“ชุมชนนักวิชาการนานาชาติ” ในการประชุมไทยศึกษาครั้งที่ 13 และนักวิชาการด้านไทยศึกษา 176 รายชื่อ ออกแถลงการณ์ “ขอคืนพื้นที่ความรู้และสิทธิเสรีภาพของพลเมืองในสังคมไทย” เรียกร้องคืนเสรีภาพทางวิชาการ คืนอิสรภาพแก่นักโทษทางความคิด คืนอำนาจอธิปไตยแก่ประชาชน ปฏิรูปสถาบันสำคัญโดยเฉพาะศาลและกองทัพ
17 ก.ค. 2560 - ในการประชุมวิชาการนานาชาติไทยศึกษาครั้งที่ 13 ที่ศูนย์ประชุมและแสดงนิทรรศการนานาชาติ จ.เชียงใหม่ มีการอ่านแถลงการณ์ของ “ชุมชนนักวิชาการนานาชาติ” ในการประชุมนานาชาติไทยศึกษาครั้งที่ 13 และนักวิชาการด้านไทยศึกษา “ขอคืนพื้นที่ความรู้และสิทธิเสรีภาพของพลเมืองในสังคมไทย” โดยมีรายชื่อนักวิชาการทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ 176 รายชื่อแนบท้ายแถลงการณ์ด้วย ทั้งนี้มีการอ่านแถลงการณ์ภาษาอังกฤษโดยไทเรล ฮาร์เบอคอร์น นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย และอ่านแถลงการณ์ภาษาไทยโดยประจักษ์ ก้องกีรติ นักวิชาการคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยในแถลงการณ์มีรายละเอียดและข้อเรียกร้องดังนี้
000
คลิปช่วงอ่านแถลงการณ์ "ขอคืนพื้นที่ความรู้และสิทธิเสรีภาพของพลเมืองในสังคมไทย"
แถลงการณ์ “ชุมชนนักวิชาการนานาชาติ” การประชุมนานาชาติไทยศึกษาครั้งที่ 13 และนักวิชาการด้านไทยศึกษา เรื่อง “ขอคืนพื้นที่ความรู้และสิทธิเสรีภาพของพลเมืองในสังคมไทย”
นับตั้งแต่การรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ในปี พ.ศ. 2557 เป็นต้นมา สิทธิและเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ข้อเท็จจริง และความรู้ของประชาชนไทยถูกปิดกั้นและบิดเบือนอย่างมาก ขณะที่ประชาชนผู้มีความคิดเห็นต่างจากรัฐจำนวนมากถูกข่มขู่ คุกคาม และจับกุมคุมขังอย่างผิดหลักการและขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม แม้สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ไม่อาจนับว่าเป็นเรื่องเฉพาะของคนภายในประเทศได้ เนื่องจากประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลกซึ่งต่างยอมรับในหลักการพื้นฐานของการเคารพสิทธิเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การแสดงความเห็น การเรียนรู้ รวมถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ สีผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความเห็นทางการเมือง ชาติ กำเนิด หรือสถานะอื่นใด
“ชุมชนนักวิชาการนานาชาติ” ในการประชุมนานาชาติไทยศึกษาครั้งที่ 13 และนักวิชาการด้านไทยศึกษา (ตามรายชื่อแนบท้าย) ตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสวงหาความรู้ด้วยการแลกเปลี่ยนถกเถียงกันบนพื้นฐานของการยอมรับความแตกต่างหลากหลายทางความคิด ความเชื่อ และอุดมการณ์ของบุคคล จึงเห็นว่าการปิดกั้นเสรีภาพทางความคิดที่เกิดขึ้นในสังคมไทยขณะนี้เป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นกังวล เพราะจะส่งผลให้เกิดการถดถอยทางปัญญา เนื่องจากประชาชนไม่สามารถเข้าถึงความจริงและแสวงหาความรู้ที่ก้าวหน้าไปกว่าเดิมได้ ยิ่งกว่านี้ การที่รัฐใช้อำนาจโดยมิชอบละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่มีความเห็นต่างยังสร้างความเสื่อมถอยด้านสิทธิมนุษยชนทั้งในสังคมไทยและประชาคมโลก พวกเราจึงมีข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้
1. รัฐต้องเคารพเสรีภาพทางวิชาการ ด้วยการคืนพื้นที่ความรู้ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลและข้อเท็จจริงต่างๆ รวมทั้งได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยไม่ถูกปิดกั้น ครอบงำ หรือบิดเบือน เช่น ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ทั้งในอดีตและปัจจุบัน สถาบันทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการเมืองไทย เป็นต้น ข้อเท็จจริงเหล่านี้เป็นวัตถุดิบสำคัญของการสร้างความรู้ใหม่ที่หลากหลาย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อความก้าวหน้าทางวิชาการและการพัฒนาสังคมและการเมืองไทยรวมถึงประชาคมโลก
2. รัฐต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกของประชาชน ด้วยการคืนอิสรภาพให้แก่นักโทษทางความคิดที่ถูกจับกุมคุมขังเพียงเพราะพวกเขามีความคิดเห็นแตกต่างไปจากรัฐ เช่น ผู้ต้องขังในคดีมาตรา 112 และผู้ต้องโทษในคดีที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองในปี พ.ศ.2553 เป็นต้น
3. รัฐต้องคืนอำนาจอธิปไตยให้แก่ประชาชนตามหลักพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยโดยเร่งด่วน เช่น การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์และยุติธรรม
4. รัฐต้องปฏิรูปสถาบันสำคัญในสังคมไทย โดยเฉพาะศาลและกองทัพ ที่มักใช้อำนาจอย่างเป็นอิสระโดยไม่ยึดโยงกับประชาชน และมีส่วนให้สังคมและการเมืองไทยตกอยู่ในสภาวะคับขันดังในปัจจุบัน
“ชุมชนนักวิชาการนานาชาติ” ในการประชุมนานาชาติไทยศึกษาครั้งที่ 13 และนักวิชาการด้านไทยศึกษา เห็นว่าด้วยการปฏิบัติตามข้อเรียกร้องทั้ง 4 ประการนี้เป็นอย่างน้อยเท่านั้นจึงจะสามารถนำพาสังคมไทยไปสู่ความปรองดอง สมานฉันท์ และสันติ และเกิดการปฏิรูปสังคมไทยที่แท้จริงด้วยสติปัญญาและพลังความรู้ มิใช่การใช้อำนาจดิบหยาบปิดกั้นครอบงำพื้นที่ความรู้ดังเช่นทุกวันนี้
ด้วยความเชื่อมั่นในการเรียนรู้อย่างอิสระ
“ชุมชนนักวิชาการนานาชาติ” ในการประชุมนานาชาติไทยศึกษาครั้งที่ 13 และนักวิชาการด้านไทยศึกษา
17 กรกฎาคม 2560
ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จ.เชียงใหม่
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)