ประยุทธ์ อัด 'รบ.ก่อน' เลี้ยงไข้แก้ปัญหา 'ยาง' หวังเรียกคะแนนเสียง กลายเป็นสินค้าการเมือง

ประยุทธ์ ชี้ต้องปรับตัว แก้ปัญหาราคายาง ระบุมีเพียงแต่รัฐบาลนี้ ที่กล้าพูดความจริง ถ้ายังใช้การแก้ปัญหาแบบเอาตัวรอดไปวัน ๆ เลี้ยงไข้เพื่อเรียกคะแนนเสียง ยางพารา จะไม่ต่างจากสินค้าเกษตรอื่น ๆ ที่กลายเป็นสินค้าการเมือง

แฟ้มภาพ

เมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ตอนหนึ่งเกี่ยวกับ การแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำว่า การศึกษาปัจจัย ที่ก่อให้เกิดปัญหาอย่างรอบด้าน ยกตัวอย่าง “ยางพารา” พบว่าเราคงต้องลดปริมาณการผลิต เพิ่มการแปรรูปใช้งานให้มากยิ่งขึ้นภายในประเทศ ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ซึ่งมาตรการนี้ประเทศเพื่อนบ้านของเรา และเป็นประเทศผู้ผลิตเช่นเดียวกับไทย แต่ไม่ประสบปัญหาราคายางตกต่ำ เพราะประเทศหนึ่ง มาเลเซีย เมื่อ 30 ปีที่แล้ว เขาผลิตยางพาราเกือบล้านกว่าตัน เป็นอันดับหนึ่งของโลก เขาก็คาดการณ์ไปอนาคตแล้วว่า ความต้องในการใช้ยางพาราจะถึงทางตันเพราะมีอย่างอื่นมาแทน เขาตัดสินใจโค่นยางพาราลง ตั้งแต่เมื่อ 30 ปีที่แล้ว จนเมื่อปี 2545 เขามียางพาราอยู่แค่  7 แสนตันเท่านั้น และเขาก็เพิ่มโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ยางพาราในประเทศ อยู่ที่ 4–5 แสนตัน นั่นคือผลิตยางออกมาพอดีกับที่ใช้ภายในประเทศ อีกประเทศหนึ่ง อินโดนีเซีย เขาปลูกยางพารามาก และใช้ยางในประเทศน้อย ไม่ต่างจากไทย แต่ก็ไม่มีปัญหาเหมือนเรา เพราะยางพาราของเขา เป็นยางที่อยู่ในป่า เป็นยางที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ชาวบ้านเห็นว่าราคาดี ก็เลยไปกรีดเอาออกมาขาย ตอนไหนเห็นราคาไม่ดีก็ไม่ไปกรีด เขาก็ไปทำอาชีพอย่างอื่น ดังนั้น แม้ราคายางพาราจะมีการขึ้น-ลง ก็ไม่เป็นปัญหา สำหรับเพื่อนบ้านเรา ทั้ง 2 ประเทศผู้ผลิตยางพารา เนื่องจากผลิตให้พอดีกับการใช้ภายในประเทศ ที่เหลือก็ส่งออก พร้อมกับแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า   

"เราต้องเพิ่มปริมาณการใช้ยางในประเทศ โดยประเทศไทย ในปี 2545  มียางพาราอยู่ 3 ล้านตัน ปัจจุบันมี 5.4 ล้านตัน แต่การใช้ยางในประเทศ ใน 15 ปีที่ผ่านมา เรายังอยู่ที่ 4–5แสนตัน ไม่เพิ่มขึ้นจากเดิมนัก นั่นก็แปลว่า เราต้องส่งออกมากขึ้น ๆ ทุกปี แต่ถ้าวันหนึ่งโลกนี้ ไม่ต้องการใช้ยางพารา มีสิ่งอื่นทดแทนที่ถูกว่า หรือดีกว่าแล้วยางพาราส่วนเกิน ราว 4–5 ล้านตัน เราจะทำอย่างไร ราคาต้องตกแน่นอนอยู่แล้ว ที่แย่กว่านั้น เกษตรกรชาวสวนยาง ของเรานั้นจะปรับตัวทันหรือไม่ แรงงานในสวนยางอีกด้วยจะทำอย่างไร หากเราไม่ตระหนัก ไม่รับรู้ในสิ่งเหล่านี้ ที่มีเพียง แต่รัฐบาลนี้ ที่กล้าพูดความจริง ถ้าวันนี้ เรายังใช้การแก้ปัญหาแบบเอาตัวรอดไปวัน ๆ หรือ เลี้ยงไข้เพื่อเรียกคะแนนเสียง เพราะยางพารา ไม่ต่างจากสินค้าเกษตรอื่น ๆ ที่กลายเป็นสินค้าการเมือง ไปแล้ว และเกิดขึ้นในบ้านเราเท่านั้น ข้าวก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่ปัจจุบันไทยผลิตข้าว 30 ล้านตัน บริโภคภายใน ประเทศเพียง 10 ล้านตัน ส่งออก 20 ล้านตัน ซึ่งส่วนเกินของเรานี้ จะถูกกำหนดราคาโดยตลาดโลก ทั้งนี้ ถ้าเรายังแก้ปัญหาโดยการหว่านงบประมาณ ลงไปอุดหนุน ก็ไม่ได้ช่วยให้เกษตรกรได้รู้ถึงการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ไม่ได้อยากเลิกปลูกยางพารา หรือปลูกให้น้อยลง โดยเฉพาะในส่วนที่เกินความต้องการ เช่น การปลูกในพื้นที่บุกรุกป่าบ้าง ไม่เหมาะกับการปลูกยางบ้าง แต่เหมาะกับการทำอย่างอื่น" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

