แจ้งความดำเนินคดีนักวิชาการไทยศึกษากับพวก

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

 

อนุสนธิจากการประชุมวิชาการนานาชาติไทยศึกษา ครั้งที่ 13(13th International Conference on Thai Studies) ที่เชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 15-18 กรกฎาคม 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการประชุมที่ถือได้ว่าเป็นการประชุมไทยศึกษาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะมีผู้เข้าร่วมที่เป็นนักวิชาการด้านไทยศึกษาที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลกกว่า 1 พันคน มีหัวข้อการประชุมและบทความที่นำเสนอกว่า 500 บทความ แต่น่าเสียดายที่สิ่งดีๆเหล่านี้ได้ถูกลดทอนหรือทำให้เสียบรรยากาศจากผู้ที่ไม่เข้าใจและมีความวิตกกังวลมากเกินเหตุ

ในการประชุมฯมีการแลกเปลี่ยนและนำเสนอบทความทางวิชาการอย่างกว้างขวาง ทำให้เกิดความองค์ความรู้ใหม่ขึ้นอย่างมากมาย มีการทำกิจกรรมและนิทรรศการควบคู่กันไป มีการรวมตัวและออกแถลงการณ์(ซึ่งเป็นปกติในเกือบทุกๆเวทีวิชาการ)ให้ คสช.ผ่อนคลายการจำกัดสิทธิเสรีภาพจากนักวิชาการที่เข้าร่วมประชุม ซึ่งบรรยากาศการประชุมฯก็ดำเนินไปด้วยดี

โดยในระหว่างประชุมเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงก็มาทำหน้าที่ในการหาข่าวและถ่ายรูปตามปกติซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด แต่ในการทำหน้าที่นั้นบางครั้งก็ดูรุ่มร่าม ประเจิดประเจ้อ ลุกเข้าลุกออก ฯลฯ จนทำให้นักวิชาการไทยมีความรู้สึกว่าน่าอาย ในวันสุดท้ายก็เลยมีการจัดทำแผ่นกระดาษ(flip  chart)นำมาเรียงต่อกันด้วยข้อความ “เวทีวิชาการไม่ใช่ค่ายทหาร” ซึ่งผู้พบเห็นต่างก็มาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันพอสมควร

แต่การณ์กลับปรากฏว่าในโซเชียลเน็ตเวิร์กได้มีการเผยแพร่การรายงานข่าวของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ถึงหน่วยงานในส่วนกลางโดยระบุรายชื่อผู้เข้าประชุมบางคนว่ามีพฤติกรรมที่อาศัยการประชุมฯ เพื่อดำเนินกิจกรรมและจะได้เรียกตัวมาพูดคุยต่อไป ซึ่งเรื่องก็เงียบหายไป โดยเป็นที่เข้าใจว่าเรื่องคงยุติไปแล้ว หลังจากที่ผู้จัดและจังหวัดเชียงใหม่ได้รับคำชื่นชมมากมาย

แต่ในที่สุดไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลอันใดในวันที่ 11 สิงหาคม 2560 ได้มีหมายเรียกผู้ต้องหาโดยการแจ้งความของนายทหารจากกองกำลังรักษาความสงบในพื้นที่ โดยระบุตัวผู้ต้องหาคือ นายชยันต์ วรรธนะภูติ (ประธานฝ่ายวิชาการของการประชุมฯ)กับพวกรวม 5 คน ในข้อหา “มั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆที่มีจำนวนตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากหัวรักษาความสงบแห่งชาติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย” โดยกำหนดให้ไปพบกับพนักงานสอบสวนในวันอังคารที่ 15 สิงหาคม 2560  เวลา 10.00 น. ที่ผ่านมาที่ สภ.ช้างเผือก จ.เชียงใหม่ แต่เนื่องจากเป็นช่วงระยะเวลาที่กระชั้นชิดและผู้ต้องหาบางรายยังไม่ได้รับหมายเรียกฯอย่างเป็นทางการ ผู้ต้องหาจึงขอเลื่อนการเข้าพบไปเป็นวันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม 2560 เวลา 13.00 น.

การที่มีหมายเรียกผู้ต้องหาในครั้งนี้ได้สร้างความงุนงงสงสัยและความคับข้องใจแก่นักวิชาการทั้งหลายที่ทราบข่าวนี้เป็นอันมาก ซึ่งเหตุผลคงมิใช่เพียงเพราะผู้ที่ถูกหมายเรียกฯเป็นนักวิชาการที่มีชื่อเสียงในระดับโลกด้านไทยศึกษาหรือมีนักข่าวและนักแปลกับนักกิจกรรมตกเป็นผู้ต้องหาด้วยซึ่งจะทำให้ไทยเราตกเป็นข่าวไปทั่วโลก (ล่าสุด Human Right Watch ก็ออกแถลงการณ์แล้ว) เท่านั้น แต่ด้วยข้อหาที่ถูกกล่าวหานั้นเมื่อดูตามองค์ประกอบของการกระทำความผิดแล้วไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ไม่เข้าข่ายในฐานความผิดนี้ไปได้

