ซึ่งทั้งหมดนี้ แน่นอนว่าต้องสัมพันธ์กับการบริหารจัดการน้ำอย่างแนบแน่น เพราะเป็นปัจจัยหลักที่มีความเชื่อมโยงกับการเกษตรและความอุดมสมบูรณ์ของผลผลิตของเรามาอย่างยาวนาน มีปัญหามากมาย แต่ก็ยังมีพี่น้องเกษตรกรบางท่าน ที่อาจจะยังไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ยังคงคุ้นชินกับการทำแบบเดิม ๆ สิ่งเดิมๆ ก็อาจได้รับจากการชี้นำเดิมๆ ด้วยนะครับ ที่ยังไม่ได้ปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ อาจจะไม่ได้ดู ไม่ได้ระวัง ตั้งแต่ต้นทางของการทำเกษตรกรรม ก็คงเคยชินทำกันไปแบบเดิม ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นการจ้าง เพราะว่าแรงงานทำไร่นาปัจจุบันนั้น ลูกหลานก็ไม่ค่อยทำ เขามาทำงานในเมืองใหญ่ๆ ในกรุงเทพฯ อะไรบ้างก็ไม่เป็นไร ก็คงเหลือแต่พ่อแม่ หรือผู้มีอายุ ทำไร่ทำนาอยู่ในปัจจุบันอยู่อีกเป็นจำนวนมากอาจจะปรับตัวไม่ทันเดิมอาจเป็นเจ้าของที่ดิน นำไปใช้ในการเพาะปลูก แต่อาจจะไม่ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการ หรือใช้เทคโนโลยี ใช้นวัตกรรมอะไรบ้างเลย ใช้แรงงานทั้งหมดก็ทำให้ ไม่มีการรักษาผืนดินที่ดีขึ้น ผลผลิตก็ออกมาน้อยหรือเมื่อเกิดภัยธรรมชาติก็เสียหายมาก มีการใช้สารเคมีทำให้ดินเสีย ดินเสื่อม เหล่านี้นะครับนำไปสู่การมีหนี้สิน แล้วก็ทำให้เกิดภาระผูกพัน กลายมาเป็น จากเจ้าของนา เจ้าของไร่ เป็นต้องเช่าที่ดินจากนายทุนแทน เมื่อรายได้ไม่เพียงพอ ไม่พอใช้ ก็ต้องกู้ยืมเพิ่ม พอกพูนบนหนี้สินเดิม ทั้งหนี้ในระบบ นอกระบบ จนไม่สามารถจะปลดตัวเองจากพันธะสัญญากับเจ้าของที่ดินหรือเจ้าของโรงสีได้ก็จะวนเวียนไปมาแบบนี้ ผมพูดเพราะอยากให้เห็นภาพ อยากให้มองให้ครบ ทำให้เราจำเป็นต้องลุกขึ้นมาปรับเปลี่ยน ปรับตัว ฟังให้รอบด้าน ทั้งนี้เพื่อจะนำความรู้ใหม่ ๆ มาใช้ประโยชน์ ก็ไม่ยากจนเกินไปถ้าทุกคนได้ติดตาม ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงของตัวเองเปลี่ยนเร็ว มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างเร็วขึ้น นะครับ
 
พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านครับ วันนี้ เราทราบดีนะครับว่าหลายประเทศมีการลงทุนปลูกข้าวกันเอง ทั้งในประเทศและในพื้นที่ต่างประเทศแล้ว หลายประเทศวันนี้ก็จะหาซื้อข้าวคุณภาพที่มีราคาถูกเพื่อการบริโภค ซึ่งก็เริ่มมีออกมาแข่งกันมากขึ้นในตลาด ราคาแตกต่างกันมาก ระบบการซื้อขายข้าวในตลาดล่วงหน้าก็อาจทำให้เกิดการเก็งกำไร เกิดความกังวลในปัญหาร้อยแปดพันเก้าที่จะต้องส่งผลกระทบต่อราคาและผลผลิตข้าวราคาข้าวในตลาดล่วงหน้าจึงผันผวนมากกว่าขณะเดียวกัน ระบบพ่อค้าคนกลาง ที่อาจจะมีการตัดราคาซื้อบวกราคาขาย ที่บางครั้งไม่เป็นธรรมยังคงมีอยู่เหล่านี้เป็นปัญหาทับซ้อนของพี่น้องชาวเกษตรกรมายาวนาน รัฐบาลนี้พยายามมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ ในการที่จะแก้ปัญหาแบบยั่งยืน ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรให้ผ่านพ้นปัญหาไปได้ในระยะสั้นที่สุด และสามารถปรับตัวได้ สร้างรายได้ให้ได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ลองคิดดูว่าทำไมรัฐบาลนี้จะต้องมาทำน้ำประปา ที่ยังขาดอยู่อีก  7 พันกว่าหมู่บ้าน ทำไมจะต้องมาซ่อมที่เก็บน้ำเกือบ 2 หมื่นแห่ง ทั้งๆ ที่ได้โอนให้ องกรส่วนท้องถิ่นไปดูแลแล้ว ก็ไม่ได้โทษองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐบาลต้องกำกับดูแล ติดตาม ดูแลเรื่องงบประมาณ ดูแลเรื่องวิธีการ ทำได้หรือไม่ได้  ไม่ได้จะทำอย่างไร วันนี้ก็พยายามติดตามในเรื่องนี้อยู่ด้วย ที่ผ่านมานั้นอาจจะมีปัญหาอยู่บ้าง ขณะเดียวกันเราก็คงต้องเร่งการก่อสร้างระบบขนส่งน้ำที่ไม่สมบูรณ์ หรือไปสร้างในที่ไม่ควรจะสร้าง ไม่มีแหล่งน้ำต้นทุน เหล่านี้เป็นสิ่งที่เราไม่ได้ทำมาอย่างต่อเนื่อง เพียงพอ ไม่มีแหล่งน้ำต้นทุน ก็เพราะน้ำนั้นเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญในการทำเกษตรกรรมทุกชนิดนั่นเองนะครับ
 
รัฐบาลนี้ได้นำปัญหาต่าง ๆ มาพิจารณาทั้งหมด และทยอยดำเนินการไปในทุกมิติ ทั้งซ่อมแซมสิ่งที่ชำรุด สร้างเพิ่มในส่วนที่ไม่เพียงพอ ผมอยากให้ไปดูว่าหลาย ๆ อย่าง มีความก้าวหน้าไปมากพอสมควร รัฐบาลได้พยายามอย่างยิ่งที่จะแก้ไขปัญหาแบบครบวงจร  โดยให้ทุกฝ่าย ทั้งเกษตรกร นายทุนพ่อค้าคนกลาง โรงงาน รวมถึงนักวิชาการ เข้ามามีส่วนร่วม แล้วก็พยายามที่จะเข้าใจปัญหาร่วมกัน ช่วยกันพูดคุยหารือถึงสิ่งที่ต้องแก้ไข แล้วก็แก้ไขไปด้วยกัน เข้ามาช่วยกันทำงาน ติเพื่อก่อ ไม่อยากให้พูดแค่ว่าเป็นห่วงเป็นใยเกษตรกร แล้วก็พูดแต่เพียงว่าทำไมรัฐบาลไม่ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ก็อยากให้ทุกคนได้ช่วยกันมาระดมความคิดเห็น แล้วหาวิถีทางตัดสินใจให้ได้ว่า อะไรที่เราจะทำร่วมกันได้บ้าง ช่วยกันสนับสนุน เป็นกำลังใจกัน มากกว่าติเพียงอย่างเดียว ปัญหาไม่ใช่แก้ได้ง่ายๆ แต่เราก็พยายามอย่างเต็มที่แล้ว จะเห็นได้ว่าเราพยายามมามากมาย
 