หัวหน้า คสช. กล่าวด้วยว่า ยิ่งเราใส่เงินลงไปก็เหมือนใส่น้ำมันเข้าไปในกองไฟเหมือนสนับสนุน หรือชอบให้แห่กันปลูกยาง แล้วปัญหาก็ไม่จบ ขยายตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามที่ตนยกตัวอย่างไว้ หรือถ้าเราแก้ปัญหาด้วยการประกันราคา พยุงราคา มันก็แค่ชะลอปัญหาเท่านั้น  ดังนั้น วิธีการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนของรัฐบาล คือ (1) ปรับสมดุลของการผลิตกับความต้องการใช้ และ (2) เพิ่มปริมาณการใช้ภายในประเทศให้มากขึ้น ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้ว ทั้งการลดการเพาะปลูกในพื้นที่บุกรุก เพื่อลดการผลิตและไม่ละเลยการทำผิดกฎหมาย  อีกทั้งเพิ่มปริมาตรการใช้ ในประเทศ หรือตลาดในประเทศ อาทิ ยางพารา

ซึ่งรัฐบาลให้ทุกกระทรวง หามาตรการส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐ โดยล่าสุด สามารถสรุปความต้องการน้ำยางข้น 16,000 กว่าตัน และยางแห้ง 4,500 กว่าตัน คิดเป็นงบประมาณ กว่า 17,000 ล้านบาท สำหรับทำแผ่นทางปูพื้นคอกปศุสัตว์ พื้นอ่างเก็บน้ำ สระเก็บน้ำในไร่นา ลานกีฬา สนามฟุตซอล ลู่วิ่ง สนามเด็กเล่น ลานอเนกประสงค์ บล็อกยางพาราเพื่อใช้ในการก่อสร้าง ที่นอน หมอนยางพารา ยางรถยนต์ใช้ในราชการ และพื้นผิวถนน เป็นต้น วันนี้ ได้ส่งเสริมการจัดตั้งโรงงานที่จะใช้วัตถุดิบจากภาคการเกษตรของเราให้มากยิ่งขึ้น ด้วยมาตรการส่งเสริมการลงทุนของ BOI อีกด้วย

พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่า การแก้ปัญหายังไม่จบแต่เพียงแค่นี้ เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม มีแรงงานภาคการเกษตร อาทิ ทำสวน  ไร่ นา  ประมง  ปศุสัตว์ และผู้ประกอบการ หรือทำงานที่เกี่ยวข้อง เป็นธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับภาคการเกษตรอีก รวมกัน เกือบครึ่งประเทศ หรือร้อยละ 40 ของประชากรไทย ราว 25 ล้านคน หรือ 6 ล้านครัวเรือน แต่เป็นภาคการผลิตที่มีสัดส่วนเพียง 8% ของ GDP ทั้ง ๆ ที่แผ่นดินไทยมีความอุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว หากเราไม่ปลูกพืชในพื้นที่สูง ไม่มีระบบชลประทาน ก็คงไม่มีปัญหาเรื่องภัยแล้ง แล้วหันมาเพาะปลูก หรือทำเกษตรที่มีคุณภาพ ลงทุนน้อยกว่า ได้ผลผลิตมากกว่า และสอดคล้องกับความต้องการของตลาด แลกเปลี่ยนค้าขายซึ่งกันและกัน ดังนั้น รัฐบาลนี้ต้องการแก้ปัญหาแบบองค์รวม โดยปฏิรูปทั้งระบบ พร้อม ๆ กัน ทั้งเรื่องน้ำ ที่ดิน สินค้าเกษตร  อาชีพเสริม และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ไปสู่สิ่งที่เหมาะสมกว่า ด้วยความสมัครใจนอกจากผู้ผลิต คือ เกษตรกรแล้ว ยังมีกลางทาง พ่อค้าคนกลาง การแปรรูป แล้วก็ปลายทางในเรืองของการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีผลกระทบจากราคาตกต่ำของผลิตผลทางการเกษตรทั้งสิ้น เราต้องมองให้ครบวงจร เพราะเป็นธุรกิจที่ต่อเนื่องกัน ทั้งในภาคการเกษตร และในธุรกิจห่วงโซ่เหล่านั้น อีกมากมาย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท