วงเสวนามองย้อน 3 พฤษภา หมอสันต์เผยหลัง พ.ค.35 ทหารแทบไม่กล้าแต่งเครื่องแบบออกมาเดินตลาด ด้าน 'รัฐพล-อนุธีร์' เห็นพ้องต้องวิจารณ์พวกกันเอง ยอมรับความผิดพลาดระหว่างกัน เพื่อผลักดันขบวนการประชาธิปไตย-สิทธิมนุษยชน
20 พ.ค. 2560 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ พรรคใต้เตียง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ คณะประชาชนเพื่ออิสรภาพ (คปอ.) จัดเสวนาวิชาการ หัวข้อ "มองย้อน 3 เหตุการณ์เดือนพฤษภา มองไปข้างหน้าอนาคตสังคมไทย" โดยมีร่วมเสวนาโดย ผู้อยู่ในเหตุการณ์เดือนพฤษภา 3 รุ่น ประกอบด้วย พฤษภา 2535 โดย นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ ประธานมูลนิธิวีรชนประชาธิปไตย พฤษภา 2553 โดย อนุธีร์ เดชเทวพร อดีตเลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) พ.ศ. 2552-2553 และ พฤษภา 2557 โดย รัฐพล ศุภโสภณ อดีตสมาชิกกลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย (LLTD)
ยึดที่หลักการ ไม่ใช่ตัวบุคคล
รัฐพล กล่าวถึงสาเหตุที่ตนออกมาต่อต้านการนิรโทษกรรม แบบเหมาเข่งตอนปี 56 รวมทั้งการรัฐประหาร 57 ว่า เนื่องจากเพื่อนตนมีหลายหลายกลุ่ม ทำให้มองภาพรวมมากขึ้น มีการทบทวนตนเอง ส่วนที่ที่พวกเรามีจุดร่วมกันคือเรื่องของประชาธิปไตย ภายใต้หลักการ 1 สิทธิ 1 เสียง อีกทั้งเรามีบทเรียนจากการรัฐประหารปี 49 โดยสิ่งที่นักศึกษายึดถือคือเราไม่ได้ยึดที่ตัวบุคคลว่าเป็นใคร เช่น ถ้าพรรคเพื่อไทยทำผิดจากการผ่าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมนั้น ไม่ได้ผิดแค่รัฐธรรมนูญ แต่ผิดในแง่หลักการ รวมทั้งหักหลังคนเลือกเข้ามา ดังนั้นเมื่อเลือกตั้งอีกครั้ง 2 ก.พ. 57 ตนก็ไม่ได้เลือกพรรคเพื่อไทย คิดว่าไม่ใช่ว่าต้องง้อพรรคเพื่อไทย แต่ต้องสั่งสอน นี่คือระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนถือชะตาคุณอยู่
หลัง พ.ค.35 ทหารแทบไม่กล้าแต่งเครื่องแบบออกมาเดินตลาด
ควรวิจารณ์พวกเรากันเอง - สภาวะก้ำกึ่งของขบวนการเสื้อแดง
อนุธีย์ กล่าวอีกว่า ถ้าเรามองฝั่งการเมือง เราจะเห็นสีต่างๆ แต่ถ้าเราตัดเรื่องสีออกไป เราจะเห็นว่าชนชั้นนำมีบทบาทสูงมาก บรรดากลุ่มก้อนที่มีอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม มีบทบาทมาก การเมืองไทยที่่ผ่านมาเป็นการเมืองของพวกเขา เราก็จะเห็นว่าขบวนการประชาชนที่ผ่านมาทุกสี ปัญหาคือการผูกการนำไว้กับคนกลุ่มนี้ และขบวนการเสื้อแดงที่ผ่านมาเราไม่เคยสลัดหลุดจากการนำเขาได้เลย มีใครกล้าปฏิเสธไหมว่า การนำของคนเสื้อแดงที่ผ่านมาไม่มีอิทธิพลจากเพื่อไทยและ ทักษิณ ชินวัตร เลย