การจะทำให้ได้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น เราจะต้องดำเนินการแบบครบวงจร อย่างที่ผมได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ต้องใส่ “ใจ” ลงไปในการเพาะปลูก  เริ่มจากการปรับปรุงพันธุ์ การรักษาและพัฒนาดิน การใช้ปุ๋ยที่ไม่ทำลายคุณภาพของดิน หรือใช้แล้วก็ต้องมีวิธีพลิกฟื้นผืนดิน เพื่อให้เราสามารถใช้ผืนดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ดีขึ้นกว่าเดิม ต้องรู้จักให้และรู้จักรับจากผืนดินที่เป็นแหล่งอาหารและรายได้ของเราทุกคน สร้างให้ผลผลิตมีคุณภาพ สร้างชื่อ สร้างความน่าเชื่อถือ นำนวัตกรรมมาปรับใช้ และหาตลาดใหม่ ๆ เพิ่มเติม ซึ่งจะนำมาซึ่งรายได้ที่ยั่งยืน ที่ผ่านมานั้น หลายพื้นที่ จากการสำรวจมีการใช้ทั้งปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง มีการเร่งปลูกข้าว เร่งปลูกพืชคุณภาพต่ำ เน้นให้ได้ปริมาณมากเอาไว้ ปลูกหลายๆ ครั้ง เพื่อจะนำออกมาขายให้ได้มากที่สุด คุณภาพก็ไม่ดี ขายก็ลำบาก ราคาก็ต่ำ ทำให้มีปัญหาต้องหาที่เก็บไว้อีก เมื่อจะออกนำมาขายภาครัฐ รัฐก็ระบายออกได้ยาก หรือขายเองก็ราคาต่ำมาก สิ่งเหล่านี้ ทำให้ทุกอย่างเกิดความเสียหาย เราต้องใช้เวลาในการซ่อมแซมให้กลับมาให้ได้โดยเร็ว ถ้าหากว่าเราทำให้เสียหายเช่นนี้อีกต่อไป เราจะแก้ปัญหาอีกไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น เมื่อเราเห็นปัญหาแล้ว เราก็ต้องพยายามแก้ไขกันต่อไปอย่างเต็มที่ ทั้งปัญหาเฉพาะหน้า และการปรับเปลี่ยนเพิ่มคุณภาพของการเพาะปลูก ในระยะยาว อีกด้วย
 
วันนี้ ผมขอยกตัวอย่างความพยายามของภาครัฐที่จะดำเนินมาตรการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในเรื่องของความ ก้าวหน้าของนโยบายที่จะส่งเสริมภาคเกษตรอย่างยั่งยืน สำหรับการปลูกข้าว โดยรัฐบาลได้กำหนดให้ปี 2560 เป็นปีแห่งการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร เพื่อสร้างมูลค่าและรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรอย่างยั่งยืน  สำหรับข้าว จะมีการดำเนินงาน 3 โครงการหลัก ได้แก่  (1) โครงการส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ (2) การใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิคุณภาพดี และ (3) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โดยมีระยะเวลาการดำเนินงาน 5 ปี งบประมาณรวม 25,871.14 ล้านบาท ทั้งนี้ ได้มีการเร่งรัดให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีการส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่โดยเพิ่มพื้นที่เป็น 750 แปลง เนื้อที่เพิ่มขึ้นอีก 0.75 ล้านไร่ พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิคุณภาพดีใน 21 จังหวัด รวมพื้นที่ 300,000 ไร่ และขยายพื้นที่ปลูกข้าวอินทรีย์ให้ได้  1 ล้านไร่ภายใน 3  ปี ครอบคลุมเกษตรกรจำนวนกว่า 66,000 ราย ในปีที่ผ่านมานั้นรัฐบาลได้ส่งเสริมระบบเกษตรแปลงใหญ่ทั่วประเทศ มีเกษตรแปลงใหญ่ที่ปลูกข้าวรวม 425 แปลง เนื้อที่กว่า1 ล้านไร่  ส่วนการปลูกข้าวอินทรีย์ มีแหล่งผลิตข้าวที่ได้รับการรับรองแล้วใน 47 จังหวัด จำนวน 5,362 แปลง พื้นที่รวมกว่า 60,000  ไร่
 
นอกจากนั้นรัฐบาลยังดำเนินการแบบบูรณาการในการรณรงค์เพิ่มมูลค่าของผลผลิต โดยนำนวัตกรรมและเทคโนโลยี เข้ามาประยุกต์ใช้ ในการพัฒนาผลผลิตทางการเกษตร รวมถึงข้าว โดยเฉพาะงานวิจัยด้านเทคโนโลยีจากบัญชีนวัตกรรมไทยของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้เป็นฐานข้อมูลในลำดับแรก โดยยึดความต้องการของตลาดหรือผู้บริโภคเป็นหลัก เพื่อให้ได้สินค้าที่ตรงกับความต้องการ รวมทั้งจัดหาตลาดรองรับผลผลิตจากพื้นที่แปลงใหญ่ ที่ให้ราคาสูงกว่าตลาดทั่วไป ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างรากฐานให้ชุมชน และพี่น้องเกษตรกร ในการเพิ่มรายได้ สามารถพึ่งตนเองได้  ซึ่งก็ถือว่าเป็นการน้อมนำเอาหนึ่งใน“ศาสตร์พระราชา” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มาเป็นหลักดำเนินงานของภาครัฐ จากพระราชดำรัสว่า “การช่วยเหลือสนับสนุนประชาชนในการประกอบอาชีพและตั้งตัวให้มีความพอกินพอใช้ก่อนอื่น เป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวด เพราะผู้มีอาชีพและฐานะเพียงพอที่จะพึ่งพาตนเองได้ ย่อมสร้างความเจริญในระดับสูงขึ้นได้ต่อไป” ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นหัวใจในการปฏิรูปและพัฒนาประเทศ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของรายได้ ทำให้พี่น้องประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นไปพร้อมๆ กัน
 
สำหรับการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรเพิ่มช่องทางการตลาดสร้างเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ และยกระดับรายได้แก่เกษตรกรอย่างยั่งยืน กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินนโยบายส่งเสริมเกษตรอินทรีย์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรเพิ่มช่องทางการตลาดสร้างเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ ยกระดับรายได้ และสร้างความเข้มแข็งแก่เกษตรกรอย่างยั่งยืน มุ่งเน้นให้พาณิชย์จังหวัดผลักดันเกษตรกรผลิตสินค้าอินทรีย์สู่มาตรฐาน สากล ปัจจุบันเกษตรกรที่ผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ ในจังหวัดต่างๆ กว่า 30 จังหวัด โดยในปี 2559 ไทยมีมูลค่าการค้าสินค้าเกษตรอินทรีย์ประมาณ 4,000 ล้านบาท เป็นการส่งออกประมาณ 2,400 ล้านบาท (หรือร้อยละ 60) และคาดว่าในปี 2560 นี้ ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ สามารถเติบโตได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับก่อนหน้า สินค้าที่สำคัญได้แก่ ข้าว พืชผัก ผลไม้ เหล่านี้เป็นต้น มีเกษตรกรหลายรายได้พัฒนาการผลิตเกษตรอินทรีย์จนได้รับมาตรฐานสากลแล้วนะครับ
 
อย่างไรก็ตาม ยังมีเกษตรกรผู้ผลิตเกษตรอินทรีย์อีกจำนวนมาก ที่ยังอยู่ในระดับที่ต้องได้รับการพัฒนาต่อยอด และสนับสนุนการผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน สากล ทั้งนี้ก็เพื่อขยายโอกาสและเพิ่มช่องทางการตลาดให้มากขึ้น จำเป็น ต้องมีพี่เลี้ยงให้คำปรึกษาด้านการแปรรูป  การสร้างตราสินค้า การขอรับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ระดับสากล เชื่อมโยงสู่ตลาดโลก ในเรื่องนี้ กระทรวงพาณิชย์ก็ได้มีโครงการอบรมฝึกปฏิบัติเชิงลึกในสวนเกษตรอินทรีย์ สำหรับพาณิชย์จังหวัด  ที่มีเกษตรกรในพื้นที่ทำการเกษตรอินทรีย์ ในโครงการ Organic Training Program ทั้งนี้ก็เพื่อให้พาณิชย์จังหวัดและเจ้าหน้าที่ ที่รับผิดชอบด้านส่งเสริม  และพัฒนาตลาดสินค้าอินทรีย์ ได้มีความรู้และศักยภาพในการสร้างมูลค่า เพิ่มให้กับสินค้าเกษตรอินทรีย์ เพิ่มช่องทางการตลาดการสร้างเครือข่ายเกษตรกรอินทรีย์และผู้ประกอบการสามารถถ่ายทอดและเป็นพี่เลี้ยงให้กับเกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์ในจังหวัดของตนได้ ทั้งในด้านการวางแผน การตลาด การบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมา ที่เรียกว่า (Story) ของสินค้านะครับ การออกแบบผลิตภัณฑ์  การขอตรารับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรอินทรีย์ระดับสากล และการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในระดับนานาชาติอีกด้วย การอบรมฝึกปฏิบัติเรื่องเกษตรอินทรีย์ครบวงจร ซึ่งในเรื่องนี้ ครั้งนี้กำหนดเวลา 3 วัน  ระหว่างวันที่ 18-20 พฤษภาคม 2560 จะเป็นการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างเกษตรกร ที่ทำเกษตรอินทรีย์กับพาณิชย์จังหวัดและเจ้าหน้าที่ โดยมีการฝึกปฏิบัติในฟาร์มเกษตรอินทรีย์ที่มีชื่อเสียง และได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ระดับสากล (IFOAM Accredited) อาทิ กลุ่มเกษตรกรชาวสวนบ้านหัวอ่าว สามพรานโมเดลนะครับ จังหวัดนครปฐม และไร่ปลูกรัก จังหวัดราชบุรี เป็นต้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจในวิถีเกษตรอินทรีย์ รวมทั้งด้านการวางแผนการตลาด ช่องทางการตลาด ตลาดดิจิตอล การสร้างเครือข่ายเกษตรกร และผู้ค้าเกษตรอินทรีย์ ผมขอเชิญชวนพี่น้องเกษตรกรที่สนใจ ลองไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่พาณิชย์จังหวัดนะครับ สร้างเครือข่ายกันออกไป เรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน
 
ความพยายามทั้งหมด ทั้งมวลของรัฐบาล ที่ผมได้กล่าวมาข้างต้น รวมทั้งที่เป็นเงินงบประมาณและวงเงินสินเชื่อผ่านธนาคารของรัฐ เช่น ธกส. ธนาคารออมสิน ก็เพื่อจะบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรด้วย ในการแก้ปัญหาให้กับพี่น้องอย่างเป็นระบบและยั่งยืน วันนี้ที่ผมอยากทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน อยากพูดคุยเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เนื่องจากผมเห็นว่ามีกลุ่ม หลายๆ กลุ่มนะครับ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มการเมือง กลุ่มอดีตนักการเมือง กลุ่มข้าราชการ กลุ่มนักธุรกิจ หลายๆ คน หลายๆ ฝ่าย ก็มาชี้แจงแถลงกัน ในสภาต่างๆ อาจจะมีการวิพากษ์วิจารณ์อยู่บ้าง ว่า คสช. รัฐบาล ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ผมอยากให้ประชาชนลองฟังดูแล้วพิจารณาให้ถ่องแท้ ทุกคนต่างมีหน้าที่ แล้วก็แม่น้ำ 5 สาย ล้วนทำงาน ร่วมมือกันมาโดยตลอด ไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า คงต้องทำความเข้าใจกันให้มากขึ้น วันนี้เราถึงมี ปยป. ขึ้นมาทำงานเพื่อจะบูรณาการ ทั้งแม่น้ำ 5 สาย ไปด้วยกันนะครับ ผมไม่ได้ตำหนิใครเลย ทุกคนทำหน้าที่ได้ดียอดเยี่ยมอยู่แล้ว ที่ผ่านมานั้นต้องรับรู้ว่ารัฐบาล คสช. ทำอะไรไปแล้วบ้าง ผลผลิตเกษตรทั้ง 6 ชนิด พืชหลัก รัฐบาลได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง แต่ละกิจกรรม อย่ามาพูดรวมกันอย่างเดียวว่าเกษตรกร ไม่ดีเลย ไม่มีรายได้ที่เพียงพอรัฐบาลไม่ช่วยเหลือ เราทำทุกอย่างทั้ง ข้าว ทั้งยาง ทั้งมัน ข้าวโพด ปาล์ม อ้อย นะครับ แล้วที่เกี่ยวข้องที่สุดก็คือ การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบอย่างยั่งยืน อย่าลืมนะครับ ทุกอย่างต้องอาศัยความเข้าใจ ความร่วมมือ ไม่เช่นนั้นเราก็จะเดินหน้าต่อไปไม่ได้ จะเกิดความขัดแย้งกันอย่างไม่สิ้นสุด ด้วยความไม่เข้าใจซึ่งกันและกันนะครับ
 
พี่น้องประชาชนที่รักครับ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ผมและคณะรัฐมนตรีได้เดินทางไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวปาฐกถาเรื่อง “บทบาทของมหาวิทยาลัยไทย ต่อ Thailand 4.0” ที่สอดรับกับ โมเดล Thailand 4.0 ทั้งการสร้างสภาพแวดล้อมและการให้ความรู้ ที่สนับสนุนการสร้างผู้ประกอบการที่ใช้นวัตกรรมและมุ่งช่วยเหลือสังคม  การสร้างเครือข่ายการวิจัยกับสถาบัน การศึกษา การเป็น Innovation Hub ด้านการวิจัยการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อสุขภาวะที่ดีของสังคม หลังการปาฐกถา ผมและคณะได้มีโอกาสชมการแสดงผลงานของหาวิทยาลัยมหิดล ทั้งการวิจัยพัฒนาในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ รวมถึงการที่มหาวิทยาลัย มหิดล น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการพัฒนาชุมชนและสังคม ได้เห็นถึงศักยภาพของมหาวิทยาลัย ที่จะเป็นศูนย์กลางของการศึกษายาวัคซีนและสมุนไพรตลอดห่วงโซ่การผลิต การพัฒนาสูตรอาหารต่างๆ เพื่อผู้สูงอายุและผู้ป่วยการทำงานวิจัยและพัฒนาด้านอาหารทะเลและสัตว์น้ำ เพื่อการส่งออกไปยังต่างประเทศ เพื่อสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ อาจารย์และนักวิจัยของคณะวิศวกรรมศาสตร์ ได้แสดงผลงานการสร้างหุ่นยนต์เพื่อช่วยเด็กพิเศษออทิสติก หุ่นยนต์ส่งยา การผลิตชุดตรวจวินิจฉัยและเครื่องมือแพทย์  ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของนวัตกรรมของไทยอีกด้วย
 
นอกจากมีการผลิตผลงานวิจัยที่สามารถต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้มากมายแล้ว นักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล ยังได้แสดงความสามารถในการเป็นผู้ประกอบการ โดยจดทะเบียนบริษัท Startupsจำนวนหลายบริษัท มีผลงานที่น่าสนใจจำนวนมาก เช่น หมอนที่สามารถติดตามวิเคราะห์คุณภาพการนอนหลับ ในคนที่นอนกรน โดยมีการวัดข้อมูลแบบ Real-time และส่งผลไปยังคอมพิวเตอร์หรือมือถือ กิจการอาหารเสริม และ Head band สำหรับกระตุ้นพลขับไม่ให้เกิดการหลับใน ซึ่งเป็นที่น่าปลื้มใจและเป็นตัวอย่างที่ดี ให้กับเด็กไทยยุค 4.0 ทุกคนในการที่จะนำนวัตกรรมมา สร้างประโยชน์ สร้างรายได้ สร้างมูลค่า และปรับปรุงให้สอดคล้องกับความเป็นอยู่และความต้องการของตลาดอีกด้วย ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ผมและคณะได้เดินทางไปยังบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ที่เกิดจากความร่วมมือของมหาวิทยาลัยมหิดลและบริษัททุนลดาวัลย์ จำกัดซึ่งเป็นบริษัทในเครือสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ บริษัทแห่งนี้เป็นบริษัทของไทยที่มีการวิจัยและพัฒนาผลิตยาชีววัตถุขึ้นเอง โดยมีความร่วมมือด้านเทคโนโลยีกับประเทศคิวบา และสามารถผลิตยาด้านชีววัตถุที่มีคุณภาพ ทัดเทียมการผลิตในต่างประเทศ ซึ่งผมได้มีโอกาสเห็นโรงงานและห้องผลิตยา ตลอดจนบุคคลากร รวมทั้งแบคทีเรียที่เป็นต้นตอของการผลิตยาเพื่อบำบัดภาวะเลือดจางในผู้ป่วยโรคไต และยาบำบัดภาวะเสี่ยงต่อการติดเชื้อในผู้ป่วย ซึ่งการผลิตยาของบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์นี้ ทำให้ราคายาลดลงกว่า 50% จะช่วยรัฐบาลประหยัดเงินได้ราว 3,000 ล้านบาท ในขณะนี้บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ มีการขยายผลิตภัณฑ์ไปสู่ยาสำหรับรักษาโรคมะเร็ง และโรคภูมิแพ้ตนเอง ซึ่งในอนาคตจะทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงยาราคาแพงในกลุ่มนี้ได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วยในโครงการปฏิรูปสาธารณสุขของเรานะครับ
 
ผมอยากเห็นความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างมหาวิทยาลัยไทยทุกมหาวิทยาลัย ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมในการผลักดันผลงานวิจัยเพื่อช่วยพัฒนาประเทศไปสู่ยุค 4.0 อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการเพิ่มความสามารถในการส่งเสริมคุณภาพสินค้าสำหรับการส่งออก และการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย โดยเราจะต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง จากการที่ไปเยี่ยมชมหาวิทยาลัยมหิดลในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ เช่นเดียวกับที่ไปมหาวิทยาลัยเกษตร ศาสตร์ เรื่องการเกษตร ทำให้มั่นใจว่า เรื่องราวดีๆ แบบนี้เป็นไปได้จริง ผมไปหลายมหาวิทยาลัยทางภาคเหนือ ผมก็ไปมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ก็มีหลายอย่างที่เป็นสิ่งดี ๆ ผมคิดว่า ทุกมหาวิทยาลัยก็มีสิ่งที่ดี ๆ ทั้งหมด ก็เป็นกำลังใจให้กันและกัน ผมคิดว่าทุกอย่างไม่เกินความสามารถของบุคคลากรที่มีอยู่ในมหาวิทยาลัยของประเทศไทยทุกแห่ง ทุกประเภท ผมและคณะรัฐมนตรีพร้อมที่จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปการศึกษาไปด้วย 
 
พี่น้องประชาชนที่รักครับ หากเรามองไปในอนาคต ภาครัฐหวังให้ EECกลายเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของอาเซียน เป็นที่ตั้งของอุตสาหกรรมอนาคต เป็นพื้นที่สำหรับการสร้างนวัตกรรม เป็นศูนย์กลางการคมนาคม การขนส่งและกระจายสินค้า และการบินของภูมิภาค ซึ่งจะทำให้ไทยเป็น Gateway สำคัญหรือเป็นประตูเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคที่มีศักยภาพการเติบโตสูง นอกจากนี้ พื้นที่ EEC จะตอบโจทย์อีกยุทธศาสตร์สำคัญที่จะสอดรับด้านการผลิต การขนส่ง และการเชื่อมต่อกับนโยบาย “One Belt One Road” ของประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ด้วย และก็นี่เป็นคำตอบว่าทำไมไทยต้องมีโครง สร้างพื้นฐาน ที่เชื่อมโยงกับจีนและประเทศอื่นๆ  ทำไมไทยให้ความสำคัญกับการทำให้พื้นที่ EEC ให้เกิดการดึงดูดนักลงทุนทั่วโลก รวมทั้งจีนและประเทศอื่นๆ อีกด้วย  แนวคิดการมี “One Belt One Road” นี้เป็นนโยบายของจีน ในการสร้างความเชื่อมโยงกับอีก 64 ประเทศทั่วโลก ตั้งแต่เอเชีย ไปจนถึงยุโรปและแอฟริกา ซึ่งครอบคลุมจำนวนประชากรราว 4,500 ล้านคน มี GDP ที่บ่งบอกขนาดเศรษฐกิจรวมกันแล้วกว่า 23 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 62 และ 30 ของโลก โดยจีนพยายามที่จะส่งเสริมความเชื่อมโยงทั้งทางบก หรือที่เรียกว่าเส้นทางสายไหมทางเศรษฐกิจ จำนวน 3 เส้นทาง  และทางทะเล หรือเส้นทางสายไหมทางทะเล ในศตวรรษที่ 21 จำนวน 2 เส้นทาง ซึ่งจะเชื่อมระหว่างอาเซียน เอเชีย แอฟริกาและยุโรป โดยมีการเชื่อมโยงความร่วมมือในหลายด้าน อาทิ ความร่วมมือด้านนโยบาย การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน และความร่วมมือด้านการเงิน ซึ่งแน่นอนว่าหากไทยได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ “One Belt One Road” นี้ หมายถึงการเชื่อมต่อกับตลาดขนาดใหญ่ทั่วโลกซึ่งก็ขอให้ทุกคนไปติดตามแล้วก็ร่วมมือกันนะครับทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้
 
สำหรับการเชื่อมต่อเป็นส่วนหนึ่งของ “One Belt One Road” นี้ สอดคล้องกับนโยบายการค้าของไทยที่ให้ความ สำคัญกับความเชื่อมโยงในภูมิภาค (Connectivity) เพื่อให้ไทย เป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน ซึ่งรัฐบาลได้มุ่งเสริมสร้างความเชื่อมโยงของไทยกับประเทศคู่ค้าที่สำคัญ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาวที่จะต้องดำเนินควบคู่ไปกับนโยบายดังกล่าวเช่น (1) โครงการประเทศไทย 4.0 ซึ่งสอดคล้องกับจีนที่มี แผนยุทธศาสตร์ Made in China 2025 ซึ่งเน้นเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง และสินค้านวัตกรรม ซึ่งจะทำให้ร่วมกันเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ได้ และ (2) โครงการ EEC ที่ผมได้เรียนไปแล้วข้างต้น เพื่อให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาใช้ EEC ในการเป็นฐานการผลิตเพื่อกระจายสินค้าไปสู่กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนามรวมถึงประเทศอื่น ๆ บนเส้นทางสายไหมนี้อีกด้วย ขณะเดียวกันเราก็ได้มีการหารือกับสหรัฐอเมริกา กับท่านประธานาธิบดี ทรัมป์ ในเรื่องของการเพิ่มมูลค่าการค้า  การลงทุนของไทย และอาเซียน กับสหรัฐอเมริกาอีกด้วย และได้มีการหารือกับรัสเซีย  อียู และประเทศอื่นๆ ที่สำคัญ
 
สำหรับเรื่องเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก ที่เรียกว่าไมโครเอสเอ็มอี (mSME) ในขณะนี้ สถานการณ์เริ่มดีขึ้นตามลำดับ รัฐบาลได้เข้าไปถึงปัญหา และได้สนับสนุนให้มีการเข้าถึงกองทุน มีการฟื้นฟู มีการให้ความรู้ เทคโนโลยี การพัฒนาตลาด การอำนวยความสะดวก  รวมถึงกิจการใหม่ๆ สตาร์ทอัพก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นโดยคนรุ่นใหม่ ซึ่งก็น่าที่จะสามารถเพิ่มการจ้างงาน เพิ่มรายได้มากขึ้นในอนาคต ก็ขอให้ทุกภาคส่วนที่มีส่วนร่วมในลักษณะ “ประชารัฐ” ได้มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยคำนึงถึงประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ ประเทศชาติ ส่วนผลกำไรธุรกิจของตนเองในวันนี้ อาจจะต้องเผื่อแผ่แบ่งปัน ผมเข้าใจดี ว่าการลงทุน นักลงทุน ผู้ถือหุ้น ก็ล้วนแต่อยากได้ผลกำไร และมีส่วนแบ่งในผลกำไรนั้นให้มากที่สุด แต่อย่าลืมนึกถึงผู้บริโภคและผู้ประกอบการรายเล็ก รายน้อย มีทั้งประชาชนที่มีรายได้น้อย เราจะต้องเข้มแข็งไปด้วยกัน เศรษฐกิจของเราถ้าร่วมมือกัน ฐานก็จะยิ่งกว้างขึ้น ประชาชนจะได้รับประโยชน์มากขึ้น  ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้น ท่านก็มีกำไรมากขึ้นเอง โดยที่ประชาชนไม่เดือดร้อนนะครับ ช่วยกันคิดดูนะครับ ถ้าเราช่วยกันทำจะได้กุศลไปด้วย
 
ในเรื่องการลงทุนจากต่างประเทศ วันนี้ก็มีหลายประเทศ หลายประชาคม ที่กำลังปฏิรูปเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น อเมริกา ยุโรป ตะวันออกกลาง อาเซียนมีหลายนโยบาย เราเองก็อยู่ในฐานะสมาชิกและเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ก็จำเป็นต้องมีส่วนร่วมกับทุกนโยบาย อันเป็นประโยชน์ร่วมกัน เราต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดที่ว่า หากเราไปทางนี้ทางโน้นคือการเลือกข้าง ผมคิดว่าเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง รัฐบาลพยายามอย่างยิ่ง ที่จะนึกถึงว่าจะทำอย่างไร เราจะได้ผลประโยชน์ที่เท่าเทียม เราต้องรู้จักเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับไปด้วย นะครับ  โลกเปลี่ยนเราก็ต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง ประเทศของเราให้สอดคล้องตัวเลขการขอลงทุนผ่านบีโอไอในช่วงสามปีที่ผ่านมา มียอดคำขอรวม 5,431 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 2.4 ล้านล้านบาท ลงทุนไปแล้วกว่า 1.62 ล้านล้านบาท และยังคงมีการขอเข้ามาอย่างต่อเนื่องมากบ้างน้อยบ้างตามรายไตรมาสเพราะเขาก็ต้องพิจารณาถึงการลงทุนและความคุ้มค่าในระยะยาว เราอย่าไปกังวลกับตัวเลขนี้มากนัก ปีนี้ไตรมาสแรกขอลงทุนไปกว่า 60,000 กว่าล้าน ซึ่งก็น่าจะ ไม่มากไม่น้อยไปกว่าที่ประมาณการไว้ทั้งปี ในโอกาสต่อไปไตรมาสต่อไป อีกทั้งเรายังมีโครงการ EEC  นโยบาย “One Belt One Road” ที่ผมได้กล่าวถึงไปแล้ว  และก็มีแผนงาน IMT-GT อีกด้วยเป็นความเชื่อมโยงระหว่างไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซียทั้งหมดเป็นโอกาสของประเทศไทยเราทั้งสิ้น 
 
อีกเรื่องที่น่ายินดีคือผลการประเมินของ WEF ที่เป็นองค์การต่างประเทศ ได้ประเมินว่าประเทศไทยมีความก้าว หน้าในด้านเศรษฐกิจ และการพัฒนาการด้านเศรษฐกิจเป็นอันดับหนึ่งของอาเซียนน่ายินดีแสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างยิ่งยวดของฝ่ายเศรษฐกิจและของรัฐบาลได้มีความสำเร็จอย่างมีนัยยะที่สำคัญ ผมอยากขอให้คนไทยทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจน ได้ร่วมมือกันสร้างความสงบสุข ความมีเสถียรภาพ ทั้งด้านการเมืองและความมั่นคงในประเทศให้มากที่สุด เพื่อรองรับโอกาสดังกล่าว สิ่งดีๆ กำลังจะตามมา สำหรับเรื่องเศรษฐกิจระดับฐานราก ผู้มีรายได้น้อยรัฐบาลก็พยายามช่วยเหลือและแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่องทั้งเกษตรกร อาชีพอิสระ แรงงาน ผู้ที่ปรับ เปลี่ยนตนเอง เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนวิธีการ เพิ่มความขยันขันแข็ง อดทนโอกาสจะมีอยู่เสมอ เว้นแต่หากท่านอยากสบาย ไม่ต้องทำงานมาก เกียจคร้าน ไม่อดทน ไม่เปลี่ยนแปลงแล้วต้องการรายได้ที่เพิ่มขึ้น รัฐบาลต้องช่วยเหลือตลอดเวลา คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในโลกแห่งความจริงอย่าไปหลงเชื่อในวาทกรรม การบิดเบือน และการสร้างความเข้าใจที่ผิดๆ อีกต่อไป ไม่ว่าจะมาจากแหล่งใดก็ตาม หวังดีหรือไม่หวังดีหรืออาจจะมีผู้ที่หวังผลให้บ้านเมืองไม่สงบสุข
 
เรากำลังเดินหน้าปฏิรูปตามยุทธศาสตร์ชาติอยู่แผนปฏิรูปเราก็คงต้องดำเนิน การต่อไปให้อย่างต่อเนื่อง คงต้องใช้เวลา งบประมาณ และวิธีการที่เหมาะสมที่ทุกรัฐบาลก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ไปตามสถานการณ์ตามกฎเกณฑ์ซึ่งเราได้ร่างเอาไว้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ บ้านเมืองปลอดภัย สงบสุข ปัญหาเรายังมีอีกมากไม่ว่าจะเป็นความยากจน มีผู้ที่มีรายได้น้อยจำนวนมาก ของแพง อาชญากรรม สังคมที่แตกแยกโรคระบาด  อากาศโลกเปลี่ยนแปลง ภัยพิบัติ  ภัยแล้ง  น้ำท่วม มีอีกมากมาย เราจะมัวทะเลาะเบาะแว้งกัน การเป็นประชาธิปไตยและการเมือง ก็เป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญ ซึ่งมีความสัมพันธ์กับความมั่นคง
 
หากเราเอาสิ่งเหล่านี้มาพิจารณาร่วมกันว่าประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญ  กฎหมายลูก กระบวนการยุติธรรมการเมือง  สิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน หน้าที่การมีส่วนร่วม  การเคารพกฎหมาย ความร่วมมือในทุกมิติแบบประชารัฐ การป้องกันปราบปรามการทุจริต  การแก้ปัญหาจราจร การแก้ปัญหาสังคม  การบริหารจัดการน้ำ เกษตรครบวงจร เศรษฐกิจที่เติบโตไปด้วยกันทั้งใหญ่ กลาง เล็ก การแก้ปัญหาแรงงาน  การจัดที่ดิน การบุกรุกป่า การทำลายทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม การปรับปรุงสาธารณสุข การปรับปรุงปฏิรูปการศึกษา การเตรียมรับสังคมสูงวัยนะครับ การดูแลผู้มีรายได้น้อยในทุกมิติ การแก้ปัญหาภาคใต้ซึ่งล้วนแต่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เหล่านี้เราจะร่วมกันแก้ไขปัญหาได้อย่างไร ไปพร้อมๆ นะครับ เพื่อจะให้ประเทศของเรา คนไทยของเราสามารถสร้างความสมดุล ในเรื่องของการพัฒนาที่รักษาสมดุลธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วันนี้หากทุกคนแยกกลุ่มกันคิด พูดและทำโดยสนใจแต่เรื่องของตน ซึ่งมีผลกระทบกับด้านอื่นๆ อีกมากมาย เรียกร้องในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ไม่ร่วมกันรับผิดชอบโดยเฉพาะการที่จะทำให้มีรายได้สูงขึ้นแต่ไม่ปรับเปลี่ยนแนวคิด ไม่สร้างความร่วมมือ อาจจะไม่มีหลักคิดที่ถูกต้อง
 
ผมไม่ได้บังคับให้ใครคิดเหมือน คิดต่างได้แต่มันต้องมีวิธีการที่ทำร่วมกันให้ได้ว่าทำยังไงมันจะเกิดผลสำฤทธิ์แก้ปัญหาที่ เราได้เผชิญหน้ากันมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว หากเราไม่เข้าใจว่าเราจะต้องช่วยกันทำอะไรในส่วนของตน และต้องดูแลคนอื่นไปด้วย  กิจกรรมอื่นไปด้วย เราขาดความรักความสามัคคี แบ่งฝ่ายแบ่งพวก ใช้กฎหมายใช้รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือแก้ไขความ ผิดของตนหรือเพื่อผลประโยชน์ของตนในวันนี้และวันหน้าจนทำให้กฎหมายไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ตรงกับจุดมุ่งหมาย ของการออกกฎหมาย วัตถุประสงค์ของกฎหมายแต่ละฉบับ ก็ล้วนแต่มุ่งจะทำให้สังคมสงบสุข ไม่วุ่นวาย มีความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ แต่ก็มีหลายคนพยายามนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของตนเอง อาจจะมีการคัดค้านไปทุกเรื่อง ก็สังเกตเอาแล้วกัน มีอยู่ไม่กี่คนหรอกนะครับ แล้วทุกอย่างจะเกิดการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นได้อย่างไรถ้าเอาแต่คัดค้านกัน ไม่ร่วมมือ บางครั้งก็ไม่เข้าใจไม่มีข้อมูล เขาทำงานกันมาแทบตาย หลาย ๆ อย่างก็มีการวิเคราะห์  มีการวิจัย เอาผลการวิจัยมา  มีการประชุมร่วมไม่รู้กี่สิบครั้ง แล้วก็เอาตอนท้ายมาวิพากษ์วิจารณ์ แล้วก็ไปคิดเอาเองผมว่าไม่ถูก ต้องร่วมมือกันทำงาน ไม่ว่าจะกลุ่มการเมือง กลุ่มประชาธิปไตย กลุ่มสิทธิมนุษยชน หรือกลุ่มอื่นๆ นะครับ ผมอยากให้ทุกคนนั้นได้คำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกันของคนไทย ของประเทศชาติ และ ชื่อเสียงของเรา ประเทศของเราในประชาคมโลกอีกด้วย หลายท่านอาจจะหลงลืมไปในเรื่องเหล่านี้นะครับ เราขัดแย้งกันเองในประเทศนะครับ ในสื่อบ้าง ใน โซเชียลมีเดีย บ้าง ไปต่างประเทศทั้งหมด แล้วสิ่งเหล่านี้จะทำให้ประเทศของเราถูกมองเป็นอย่างไรนะครับ
 
ผมในฐานะเป็นนายกรัฐมนตรี และหัวหน้ารัฐบาล ก็เพียงแต่อยากจะพูดเตือน ให้สังคม ให้ประชาชน ช่วยกันเรียนรู้ ช่วยกันเฝ้าระวัง แล้วก็ทำความเข้าใจให้ดีที่สุดนึกถึงสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ต้องนึกถึงอยู่เสมอ ก็คือการทำอะไรก็ตาม ก็ต้องมุ่งสู่ผลประโยชน์ของชาติ ของประชาชนคนไทยเป็นหลัก ประเทศชาติต้องมีความสงบสุข มั่นคง ประชาชนปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีเศรษฐกิจที่ดีเพียงพอในทุกระดับจึงจะเกิดขึ้นได้ ในโลกแห่งความเป็นจริง  
 
สำหรับเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นที่จังหวัดปัตตานีเมื่อเร็วๆ นี้ ผมขอแสดงความเสียใจกับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ผู้ที่สูญเสียทรัพย์สิน ผมขอชื่นชมการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว สามารถรวบรวมข้อมูลหลักฐาน ที่นำไปสู่การจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ 1 คน จากผู้ก่อเหตุทั้งหมด 4 คน อย่างไรก็ตาม ขอความร่วมมือไปยังพี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนกรุณาไม่เผยแพร่หรือส่งต่อภาพและคลิปเหตุการณ์ระเบิดหรือเหตุการณ์รุนแรงทุกประเภท ผ่านช่องทางต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นี้ในสื่อออนไลน์ เพราะนอกจากจะเป็นการตอกย้ำความรุนแรงที่เกิดขึ้น และเป็นการเข้าทางของผู้ก่อเหตุแล้ว ยังอาจส่งผลต่อรูปคดี เช่น อาจจะทำให้คนร้ายไหวตัว และยังกระทบต่อความรู้สึกและบั่นทอนกำลังใจของประชาชนและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ทุกคนก็พยายามช่วยกันแก้ปัญหาอยู่นะครับ รวมความไปถึง ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เรากำลังมุ่งไปสู่สามเหลี่ยมเศรษฐกิจของเรา เพราะฉะนั้นทั้งนี้ รัฐบาลและคณะทำงานแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้พยายามมุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มที่นะครับ มันไม่ใช่การพูดแล้วสั่งแล้วทำมันเกิดขึ้นไม่ได้ มันต้องทำงานหลายมิติด้วยกัน ทั้งความมั่นคง การพัฒนา การบังคับใช้กฎหมาย การสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ให้ทุกอย่างมีความมั่นคง ยั่งยืน ทั้งด้าน เศรษฐกิจ พลังงาน เรื่องสถานะภาพภาคใต้ เรื่องยาง เรื่องอาหารฮาลาล จะทำอย่างไรกันต่อไปอีกหลายเรื่องนะครับ อย่าเอาเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาเน้นจนทำให้เกิดความขัดแย้ง ทำให้เกิดความรุนแรงเกิดขึ้น
 
รัฐบาลและ คสช. กำลังทหารทั้งหมดที่ปฏิบัติหน้าที่ พลเรือน ตำรวจทหารนะครับ พยายามใช้ทุกอย่างบังคับใช้กฎหมาย อย่างลืมว่าเราไม่สามารถทำให้เกิดความรุนแรงยิ่งขึ้นไปกว่านี้ได้อีก เราก็บังคับใช้กฎหมาย ขอความร่วมมือมากขึ้น ด้วยความเข้มงวดในการตรวจตรารถ ตรวจตราอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ในที่ชุมชน หลายอย่างอาจจะไม่สะดวก แต่หลายอย่างพอมันเนิ่นนานไปทุกคนก็บอกมันเป็นปกติแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ทำงานลำบาก ก็ขอให้ช่วยกัน อีกเรื่องก็คือในเรื่องของ การที่เราจะต้องน้อมนำหลัก “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มาใช้ในการแก้ปัญหา ก็ขอให้พี่น้องประชาชนร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ให้มากขึ้น หากเห็นสิ่งผิดสังเกต ไม่น่าไว้วางใจ ขอให้ช่วยเป็นหูเป็นตา ร่วมกันสอดส่องดูแลเพื่อไม่ให้เกิดเหตุร้ายขึ้นในชุมชนของท่าน อันนี้หมายรวมไปถึงอาชญากรรมที่มีความรุนแรง อื่นๆอีกด้วย ช่วยกันเฝ้าระวัง เรื่องยาเสพติด เรื่องอาชญากรรมข้ามชาติ เรื่องผู้มีอิทธิพล เรื่องการค้าของเถื่อน น้ำมันเถื่อนเหล่านี้ แจ้งมาได้ตลอดเวลานะครับ จะลงโทษอย่างเด็ดขาดนะครับทั้งผู้กระทำความผิดและเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนร่วม หลายเรื่องก็เสนอข่าวได้ แต่ไม่ควรขยายจนเกินขอบเขต จนทำให้ผู้คนนั้นเห็นเป็นเรื่องตลกไป เป็นเรื่องขำขันไป หรืออาจจะมีเหยื่อที่ถูกละเมิดสิทธิส่วนบุคคล กระบวนการยุติธรรมทำงานลำบาก ก็อยากให้เสนอข่าวที่เป็นความก้าวหน้า ในเรื่องของการติดตามผลการดำเนินคดีตามห่วงเวลาที่มีอยู่เร่งรัดมากไปมันก็ไม่ดี ช้าเกินไปมันก็ไม่ได้นะครับ เพราะฉะนั้นก็ขอให้ช่วยกันเสนอ ช่วยกันประคับประครองให้สถานการณ์ภายในประเทศนั้นมีความสงบสุข มีความเข้าใจโดยทั่วกัน เสนอไปในด้านของความรุนแรงอย่างเดียวประชาชนก็เคยชิน ต่อไปมันก็ชินชาทั้งหมด เรื่องไม่ดีไม่ดีเหล่านี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาสังคมเป็นอย่างนี้เอง อย่างนี้ก็ไม่ได้ เรามีอัตลักษณ์ของเรา เราต้องแก้ปัญหาด้วยอัตลักษณ์ของเราให้ได้วัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม สังคม สุภาพสตรี ผู้หญิงและเด็ก เหล่านี้คือวัฒนธรรมประเพณีของคนไทยนั้น ได้ช่วยให้สังคมสงบสุขมานานแล้ว วันนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากมาย ก็จะเห็นได้ว่ามีปัญหาในภาคเหนือของไทยอีกด้วย เพราะฉะนั้นต้องมาดูสิ่งเหล่านี้นะครับว่า สังคมเราเกิดอะไรขึ้นนะครับ
 
ส่วนเรื่องดีๆ วันนี้ ผมขอแสดงความยินดีกับทัพนักกีฬาเทควันโดไทยนะครับ ที่สามารถคว้า 6 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน 2 เหรียญทองแดง จากการแข่งขันในรายการ ดับเบิล ยู ที เอฟ เวิร์ล เทควันโด บีช แชมป์เปี้ยนชิพ ครั้งที่ 1 ผมขอชื่นชมนักกีฬา ผู้ฝึกสอน ผู้สนับสนุน และคณะทำงาน สมาคมเทควันโดฯ ที่ทำผลงานได้เป็นอย่างดีเยี่ยม ขอแสดงความชื่นชมนักกีฬาไทยที่ได้รับชัยชนะ มีคะแนนรวมเป็นอันดับ 1 โดยเฉพาะน้องเจล น.ส.เพ็ญกัญญา ไพศาลเกียรติกุล ที่คว้าชัยชนะคนเดียว 3 เหรียญทอง ไม่ว่าท่านจะได้เหรียญอะไรหรือไม่ ทุกๆ ท่านที่เกี่ยวข้อง มีส่วนทำให้ประเทศไทยมีชื่อเสียง ทำให้คนไทยมีรอยยิ้ม มีความภาคภูมิใจ ขอให้ทุกคนมีกำลังใจสู้นะครับ เพื่อพัฒนาและรักษาระดับฝีมือเช่นนี้ต่อไป ผมขอให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นำวิธีการฝึกฝน (Coaching) การปรับวิธีคิด (Mindset) ของนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จในครั้งนี้ ไปปรับใช้กับนักกีฬาอื่นๆ รวมทั้งผู้รับผิดชอบ ในกีฬาประเภทอื่นๆ ด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับทีมชาติไทยในการแข่งขันในระดับนานาชาติต่อไปนะครับ ขอบคุณผู้อาสาสมัครในการฝึกอบรมนักกีฬาในลักษณะนี้ด้วยนะครับ สำหรับภาคราชการ รัฐบาลก็ได้ให้มีการปรับใช้วิธีการ แนวคิดเช่นนี้ ไปใช้ในการอบรมหลักสูตรของ กพ. กพร. ไปแล้วนะครับ เพื่อที่จะได้สร้างข้าราชการยุคใหม่ ให้เป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงไปด้วยนะครับ ทุกอย่างมันต้องเริ่มทั้งการปฏิบัติแล้วก็จิตใจด้วยนะครับ
 
สุดท้ายนี้ สภาพอากาศค่อนข้างแปรปรวนในเวลานี้นะครับ รัฐบาลมีความห่วงใยประชาชนทุกท่าน โดยเฉพาะพี่น้องในพื้นที่เสี่ยงภัยจากพายุฤดูร้อน วันนี้ก็เริ่มเข้าฤดูฝน ผมขอให้ระมัดระวัง ดูแลลูกหลาน และตัวท่านเอง ขอให้ประชาชนปฏิบัติตามคำแนะนำ ข้อแนะนำของกรมอุตุนิยมวิทยา เช่น การหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง ในขณะที่เกิดฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง ผมได้กำชับทุกหน่วยงานให้พร้อมที่จะออกช่วยเหลือผู้ประสบภัย และแก้ไขปัญหาน้ำ อย่างครบวงจร รัฐบาลจะเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และแจ้งเตือนหากมีความจำเป็น ขอให้พี่น้องประชาชนรับฟังข่าวสาร ช่วยกันร่วมเป็นหูเป็นตาร่วมด้วยอีกทางหนึ่งนะครับ อีกเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องของการ เราต้องเตรียมความพร้อมมาตรการ ในการลดความเสี่ยงเรื่องน้ำท่วม อันนี้เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าน้ำมากวันนี้ฝนมาเป็นปกติ อาจจะมีปัญหาน้ำมากบ้างในบางพื้นที่ทั้งกรุงเทพมหานครและในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงจากน้ำท่วม น้ำขังให้เตรียมการให้พร้อมทุกหน่วยงานในส่วนของพื้นที่ที่เป็นที่ดอน พื้นที่ที่มีการเพาะปลูกด้านการเกษตร ที่ขาดน้ำอยู่ก็ขอให้มีการเร่งพัฒนาแหล่งน้ำของตัวเองขุดลอกที่เก็บน้ำในไร่นาทำให้มันใช้ได้ มีที่ระบายน้ำเข้าเพื่อให้เข้าไปเก็บไว้ก่อน ถ้ามันเกินก็ค่อยปล่อยออกมานะครับ ตอนนี้เราต้องเตรียมรับความเสี่ยงในฤดูแล้งหน้าไว้ด้วย สภาพของอากาศโลกนั้นมันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลานะครับ
 
อีกเรื่องสำคัญ ก็คือในช่วงนี้ฝนตกบ่อย ถนนลื่น การใช้ความเร็ว การขับรถ การดื่มสุราจะต้องระมัดระวัง อย่างดื่มสุราขับรถโดยเด็ดขาด ผมขอให้พี่น้องประชาชนที่มีการเดินทาง ใช้รถใช้ถนนด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน ผมเห็นในโทรทัศน์ก็ไม่สบายใจนะครับ ลงมาชกกัน ลงมายิงกันบ้าง หรือไม่ก็กระทบกระทั่งกันทำให้เกิดภาพลักษณ์ไม่ดีในสายตาของทั้งในคนไทยและในต่างประเทศ ความรุนแรงก็จะเกิดขึ้นไปบ่อยๆ ก็จะเกิดขึ้นในมิติอื่นๆ อีกด้วย ช่วยกันระวังรักษาสุขภาพ โรคหวัดโรคปอดอะไรเหล่านี้ ต้องช่วยกันระมัดระวังนะครับ ขอบคุณครับ ขอให้ “ทุกคน” มีความสุข ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่เป็นวันหยุดยาวของหลาย ๆ ท่านนะครับ อย่าลืมกลับมาทำงานด้วยนะครับ สวัสดีครับ
 

หมายเหตุ : ประชาไท เปลี่ยนพาดหัวเป็น ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เมื่อเวลา 23.00 น. 13 พ.ค.60

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net