ผศ.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากกรณีที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ให้ความเห็นว่าสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ไม่มีอำนาจในการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ ทำให้ปัจจุบัน สปสช. ไม่สามารถดำเนินการจัดซื้อยาที่มีความจำเป็น 7 กลุ่มรายการได้ ขณะที่กลไกการจัดซื้อยารวมแบบใหม่ก็ยังไม่มีความชัดเจนทั้งๆ ที่ใกล้จะเริ่มปีงบประมาณ 2561 แล้ว ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้กลุ่มเครือข่ายผู้ติดเชื้อ HIV และผู้ที่ต้องได้รับยาอย่างต่อเนื่อง ออกมาแสดงความกังวลเนื่องจากสต็อกยามีพอใช้ถึงเดือนพฤศจิกายนนี้เท่านั้น หากไม่มีการจัดซื้อยาได้ทันจะส่งผลกระทบกับผู้ป่วยโดยตรง
ผศ.ภญ.ยุพดี ให้ความเห็นว่าทางออกระยะสั้นที่ดีที่สุดในขณะนี้คงต้องใช้อำนาจพิเศษในการออกประกาศให้ สปสช. สามารถจัดซื้อยาได้ไปก่อน เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านกลไกการจัดซื้อยาจาก สปสช. ไปยังระบบใหม่เป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด
ผศ.ภญ.ยุพดี กล่าวว่า ประเด็นเฉพาะหน้าขณะนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่าหน่วยงานใดจะเป็นผู้จัดซื้อ แต่จะทำอย่างไรถึงจะจัดซื้อยาให้เสร็จก่อน เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยต้องได้รับผลกระทบ ซึ่งหากพิจารณาทางเลือกต่างๆ แล้ว กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ก็จัดซื้อไม่ได้ จะวางระบบจัดซื้อใหม่ก็ยังไม่มีความชัดเจน หรือจะแก้กฎหมายเพิ่มอำนาจให้ สปสช. ก็คงไม่ทันการณ์ เนื่องจากการจัดซื้อยาโดยเฉพาะในปริมาณมากๆ ไม่ได้หมายความว่าซื้อแล้วจะได้ยาเลย ยังมีประเด็นเรื่องความพร้อมในการ Supply ยา คนขายต้องไปวางแผนการผลิต ยาบางตัวต้องมีแผนการผลิตของโรงงาน ดังนั้น หากขณะนี้ระบบการจัดซื้อยารวมยังไม่มีความชัดเจน ทางออกที่ดีที่สุดคือใช้อำนาจพิเศษมาช่วยและควรต้องออกโดยเร็วอีกด้วย
“ปัญหาเดียวคือ สปสช. ไม่มีอำนาจ ทำไมไม่แก้ให้ตรงไปตรงมา และถ้ากังวลในเรื่องความโปร่งใส ก็เขียนเพิ่มให้ภาคส่วนอื่นเข้ามามีส่วนร่วมด้วย อย่าไปตีความว่าเป็นการปกป้อง สปสช. ตอนนี้พูดอย่างเดียวคือต้องมียามาซัพพอร์ตคนไข้ ใครจะซื้อก็ได้ แต่ถามความพร้อมในฝั่ง สธ. ก็ยังไม่ชัด ยังไม่สร้างความมั่นใจให้คนไข้ ขณะที่ สปสช. มีข้อมูลเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว ตอนนี้อย่าเพิ่งชักคะเย่อกันได้ไหม เอาคนไข้ให้ได้ยาก่อน แล้วปี 2561 ค่อยคุยกันให้ตกผลึกว่าระบบการจัดซื้อจะทำอย่างไร เพราะกลไกการต่อรองราคาต้องมีความพร้อมพอสมควร ไม่เช่นนั้นจะเสียโอกาสในการต่อรองให้ได้ยาในราคาถูก ตอนนี้ให้คงเดิมไว้ก่อน” ผศ.ภญ.ยุพดี กล่าว