ลองจินตนาการดูในการชุมนุมที่ใหญ่ที่สุดของเสื้อแดงที่ผ่านมา ถ้าไม่มีโครงสร้างพรรคเพื่อไทยหนุนจะชุมนุมได้สมบูรณ์ขนาดนั้นไหม แม้จะมองได้ว่าเป็นการหนุนเสริมกัน แต่นั้นหมายความว่าเราผูกตัวเองเข้ากับเขามากไปหรือเปล่า รวมทั้งในแง่ยุทธศาสตร์เอง ขบวนการเสื้อแดงมีข้อผิดพลาด เช่น การชุมนุมปี 53 แน่นอนเป็นความผิดที่รัฐปราบปราม แต่มีบางอย่างที่เราสามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น ในปี 53 ตอนที่มีการเจรจาว่าจะยอมถอยคนละครึ่งทางให้ นปช. สลายการชุมนุม และ สุเทพ อภิสิทธิ์ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทั้งที่วันนั้น นปช. อ่อนแรงกันมาก และสามารถถอยได้ แต่เราก็ไม่ทำ ทำไมการนำของเราไม่ตัดสินใจหลีกเลี่ยงตรงนั้น
4 ปีที่ผ่านมา อนุธีย์ มองว่า ก็เป็นเช่นนั้น เรื่องวิกฤตินิรโทษกรรมเหมาเข่ง ตนคิดว่า 50% ของคนเสื้อแดงเอาด้วย แต่อาจจะมากกว่า 70% ด้วย เพราะทักษิณเอาด้วย นี่เป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามันแสดงให้เห็นการนำที่ผิดพลาดอย่างไร
อนุธีย์ กล่าวถึงสภาวะก้ำกึ่งของขบวนการเสื้อแดงโดยระบุว่า แม้ว่ามวลชนจะมีอำนาจต่อรอง แต่ก็ไม่สามารถออกจากโครงสร้างการนำของชนชั้นนำได้ จากโครงสร้างการนำแบบนี้ถ้ามีประเด็นอย่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม อีกในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เช่น ตอนที่ จตุพร ณัฐวุฒิ ออกมาไม่เอา นิรโทษกรรมเหมาเข่ง ก็ถูกตัดจากช่องเอเชียอัพเดทเลย ที่ตนพูดแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องสลัดจากชนชั้นนำ แต่สิ่งที่สำคัญคือเราต้องสร้างพลังต่อรองอำนาจ ทำอย่างไรให้ชนชั้นนำฟัง นี่เป็นลักษณะที่ควรจะเป็น เพราะเราต้องยอมรับว่าผลประโยชน์ของชนชั้นนำมันไม่ได้ไปกันได้กับผลประโยชน์ของประชาชน
แม้เขาจ้องรัฐประหาร แต่ก็เกิดไม่ได้หากเราไม่เสียความชอบธรรมเองด้วย
ยอมรับความผิดพลาด เพื่อผลักดันขบวนการประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน
อนุธีย์ กล่าวอีกว่า ปัญหาคือทุกฝ่ายไม่ได้อยู่บนหลักการจริงๆ อยากตั้งคำถามกับเสื้อแดง เช่น วีระ สมความคิด หรือคนฝั่งเสื้อเหลือถูกละเมิดสิทธิ เราสะใจหรือเปล่า ถ้าเราสะใจตรงนี้ได้ เหมือนที่เราเคยโดนละเมิดสิทธิ เรากำลังออกใบอนุญาติให้กับรัฐไทยทำแบบนั้นหรือเปล่า
"ถ้าเราออกใบอนุญาติให้ทำกับฝ่ายตรงข้ามได้ มันก็ย้อนกลับมาทำกับเราได้" อนุธีย์ กล่าว พร้อมกล่าอีกว่า หากเราจะผลักดันขบวนการประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนจริงๆ เราจะผลักดันให้เกิดการยอมรับความผิดพลาดระหว่างกันได้หรือเปล่า