ศ.ดร.พรรณี ชี้เมื่อแรงงานถูกทำให้ไม่มีประวัติศาสตร์ ก็ไม่ตระหนักในคุณค่าของตัวเอง ก็ไม่มีพลังเปลี่ยนแปลง แนะกรรมกรควรเริ่มบันทึกประวัติศาสตร์ พร้อมชี้ 'ไทยแลนด์ 4.0' ต้องอาศัยสังคมที่เป็นประชาธิปไตย-ระบบธรรมาภิบาล
เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา ที่พิพิธภัณฑ์แรงงานไทย ถนนนิคมมักกะสัน แขวงมักกะสัน มีการบรรยายในหัวข้อ “แรงงานอยู่ตรงไหนในประวัติศาสตร์ชาติไทย” โดย ศ.ดร.พรรณี บัวเล็ก อาจารย์ประจำ คณะศิลปศาสตร์ หลักสูตรการบริหารการจัดการองค์การ มหาวิทยาลัยเกริก ผู้เชี่ยวชาญสาขาวิชาประวัติศาสตร์ไทยและประวัติศาสตร์สากล พร้อมด้วยผู้นำองค์กรที่มีส่วนร่วมก่อตั้งและสนับสนุนพิพิธภัณฑ์แรงงานไทยรวมอภิปราย ผู้ดำเนินรายการโดย ศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านแรงงาน และผู้ริเริ่มก่อตั้งพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย
ศ.ดร.พรรณี บัวเล็ก
ทำไมแรงงานไม่มีในประวัติศาสตร์?
ศ.ดร. พรรณี กล่าวว่า เนื่องจากผู้ที่บันทึกประศาสตร์ หรือบันทึกพงศาวดารได้ต้องเป็นชนชั้นสูงเท่านั้น ต้องเป็นพระมหากษัตริย์เท่านั้นจึงจะทำหน้าที่บันทึกประวัติศาสตร์ได้ พระมหากษัตริย์ก็เห็นแต่ความสามารถ และบารมีของตน ทุกเรื่องที่ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ มันเต็มไปด้วยเหตุการณ์และบารมี ความศักดิ์สิทธิของชนชั้นสูง ประวัติศาสตร์จึงไม่มีพื้นที่สำหรับชนชั้นล่าง มีความพยายามของบางคน แม้แต่ใน ร.5 อย่าง ก.ศ.ร. กุหลาบ เริ่มท้าทาย ร.5 ด้วยคำถามว่า “ทำไมสามัญชนไม่มีประวัติศาสตร์” และพยายามพงศาวดารขึ้นมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย จึงถูกลงโทษอย่างหนักโดยการตะพุ่นหญ้าให้ช้างกิน และเรียกกุหลาบ ว่า “นายกุ” ที่มาจากกุเรื่อง ในแนวคิดของชนชั้นสูงอย่าง ร. 5 รับอารยธรรมของตะวันตกมามากก็ยังไม่อนุญาตให้ชนชั้นสามัญบันทึกประวัติศาสตร์ ในสมัยก่อนแรงงานมีความหมายแต่ไม่ถูกบันทึกประวัติศาสตร์เพราะมันเป็นข้อห้ามของชนชั้นสูง เรื่องเล่าของชาวบ้านจึงเป็นในรูปแบบของตำนานต่างๆ บันทึกท้องถิ่น ซึ่งบันทึกเหล่านี้ไม่มีปรากฏในสถาบันการศึกษา หลักสูตรการศึกษา ตั้งแต่ยุค ร.5 เป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้นให้คนจงรักภักดีในสถาบันกษัตริย์ เรื่องของชนชั้นล่างเป็นเรื่องที่ไม่ต้องเอามาเรียนรู้ จนปัจจุบันก็ยังไม่ได้เรียนเรื่องของชนชั้นล่าง ความพยายามที่จะรื้อฟื้นประวัติศาสตร์ของชนชั้นล่างยังมีน้อย เพราะไม่มีบันทึก มีเป็นเพียงเรื่องเล่าของชาวบ้านในความทรงจำ แต่ในเรื่องของการเป็นเอกสารยังไม่มี
เมื่อถูกทำให้ไม่มีประวัติศาสตร์ ก็ไม่ตระหนักในคุณค่าของตัวเอง ก็ไม่มีพลังเปลี่ยนแปลง
ศ.ดร.พรรณี ชี้ด้วยว่า การที่ประวัติศาสตร์แรงงานไม่ถูกถ่ายทอด ทำให้ไม่เกิดการตระหนักในคุณค่าของตัวเราเองก็ไม่มีพลังในการเปลี่ยนแปลง ชีวิตเราก็ไม่เกิดการพัฒนา หรือไม่ก็กลืนตัวเราให้เป็นอีกชนชั้นหนึ่ง ตลอดมาพบการกลืนของชนชั้นซึ่งเข้าไปอยู่ในชนชั้นสูง เพราะวัฒนธรรมที่ไม่ถูกตอกย้ำจะทำให้มันอ่อนแอ ปัญหาที่สำคัญคือความรู้ชนชั้นสูงกับแรงงาน
ศ.ดร.พรรณี เสนอด้วยว่า การทำประวัติศาสตร์อาจทำทำเป็นกระบวนการ และบันทึกประวัติศาสตร์เพื่อให้เห็นคุณค่าของตน อาจเป็นการสัมภาษณ์แรงงานมาเขียนเป็นประวัติศาสตร์ แต่อาจมีความคลาดเคลื่อน หรือบิดเบือนได้ เพราะที่มามีจากหลายแหล่ง
แรงงานในประวัติศาสตร์วิวัฒนาการอารยธรรมมนุษย์
ไทยแลนด์ 4.0 ต้องอาศัยสังคมที่เป็นประชาธิปไตย-ระบบธรรมาภิบาล
ศ.ดร. พรรณี กล่าวว่า สังคมอุตสาหกรรมภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจ การเข้ามาลงทุนของต่างชาติที่มีความมุ่งหวังคือแรงงานราคาถูก ต้องการหาตลาดระบายสินค้า ต้อการระบายทุน แรงงานจึงเป็นตัวกำหนดแนวทางการพัฒนาในสังคมอุตสาหกรรมแบบใหม่ ตามแบบแผนผนหรือโมเดลที่ประเทศมหาอำนาจ หรือบริษัทข้ามชาติวางแผนไว้ จนกระทั่งปัจจุบันที่กำลังเข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 สตาร์ทอัพ Creative Economy ก็หวังว่าเราจะรอดจากการขายแรงงานราคาถูกเข้าสู่การขายแรงงานสมอง เรื่องแบบนี้พูดได้แต่ไม่รู้จะทำได้หรือเปล่าเพราะการที่จะหลุดพ้นไปสู่ Creative Economy หรือเศรษฐกิจสร้างสรรค์ มันต้องใช้ปัจจัยหลายอย่าง ที่สำคัญคือต้องอาศัยสังคมที่เป็นประชาธิปไตย ต้องอาศัยระบบธรรมาภิบาล ต้องอาศัย Civil society ประชารัฐไม่ได้หมายความว่ารัฐจะมาชี้นำประชาชน ตามหลักของ Civil Society คือประชาชนมีส่วนร่วมกำหนดทิศทางต่างๆ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสังคมมีเสรีภาพ และแรงงานในสังคมต้องตระหนักถึงคุณค่าของตนเอง หลุดพ้นจากอำนาจทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นอำนาจของพระเจ้า หรืออำนาจของชนชั้นปกครอง เช่นเดียวกับยุโรปที่เข้าสู่สังคมอุตสาหกรรม แบบมีการสร้างสรรค์ หลุดพ้นจากอำนาจ ชื่นชมในเสรีภาพ ตระหนักในคุณค่าของตนเอง