เมื่อดูเหตุผลทางด้านการดำเนินนโยบายทางการเมืองการปกครองแล้วไม่เข้าใจว่าเมื่อทำเช่นนี้แล้วรัฐหรือฝ่ายบ้านเมืองจะได้อะไร นอกจากจะเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ซึ่งก็ไม่ได้ผลอะไร กลับเป็นผลเสียต่อฝ่ายเจ้าหน้าที่ของรัฐเองเสียด้วยซ้ำที่ตอนแรกดูเหมือนว่าจะใจกว้างแต่กลับมาดำเนินคดีในภายหลังและเป็นการดำเนินคดีโดยอาศัยคำสั่ง คสช.ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ให้การรับรองสิทธิเสรีภาพนี้ไว้

จริงอยู่แม้ว่าจะมีบทเฉพาะกาลกำหนดให้คำสั่ง คสช.ยังคงสามารถบังคับใช้ได้ แต่ข้อยกเว้นย่อมไม่อาจที่จะไปขัดแย้งกับหลักการสำคัญที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองไว้ หลายคนอาจจะโต้แย้งว่าเมื่อไม่ผิดแล้วจะกลัวอะไร(อีกแล้ว)ก็ให้การต่อสู้หักล้างสิ ใช่ครับ มันก็คงต้องเป็นอย่างนั้น แต่อย่าลืมว่าคนเราเมื่อเป็นคดีความแล้วย่อมมีความยากลำบากตามมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องของค่าใช้จ่าย ภาระที่จะต้องแก้ต่าง กำหนดนัดหมายงาน ฯลฯ แม้ว่าในที่สุดแล้วอาจจะมีการสั่งไม่ฟ้องหรือยกฟ้องก็ตาม

ส่วนเรื่องที่จะให้ไปลงชื่อทำ MOU พร้อมกับปรับทัศนคติแล้วคดีเลิกกันนั้นคงยากที่เป็นไปได้ เพราะมันหมายถึงการแสดงว่าเป็นการยอมรับผิดในสิ่งที่ตนเองเชื่อว่าไม่ได้ทำความผิด

การดำเนินคดีในลักษณะเช่นนี้ย่อมเป็น “การอาศัยกฎหมายเป็นเครื่องมือ”เข้ามาดำเนินการต่อผู้ที่เห็นต่างกับตนเอง ซึ่งเป็น Rule by Law มิใช่ Rule of Law แต่อย่างใด

เล่าจื๊อ(ตอนนี้กำลังฮิต ฉายที่ช่อง อสมท.ทุกคืนวันเสาร์อาทิตย์ อย่าไปห้ามเขาฉายเสียล่ะ) สอนไว้นานแล้วแต่ก็ยังใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัยว่า กฎหมาย กฎเกณฑ์ เป็นสิ่งที่คอยกระตุ้นให้ประชาชนเอาแต่จะฝ่าฝืนเท่านั้น ยิ่งมีความเข้มงวดกวดขันและมีข้อห้ามต่างๆ ในโลกมากขึ้นเพียงไร หรือยิ่งมีกฎหมายและคำสั่งมากขึ้นเพียงไร ขโมยและโจรผู้ร้ายก็ยิ่งมากขึ้นเพียงนั้น ฉะนั้น การกระทำขั้นแรกของนักการปกครองคือ จะต้องขจัดเหตุทั้งหลายอันเป็นสมุฎฐานของความเสื่อมโทรมในสังคมและความยุ่งเหยิงในทางการเมืองเสียก่อน (ซึ่งก็คือการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือให้น้อยที่สุด – ผู้เขียน)

บ้านเมืองเราถอยหลังไปไกลมากแล้ว อย่าให้มันถอยหลังไปมากกว่านี้เลยครับ การรักชาติทำได้หลายแบบหลายวิธี เจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็รักชาติตามแบบของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง นักวิชาการก็รักชาติตามแบบของนักวิชาการ แต่วิธีหนึ่งที่ตรงกันที่จะแสดงให้เห็นถึงการรักชาติอย่างแท้จริงก็คือการปกป้องเกียรติภูมิและชื่อเสียงของชาติมิให้ตกต่ำเป็นที่น่ารังเกียจเดียดฉันท์ของเพื่อนร่วมโลก ซึ่งจะกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจนเป็นผลเสียต่อไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเมือง ฯลฯ ซึ่งผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างแท้จริงก็คือประชาชนตาดำๆนั่นเอง

จิ้งจกทักคนยังฟัง นี่เป็นคนตัวเป็นๆที่ก็รักชาติเหมือนกันทัก จะไม่ฟังกันบ้างเลยหรืออย่างไร

หมายเหตุ: ปรับปรุงจากการเผยแพร่ในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 16 สิงหาคม 2560

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท