Skip to main content
sharethis

เผยเอกชน 9 รายจ่อลงทุนอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ เห็นแน่ปี 2561 รวมมูลค่ากว่าหมื่นล้าน

นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้มีเอกชนขนาดใหญ่และขนาดกลาง ทั้งไทยและต่างชาติ จำนวน 9 ราย สนใจที่จะลงทุนในอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติ รวมมูล ค่าลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเห็นได้ชัดเจนภายในช่วงปี 2561 ถือว่าเป็นการตอบรับ 10 อุตสาห กรรมเป้าหมายที่รัฐบาลพยา ยามสนับสนุน ซึ่งในวันที่ 15 ส.ค.2560 นี้ กระทรวงฯ จะเสนอยุทธศาสตร์พัฒนาอุตสาห กรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโน มัติ ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณา

สำหรับสาระสำคัญของ ยุทธศาสตร์พัฒนาอุตสาหกรรม หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ จะมีการสนับสนุนด้านภาษีสรรพสามิตจากกระทรวงการคลัง โดยจะมีการกำหนดประเภทชิ้นส่วน จำนวน ในการได้สิทธิทางภาษี ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จะมีการจัดทำมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่ครอบคลุมและกว้างขึ้น ซึ่งทั้ง 2 ส่วนต้องให้หน่วยงานต้นสังกัดเป็นผู้ให้ข้อมูลจะเหมาะสมกว่า แต่มั่นใจว่าเอกชนจะมีความพอใจแน่นอน นอกจากนี้จะมีการพัฒนาบุคลากรใน อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ เน้นพัฒนาคนไทย จะมีการตั้งเครือข่าย พัฒนาผู้ประกอบการในอุตสาห กรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ลงทุนว่าหากลงทุนแล้ว ตลาดแรงงานจะรองรับเพียงพอ"อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเป็นอุตสาห กรรมที่มีความจำเป็นต่อประ เทศชาติ เพราะโลกปัจจุบันมีการใช้หุ่นยนต์ในกระบวนการผลิตทุกอุตสาหกรรม และประ เทศไทยมีการใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติที่น้อย หากไม่เร่งพัฒนาตอนนี้จะส่งผลต่อศักยภาพของประเทศ และอาจ กระทบต่ออุตสาหกรรมอื่นๆ จนไม่สามารถพัฒนาไปสู่เทคโน โลยีขั้นสูงได้" นายอุตตมกล่าว

ที่มา: ไทยโพสต์, 14/8/2560

เผยสถิติเรื่องร้องเรียนโรงงานอุตสาหกรรม 10 เดือน 427 เรื่อง จ.ปทุมธานีร้องเรียนสูงสุด

นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงเรื่องร้องเรียนและเหตุภาวะฉุกเฉินอันเกิดจากการประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรม ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา (ตุลาคม 2559 – กรกฎาคม 2560) โดยศูนย์รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการประกอบกิจการโรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ทำหน้าที่ประสานการแก้ไขปัญหาว่า ที่ผ่านมามีเรื่องร้องเรียนทั้งหมด จำนวน 427 เรื่อง ส่วนเหตุภาวะฉุกเฉินเกิดขึ้น จำนวน 135 เรื่อง โดยปัญหาร้องเรียนส่วนใหญ่เกิดจากการที่โรงงานบางโรงลักลอบไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือไม่ดำเนินมาตรการป้องกันด้านสิ่งแวดล้อม โดยเป็นเรื่องกลิ่นเหม็น เสียงดัง ฝุ่นละอองและเขม่าควัน น้ำเสีย ประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต กากของเสียอันตรายและสิ่งปฏิกูล และเหมืองแร่ ตามลำดับ ซึ่งจังหวัดที่มีจำนวนการร้องเรียนมากที่สุด คือ จังหวัดปทุมธานี ส่วนเหตุฉุกเฉินเกี่ยวกับโรงงาน สาเหตุเกิดจากเพลิงไหม้มากที่สุด รองลงมาคืออุบัติเหตุ สารเคมีรั่วไหล และการชุมนุมคัดค้าน ตามลำดับ โดยจังหวัดที่มีจำนวนเหตุภาวะฉุกเฉินมากที่สุด คือ จังหวัดชลบุรี

ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ตั้งแต่การจัดทำแผนการตรวจกำกับ ดูแลสถานประกอบการเข้มงวดอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ โดยทั่วไปจะมีเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจโรงงานอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และจะเน้นเป็นพิเศษสำหรับโรงงานที่ถูกร้องเรียนซ้ำซากมีการเข้าตรวจมากกว่า 2 ครั้ง/ปี ซึ่งจะรายงานผลความก้าวหน้าให้ผมทราบเป็นประจำทุกเดือน โดยการตรวจโรงงานของเจ้าหน้าที่จะให้คำปรึกษาแนะนำโดยเฉพาะเรื่องของความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งได้จัดทำโครงการเสริมสร้างโรงงานที่ดีเพื่อลดปัญหาเรื่องร้องเรียนจากการประกอบกิจการโรงงาน SMEs ในภูมิภาค เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายโรงงาน การจัดการด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมโรงงานอย่างถูกต้องเหมาะสม ตลอดจนสร้างจิตสำนึกความรับผิดชอบให้แก่ผู้ประกอบการ ทั้งนี้ ในปี 2560 ได้จัดสัมมนาฯ จำนวน 6 ครั้ง ใน 4 ภูมิภาค และมีผู้ประกอบการ SMEs และผู้เข้าร่วมสัมมนา จำนวน 724 คน จากเป้าหมาย 600 คน

นอกจากนี้ กระทรวงฯ ยังดำเนินโครงการธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม ที่เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสีย เช่น ผู้แทนชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้มีส่วนร่วมตรวจสอบสถานประกอบการ ร่วมกับโรงงานและกระทรวงฯ รวมทั้งได้มีส่วนร่วมตัดสินใจในแผนงานและกิจกรรมของโรงงานที่ส่งผลต่อชุมชนตามหลักธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันมีสถานประกอบการผ่านเกณฑ์ธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม ปี 2551-2560 จำนวนทั้งสิ้น 2,135 ราย ในปี 2559 มีผู้ได้รับ ใบประกาศนียบัตร จำนวน 184 ราย ในปี 2560 คาดว่าจะมีผู้ผ่านเกณฑ์ฯ จำนวน 200 ราย และปี 2561 มีเป้าหมายจะเปิดรับสมัครสถานประกอบการ จำนวน 150 ราย โดยเฉพาะรายที่มีปัญหากับชุมชนควรเข้าร่วมโครงการนี้ ทั้งนี้ กระทรวงฯ ยังสร้างเครือข่ายความร่วมมือการเฝ้าระวังด้านสิ่งแวดล้อมของประชาชน รวมกว่า 432 เครือข่าย ครอบคลุมโรงงานที่มีปัญหาใน 54 จังหวัด ซึ่งผลการสำรวจความพึงพอใจโดยรวมของประชาชน เมื่อโรงงานเข้าโครงการดังกล่าว ปรากฏว่ามีระดับความพึงพอใจมากกว่าร้อยละ 80

ที่มา: Voice TV, 14/8/2560

สธ.ส่งเสริมยกระดับคุณภาพชีวิตผู้พิการ เตรียมจ้างทำงานในสถานบริการรวม 1,230 คน

กระทรวงสาธารณสุข ส่งเสริมยกระดับคุณภาพชีวิตผู้พิการ เตรียมจ้างคนพิการเข้าทำงานในสถานบริการในสังกัดตามความสามารถ จำนวนทั้งสิ้น 1,230 คน ในปีงบประมาณ 2561 คิดเป็นร้อยละ 54 ของอัตราส่วน 1:100 คน ตามมาตรา 33 ของพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เพื่อสร้างโอกาสให้คนพิการให้ได้รับการจ้างงานอย่างกว้างขวางทั่วถึง

นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ศ.คลินิกเกียรติคุณนายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความสำคัญในการส่งเสริมยกระดับคุณภาพชีวิตผู้พิการ ได้ให้หน่วยงานในสังกัดทั่วประเทศสำรวจและจ้างงานคนพิการเข้าทำงาน ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2556 ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตามมาตรา 33 ในอัตราส่วน 1:100 คน รวมทั้งนายกรัฐมนตรีได้ประกาศให้หน่วยงานภาครัฐ จ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงานภายในปี 2561

ข้อมูล ณ วันที่ 8 สิงหาคม 2560 กระทรวงสาธารณสุข มีบุคลากรที่เป็นข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้างประจำ รวม 227,809 คน จำนวนคนพิการที่ต้องจ้างงานในอัตราส่วน 1:100 คน ตามมาตรา 33 ในอัตราส่วน 1:100 คน คือ 2,096 คน ขณะนี้หน่วยบริการในสังกัดได้จ้างงานคนพิการเข้าทำงานใน 47 จังหวัด จำนวน 513 คน และหน่วยงานมีแผนการจ้างงานคนพิการประจำปี 2560-2561 ภายในปี 2561 รวมทั้งสิ้น 1,230 คน คิดเป็นร้อยละ 54 โดยจะพิจารณาจ้างงานจากลักษณะงานที่คนพิการสามารถทำได้ตามความเหมาะสม

โดยหลักการจ้างงานคนพิการของกระทรวงสาธารณสุขมี 3 ลักษณะดังนี้ 1.การจ้างงานตามมาตรา 33 โดยกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการจ้างเอง สามารถจ้างคนพิการได้ทุกประเภท แบบเต็มเวลาเป็นลูกจ้างประจำ จ่ายค่าตอบแทนเป็นรายเดือนหรือรายวันตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ระยะเวลาการจ้างไม่น้อยกว่า 1 ปี 2.การจ้างตามมาตรา 35 โดยกระทรวงสาธารณสุขจ้างเอง เช่น การให้สัมปทานแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการได้ใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินในการประกอบอาชีพ การจัดสถานที่ในการจำหน่ายสินค้าหรือบริการ การจ้างเหมาช่วงงานหรือจ้างเหมาบริการ การฝึกงานแก่คนพิการให้มีความรู้ ทักษะที่นำไปประกอบอาชีพได้ เป็นต้น และ 3.การจ้างงานคนพิการ ตามมาตรา 33 และจ้างเหมาบริการคนพิการตามมาตรา 35 โดยสถานประกอบการภาคเอกชน ตามนโยบายความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) เพื่อให้คนพิการเข้าปฏิบัติงาน ซึ่งมีมูลนิธินวัตกรรมทางสังคมภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเป็นผู้ประสานงาน

ทั้งนี้ เป็นไปตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อสนับสนุนการจ้างงานคนพิการให้ทำงานในหน่วยงานสังกัดกระทรวงสาธารณสุข สร้างโอกาสให้คนพิการได้ทำงานในหน่วยงานสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในชุมชน ได้ทำงานใกล้บ้าน ในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย และได้รับการจ้างงานอย่างกว้างขวางทั่วถึง รวมถึงมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งได้มีการลงนามเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2559

ที่มา: กระทรวงสาธารณะสุข, 14/8/2560

แรงงานต่างด้าวหาย 1 ล้านคน จี้นำเข้า G to G หวั่นโบรกเกอร์ประเทศต้นทางฟันหัวคิว

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า บริษัทมีไซต์ก่อสร้างโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างพัฒนา 150-160 ไซต์ แต่ละปีมีความต้องการใช้แรงงานก่อสร้าง 30,000 คน ส่วนใหญ่พึ่งแรงงานต่างด้าวเป็นหลักเช่นเดียวกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ทั่ว ๆ ไป

ล่าสุด พฤกษาฯ มีการสำรองค่าใช้จ่ายวงเงิน 140 ล้านบาทให้กับผู้รับเหมาช่วงที่มีการแจ้งแรงงานต่างด้าว เพื่อใช้เป็นทุนดำเนินการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวให้ถูกต้องต่อไป จากนั้นจึงทยอยหักเงินคืนในภายหลัง

“โครงการแนวราบเราใช้ระบบก่อสร้างสำเร็จรูป ทำให้ลดการใช้แรงงานก่อสร้างได้ 50% อย่างไรก็ตาม แนวสูงหรือคอนโดฯ ยังใช้แรงงานตามปกติ ปัจจุบันยังมีปัญหาการใช้แรงงานข้ามเขตประมาณ 10% ซึ่งต้องบริหารจัดการกันต่อไป”

นายอธิป พีชานนท์ กรรมการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ในฐานะนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า ยอดจดทะเบียนของแรงงานต่างด้าวที่ไม่ถูกต้องมีเพียง 7 แสนกว่าคน แสดงให้เห็นว่ามีบางจำนวนที่ตกค้างไม่ได้มาจดทะเบียน สุดท้ายจะกลายเป็นแรงงานผิดกฎหมาย เท่ากับระบบวงจรอุบาทว์ก็อาจไม่หมดไป อาจเพราะมองว่าการทำครั้งนี้ถือใบอนุญาตได้แค่ 2 ปี ต้องไปเริ่มต้นใหม่และอาจเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม

ล่าสุด ภาคอสังหาฯ มีการนำเสนอแนวทางต่อรัฐบาลในเรื่องการกำหนดจุดเคลื่อนย้ายแรงงาน 4 จุด แต่ยังมีข้อวิตกเพราะเหมือนต้องไปเก็งข้อสอบ สิ่งที่อยากนำเสนอคือ การใช้แรงงานข้ามเขต ขอให้กำหนดจุดให้ครอบคลุมเป็นระดับเขต เช่น 1 จังหวัด ถือเป็น 1 เขต เพราะสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น การก่อสร้างคอนโดฯ ในย่านไพรมแอเรียแต่ที่พักคนงานจำเป็นต้องอยู่รอบนอก เพราะไม่สามารถหาที่พักในเขตเดียวกันได้ เป็นต้น

“ปัญหาแรงงานต่างด้าวมีความซับซ้อนหลายขยัก คนที่ไปดีเบตร่วมกับเราส่วนใหญ่เป็นโรงงาน ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมในเรื่องแรงงานข้ามเขต โรงงานจะมีอารมณ์ร่วมเฉพาะด้านการจดทะเบียน ในขณะที่แรงงานประมง เกษตร มีปัญหาเดียวกับแรงงานก่อสร้าง ปัญหาที่จะกระทบต่อผู้บริโภคคือ การส่งมอบโครงการจะล่าช้าออกไป ไซต์ก่อสร้างอสังหาฯ ส่วนใหญ่มีแรงงานต่างด้าว ถ้าโดนตรวจไซต์หมดเวลาครึ่งวัน บางครั้งจับตัวไปโรงพักต้องไปประกันตัวออกมาใหม่ สิ่งที่ต้องการจะบอกคือ ทำให้ถูกต้อง แต่ว่าต้องยุติธรรม เพียงแต่ประเทศต้นทางไม่สามารถพิสูจน์สัญชาติได้หมด บางส่วนเป็นชนกลุ่มน้อย ทำให้แรงงานต่างด้าวกลับคืนมาไม่หมด”

ในด้านค่าใช้จ่ายจดทะเบียนแรงงานต่างด้าว แหล่งข่าวจากสภาหอการค้าฯ แสดงข้อคิดเห็นเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันไม่แพง ตกหัวละ 4-5 พันบาท อย่างไรก็ตาม คาดว่ามีแรงงานต่างด้าวที่ยังไม่เข้าระบบเหลือตกค้างอีกประมาณ 1 ล้านคน แนวโน้มหลังหมดระยะเวลาผ่อนผัน 1 มกราคม 2561 ปัญหาค่าใช้จ่ายนำเข้าแรงงานต่างด้าวจะกลับมาอยู่ที่หัวละ 1.9-2 หมื่นบาท

เรื่องเดียวกันนี้ นายอิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการ กานดา พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป และนายกกิตติมศักดิ์ สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ระบุว่าผลจากการจดทะเบียนให้ถูกต้องน้อยกว่าที่คาดการณ์ ทำให้แนวโน้มหลังวันที่ 1 มกราคม 2561 ซึ่งกฎหมายใหม่มีผลบังคับใช้ อาจเกิดการขาดแคลนแรงงานได้ ดังนั้น ในช่วง 3-4 เดือนที่เหลือในปีนี้ผู้ประกอบการหรือนายจ้างจำเป็นต้องมีการปรับตัวรองรับไว้แต่เนิ่น ๆ

นายอิสระกล่าวว่า แนวทางรับมือของผู้ประกอบการ ถ้าหากแรงงานต่างด้าวยังผิดกฎหมายจำนวนมากเช่นนี้ ในอนาคตเมื่อกฎหมายใหม่บังคับใช้และมีบทลงโทษรุนแรงทั้งจำคุกและค่าปรับแพง ทำให้นายจ้างไทยไม่สามารถใช้แรงงานต่างด้าวรายเดิมได้ ยังมีทางเลือกในการนำเข้าแรงงานต่างด้าวรายใหม่เลย หรือที่เรียกว่าทำ MOU โดยเป็นการนำเข้าผ่านบริษัทนายหน้าหรือโบรกเกอร์ ปัญหาใหม่ที่จะเกิดขึ้นคือมีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายฝั่งโบรกเกอร์ของประเทศต้นทาง

“วันนี้โบรกเกอร์ทำข้อเสนอมาให้ดู แรงงานเมียนมามีค่าใช่จ่ายหัวละ 9 พัน-1 หมื่นบาทสำหรับคนใหม่ ถ้าเป็นแรงงานต่างด้าวคนเดิมที่ต้องกลับประเทศไปทำทะเบียนให้ถูกต้องตกหัวละ 14,500 บาท แรงงานลาวและกัมพูชาตกหัวละ 2-2.1 หมื่นบาทสำหรับคนใหม่ แต่ถ้าต้องการคนเดิมค่าใช้จ่ายตกหัวละ 2.5-3 หมื่นบาท ข้อแตกต่างคือ ถ้าเป็นคนเก่าเรารู้ฝีมือ ใช้งานได้เลย แต่การนำเข้าแรงงานคนใหม่มาทดแทนมีความเสี่ยงว่าทำงานให้ได้หรือไม่”

จากปัญหาที่เกิดขึ้น นายอิสระกล่าวว่า ได้เสนอรัฐบาลให้มีการนำเข้าแรงงานต่างด้าวในระบบรัฐต่อรัฐ หรือ G to G เพื่อบรรเทาค่าใช้จ่ายทั้งในส่วนของผู้ประกอบการหรือนายจ้าง และในส่วนของลูกจ้างหรือตัวแรงงานเอง เพราะการนำเข้ารัฐต่อรัฐมีค่าใช้จ่ายตามกฎหมาย เช่น ค่าธรรมเนียมทำพาสปอร์ต ฯลฯ โดยไม่มีภาระค่าใช้จ่ายนอกระบบแต่อย่างใด

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, 15/8/2560

ประชาชนขานรับโครงการบ้านแลกเงินใช้ยามวัยเกษียณ

ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ 2 แห่ง เตรียมจัดทำโครงการสินเชื่อ รีเวอร์ส มอร์ทเกจ สามารถนำบ้านมาขอสินเชื่อ เพื่อแลกเป็นเงินไว้ดูแลชีวิตหลังวัยเกษียณ วงเงินไม่เกินร้อยละ 70 ของมูลค่าบ้าน

โดยปกติคนส่วนใหญ่ ต้องการซื้อบ้านซักหลัง มักจะขอกู้เงินกับธนาคารพาณิชย์มากกว่าการนำเงินสดก้อนใหญ่ไปซื้อ โดยต้องนำบ้านที่ซื้อไปค้ำประกับกับทางธนาคาร แล้วผ่อนจ่ายเงินคืนธนาคารทุกเดือนพร้อมกับดอกเบี้ย ซึ่งเรียกว่า mortgage หรือการจำนองแบบปกติทั่วไป แต่ในปัจจุบันมีการปล่อยสินเชื่ออีกรูปแบบหนึ่ง ที่เรียกว่า reverse mortgage ซึ่งแปลได้ว่า การจำนองแบบย้อนกลับ

ซึ่งที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้เห็นด้วยในหลัก โดยให้นำสินเชื่อดังกล่าวมาช่วยดูแลชีวิตคนไทยหลังวัยเกษียณ ผ่านธนาคารของรัฐ 2 แห่งคือ ธนาคารออมสิน และธนาคารอาคารสงเคราะห์

โครงการ reverse mortgage ออกมา เนื่องจากภาครัฐต้องการดูแลความมั่นคงด้านการเงินให้กับชีวติคนไทยหลังวัยเกษียณ รวมทั้งช่วยแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบใหม่สำหรับผู้สูงอายุ เหมือนเป็นการขายบ้านล่วงหน้าให้กับธนาคาร โดยธนาคารต้องผ่อนดาวน์และค่างวดทุกๆเดือนให้กับเจ้าของบ้าน จนกว่าเจ้าของบ้านจะเสียชีวิต จากนั้นบ้านจะตกเป็นของธนาคาร ซึ่งอาจนำไปขายต่อให้กับทายาท หรือ ขายทอดตลาด

ณัฐ ดาวมณี หนึ่งในผู้เกษียณอายุ บอกกับทีมข่าว TNN ช่อง 16 ว่า เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว เนื่องจากช่วยสร้างความมั่นคงให้กับผู้สูงอายุ เพราะไม่สามารถกู้เงินในระบบได้ ซึ่งจะลดปัญหาหนี้นอกระบบ พร้อมลดปัญหาเรื่องทรัพย์มรดก

ขณะที่ พนักงานเอกชน รายนี้ ซึ่งอยู่ในช่วงอายุ ใกล้เกษียณ บอกว่า โครงการ สินเชื่อบ้านย้อนกลับ จะช่วยสร้างความมั่นคงให้กับผู้สูงอายุไม่มีเงินเก็บ แต่มีทรัพย์สิน ซึ่งขณะนี้ ประเทศไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ และคนส่วนใหญ่อยู่ในอาชีพเกษตรกรรม ดังนั้นอยากให้ภาครัฐมีนโยบายเพิ่มเติมเพื่อการดูแลผู้สูงอายุจะได้ครอบคลุมทั้งประเทศ โดยเฉพาะการรักษาพยาบาล

สำหรับหลักเกณฑ์การจ่ายเงินรายเดือนให้กับผู้กู้ที่ขอสินเชื่อ reverse mortgage จะมาก หรือ น้อย ขึ้นอยู่กับอายุของผู้กู้ ซึ่งเงื่อนไขโครงการนี้ต้องมีอายุระหว่าง 60-85 ปี หากอายุมากมีโอกาสได้รับเงินงวดมากขึ้น ซึ่งจะพิจารณารวมถึงสภาพของบ้าน และทำเลด้วย โดยผู้กู้จะได้วงเงินสูงสุดไม่เกินร้อยละ 70 ของมูลค่าหลักประกัน

ที่มา: TNN, 15/8/2560

รับสมัครชายไทยไปฝึกปฏิบัติงานเทคนิคในญี่ปุ่น สมัครฟรี 15 – 18 ส.ค.นี้

กรมการจัดหางาน ร่วมกับ IM Japan เปิดรับสมัครชายไทย คัดเลือกผู้รับการฝึกอบรมเพื่อจัดส่งไปฝึกปฏิบัติงานเทคนิคในประเทศญี่ปุ่น มีเบี้ยเลี้ยงตลอดการฝึกงาน สมัครฟรี ! 15 – 18 ส.ค.นี้เท่านั้น

กรมการจัดหางาน ร่วมกับมูลนิธิเพื่อสาธารณประโยชน์ องค์กรพัฒนาแรงงานระดับนานาชาติ ประเทศญี่ปุ่น(IM Japan) เปิดรับสมัครคัดเลือกผู้รับการฝึกอบรมเพื่อจัดส่งไปฝึกปฏิบัติงานเทคนิคในประเทศญี่ปุ่น โดยผ่านองค์กร IM ปี 2560 ครั้งที่ 3 ตำแหน่งคนงานทั่วไป ระยะเวลาฝึกงาน 1 ปี หรือ 3 ปี มีเบี้ยเลี้ยงตลอดการฝึกงาน พร้อมรับเงินสนับสนุนการประกอบอาชีพกว่า 182,000 บาท เมื่อฝึกงานครบ 3 ปี สมัครฟรีตั้งแต่วันที่ 15 – 18 สิงหาคม 2560 ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10

นายวรานนท์ ปีติวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน แจ้งว่า กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ร่วมกับมูลนิธิเพื่อสาธารณประโยชน์ องค์กรพัฒนาแรงงานระดับนานาชาติ ประเทศญี่ปุ่น หรือ IM Japan เปิดรับสมัครคัดเลือกผู้รับการฝึกอบรมเพื่อจัดส่งไปฝึกงานปฏิบัติงานเทคนิคในประเทศญี่ปุ่น โดยผ่านองค์กร IM ตำแหน่งคนงานทั่วไป ระยะเวลาในฝึกงาน 1 ปี หรือ 3 ปี โดย IM ประเทศญี่ปุ่น จะจ่ายค่าโดยสารเครื่องบินไป-กลับ (กรุงเทพฯ - โตเกียว - กรุงเทพฯ) และได้รับเบี้ยเลี้ยงตลอดการฝึกงานโดยในเดือนแรกได้รับเบี้ยเลี้ยงเดือนละ 80,000 เยน หรือประมาณ 24,313 บาท และรับผิดชอบค่าที่พัก ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ ยกเว้นค่าอาหาร ค่าโทรศัพท์ และค่าใช้จ่ายส่วนตัว เดือนที่ 2 ถึงเดือนที่ 36 จะฝึกปฏิบัติงานเทคนิคภายใต้สัญญาจ้างตามกฎหมายแรงงานญี่ปุ่น ได้รับค่าจ้างไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่กฎหมายญี่ปุ่นกำหนด โดยผู้ฝึกปฏิบัติงานเทคนิครับผิดชอบค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าสาธารณูปโภคต่างๆ และค่าประกันสังคม รวมทั้งค่าภาษีตามที่กฎหมายกำหนด เมื่อสำเร็จการฝึกปฏิบัติงานแล้วจะได้รับใบประกาศนียบัตรรับรองการฝึกงาน และเงินสนับสนุนการประกอบอาชีพจำนวน 200,000 เยน หรือประมาณ 60,783 บาท เมื่อฝึกครบ 1 ปี จำนวน 600,000 เยน หรือประมาณ 182,349 บาท เมื่อฝึกครบ 3 ปี (อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2560)

คุณสมบัติเป็นเพศชาย อายุ 20 – 30 ปี จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ไม่จำกัดสาขาวิชา ความสูงไม่ต่ำกว่า 160 ซม. สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ สายตาปกติ และตาไม่บอดสี พ้นภาระการรับราชการทหาร ไม่มีรอยสัก หรือความผิดปกติทางร่างกาย ไม่มีความประพฤติเสียหาย และไม่เคยเข้าเมืองหรือทำงานโดยผิดกฎหมายในประเทศญี่ปุ่น หรือประเทศอื่น ๆ และไม่เคยไปฝึกปฏิบัติงานเทคนิคที่ประเทศญี่ปุ่นโดยใช้วีซ่าประเภท Technical lntern หรือเป็นผู้ต้องห้ามในการเข้าประเทศญี่ปุ่น หลักฐานการสมัคร ได้แก่ ใบสมัครสอบคัดเลือก รูปถ่ายหน้าตรงไม่สวมหมวก และไม่สวมแว่นตาดำ ขนาด 1 นิ้ว จำนวน 3 รูป สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน หลักฐานการศึกษา หลักฐานการพ้นภาระการรับราชการทหาร ใบรับรองแพทย์ที่แสดงว่าสุขภาพแข็งแรง สายตาปกติและตาไม่บอดสี ประวัติส่วนตัว ใบผ่านงาน (ถ้ามี)

นายวรานนท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้สนใจสมัครด้วยตนเองพร้อมหลักฐานได้ที่ กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน อาคารสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 3 ชั้น 8 ภายในกระทรวงแรงงาน ถนนมิตรไมตรี ดินแดง กรุงเทพมหานคร หรือที่สำนักงานจัดหางานทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 ตั้งแต่วันที่ 15 – 18 สิงหาคม 2560 สมัครฟรีไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ โทร. 02 245 1021 หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694

ที่มา: Voice TV, 15/8/2560

ครม. เห็นชอบ "พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน" หากนายจ้างเบี้ยวเงินต้องเสียดอกเบี้ย 15% ต่อปี พร้อมปรับอัตราค่าชดเชยเป็น 400 วัน

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบในหลักการร่างแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)คุ้มครองแรงงาน โดยมีสาระสำคัญเรื่องการเพิ่มเติมสิทธิของลูกจ้าง โดยกำหนดให้นายจ้างเสียดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีในกรณีที่นายจ้างผิดนัดการจ่ายค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ส่วนกรณีการเปลี่ยนแปลงตัวนายจ้างต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างและนายจ้างใหม่ก่อนรับไปทั้งสิทธิหน้าที่ กำหนดให้ลูกจ้างชายหรือหญิงได้รับค่าจ้างเท่าเทียมกันในงานที่มีคุณค่าเท่ากัน รวมถึงกำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิลากิจธุระในเหตุที่จำเป็นโดยได้รับค่าจ้าง ไม่น้อยกว่า 3 วันทำงาน และให้ลูกจ้างสามารถลาเพื่อตรวจครรภ์ก่อนคลอดบุตรได้ 90 วันโดยได้รับค่าจ้างไม่เกิน 45 วัน

ทั้งนี้ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ยังได้พิจารณาเพิ่มอัตราค่าชดเชย กรณีลูกจ้างทำงานติดต่อกันครบ 20 ปีขึ้นไป เมื่อถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิดให้ลูกจ้างได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 400 วัน เดิมกฎหมายเก่ากำหนดไว้ว่าต้องทำงานครบ 10 ปีขึ้นไปถึงจะได้รับค่าชดเชย 300 วันเท่านั้น

สำหรับพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 นั้นมีการบังคับใช้มาเป็นเวลานาน บทบัญญัติบางอย่างไม่สอดคล้องหรือเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและไม่เอื้อประโยชน์ต่อการดำเนินการเพื่อให้คุ้มครองลูกจ้าง จึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไขเพื่อยกระดับการคุ้มครองลูกจ้างให้สูงขึ้น

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 15/8/2560

7 วันตรวจสัมพันธ์นายจ้าง-แรงงานต่างด้าว ไม่ผ่านเกณฑ์ 2,200 ราย

ม.ล.ปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน ให้สัมภาษณ์ภายหลังจากตรวจเยี่ยมการตรวจสอบคัดกรองความสัมพันธ์ นายจ้าง - ลูกจ้าง ที่ศูนย์รับแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว บริเวณชั้นล่างอาคารกระทรวงแรงงาน ว่า ผ่านมา 7 วัน ของขั้นตอนการคัดกรองความสัมพันธ์นายจ้าง - ลูกจ้าง เพื่อออกเอกสารรับรองให้นายจ้างพาแรงงานต่างด้าวไปตรวจสัญชาติของแต่ละประเทศเพื่อออกใบอนุญาตทำงานตามสถานที่ที่กำหนด ซึ่งผ่านมา 7 วัน พบว่า ทั่วประเทศมีลูกจ้างเข้ารับการตรวจสอบคัดกรองความสัมพันธ์กับนายจ้างแล้ว 19% เป็นจำนวน 122,959 คน ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดกรองประมาณ 2,286 คน สาเหตุส่วนใหญ่เนื่องจากคนต่างด้าวมีอายุต่ำกว่าหรือมากกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งต้องผ่านการตรวจมวลกระดูกจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและนำผลมายืนยันต่อเจ้าหน้าที่กรมการจัดหางาน เพื่อป้องกันการใช้แรงงานเด็ก และการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน

"จากการลงพื้นที่ ไม่พบปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการ ระบบสามารถใช้งานได้ตามปกติ ซึ่งต่างด้าวแต่ละคนจะใช้เวลาสัมภาษณ์ไม่เกิน 10 นาที ทั้งนี้ รมว.แรงงาน ได้เน้นย้ำแก่ทุกส่วนราชการ ไม่ให้เกิดการเรียกรับสินบนจากแรงงานต่างด้าวโดยเด็ดขาด โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบต้องมีการตรวจอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะถ้าตรวจพบเจ้าหน้าที่ของกระทรวงแรงงานรับส่วยจากแรงงานต่างด้าว ต้องถูกลงโทษ สอบทางวินัยและอาญาอย่างแน่นอน" ปลัดแรงงาน กล่าว

นายสมบูรณ์ ปิยทับทิม เจ้าของกิจการร้านอาหาร กล่าวว่า วันนี้นำลูกจ้างสัญชาติพม่า มาตรวจสอบคัดกรองความสัมพันธ์ จำนวน 12 คน ซึ่งสามารถดำเนินการเสร็จทุกขั้นตอนเรียบร้อย โดยใช้เวลาเพียง 10 นาที เท่านั้น ขอชื่นชมว่าทางกระทรวงแรงงาน มีเจ้าหน้าที่เพียงพอต่อการสัมภาษณ์ ดำเนินการตรวจสอบคัดกรองความสัมพันธ์ นายจ้าง - ลูกจ้าง ได้อย่างรวดเร็วมาก

ที่มา: ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 15/8/2560

สหภาพแรงงาน ขสมก.ไม่เอาด้วย ค้านรถเมล์ทาสี เชื่อไม่ตอบโจทย์ผู้โดยสาร

เมื่อวันที่ 16 ส.ค. ที่อาคารชาเลนเจอร์เมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี ขสมก.ปฏิรูประบบการเดินรถเมล์ว่า ต้องเคารพความคิดของ ขสมก.เพราะที่ผ่านมาความคิดของรัฐและเอกชนมีความแตกต่างกัน ขสมก.แค่ลองดูเฉย ๆ ว่าหากทำแบบนี้จะมีความเป็นไปได้หรือไม่ ต้องไปดูการปรับเส้นทางรถที่ยาก เพราะเป็นการให้สัมปทานมานานแล้ว ไม่ใช่รัฐบาลนี้เป็นคนให้ การจะปรับสัมปทานใหม่เป็นเรื่องยาก เรื่องคนขับ กระเป๋ารถเมล์ ยังมีปัญหาพอสมควร วันนี้ทดลองปรับเส้นทางรถดูก่อน ในเมื่อรถใหม่ยังหาไม่ได้คงต้องทาสีหัวรถเก่าให้เห็นว่าสีนี้เป็นของสายนี้ ขออย่าไปติติงกันมากนัก เพราะเป็นการเดินทางถึงเหมือนกันให้อภัยกันบ้าง กำลังเร่งรัดจัดหารถเมล์ใหม่ซึ่งต้องโปร่งใส ถ้าจะเอาแต่ของราคาถูกคงได้แต่ของห่วยมา ถ้าแพงเกินไปก็ไม่ดีต้องเอาพอดี ๆ และจัดสรรปันส่วนให้ดี รวมถึงสร้างความเข้มแข็งเรื่องการประกอบการของรถเมล์ด้วย ลอตแรกมีประมาณ 400 คัน ที่ต้องจัดหามาก่อน ที่เหลืออีก 1,200 คันจะประกอบในประเทศหรือซื้อเข้ามา หรือจะไปประกอบนอกบ้านแล้วเสียภาษีคงต้องดูราคากลาง ทั้งหมดกำลังพิจารณาอยู่และพยายามให้มีรถเมล์ใหม่ทันปีใหม่นี้ สามารถซื้อได้แต่ต้องให้เวลาเขาประกอบรถด้วย อย่างรถไฟฟ้ากว่าจะทำรางและระบบเชื่อมต่อได้ต้องใช้เวลา ยืนยันว่ารัฐบาลทำเต็มที่

ด้านนายวีระพงษ์ วงศ์แหวน ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (สร.ขสมก.) เปิดเผยว่า ได้แถลงการณ์เรื่องคัดค้านการปฏิรูปเส้นทางเดินรถโดยสารให้กับสมาชิกพนักงาน และประชาชนผู้ใช้บริการทราบ เพราะไม่เห็นด้วย ต้องการคัดค้านและให้ทบทวนเส้นทางปฏิรูปทั้งหมด มองว่าไม่เกิดประโยชน์กับประชาชนที่ใช้บริการเนื่องจากเส้นทางเดินรถบางเส้นทางยาวเกินความจำเป็นและซ้ำซ้อนมากกว่าเดิม ทั้งนี้การเปลี่ยนชื่อและสายการเดินรถเป็นภาษาอังกฤษทำให้ประชาชนเกิดความสับสน การปฏิรูปเส้นทางในครั้งนี้ขาดการมีส่วนร่วมจากองค์กรผู้ปฏิบัติงานและประชาชนผู้ใช้บริการไม่มีการศึกษาผลดี-เสียหรือรับฟังความคิดเห็นข้อเสนอแนะของพนักงาน และผู้ใช้บริการทุกภาคส่วนขาดการประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจในการปรับเปลี่ยนเส้นทางเดินรถโดยสาร

นายวีระพงษ์ กล่าวต่อว่า เส้นทางบางเส้นทางไม่สอดคล้องต่อความต้องการของประชาชนไม่ได้ศึกษาข้อมูลข้อเท็จจริง สถานที่จอดรถต้นทางปลายทาง บางเส้นทางรถเมล์ไม่สามารถนำรถเข้ารับส่งผู้โดยสารได้ บางพื้นที่ถนนแคบไม่มีที่จอดรถ และกลับรถไม่สะดวก ทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยต่อผู้ใช้รถใช้ถนน สร.ขสมก.มองว่าการปฏิรูปเส้นทางครั้งนี้เป็นการยุบเขตการเดินรถจากเดิม 8 เขตเหลือ 4 เขต และเส้นทางต่าง ๆ ที่อยู่บริเวณโซน

ที่ถูกยุบ เขตการเดินรถนั้น จะให้เอกชนจัดหารถเมล์วิ่งแทน ขสมก. อาจเป็นการปฏิรูปเส้นทางเพื่อรองรับกลุ่มทุนเอกชนเข้ามาผูกขาดเส้นทางเดินรถในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นการแปรรูป ขสมก. และยุบเขตการเดินรถ

นายวีระพงษ์ กล่าวอีกว่า สร.ขสมก.ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนหลังได้ทดลองเดินรถ 8 เส้นทางปฏิรูปใหม่เมื่อวันที่ 15 ส.ค. ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่สับสนในการใช้บริการแต่ละเส้นทาง จากปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้สร. ขสมก.นิ่งนอนใจไม่ได้ ภายในสัปดาห์หน้าจะยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ นายพิชิต อัคราทิตย์ รมช.คมนาคม และนายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก และผู้ที่เกี่ยวข้อง ให้ทบทวนการปฏิรูปเส้นทางเดินรถโดยสารในครั้งนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง

ที่กระทรวงคมนาคม นายสมศักดิ์ ห่มม่วง รองปลัดกระทรวงคมนาคมเปิดเผยภายหลังร่วมหารือกับผู้ประกอบการรถโดยสารประจำทาง (รถร่วมฯ ขสมก.) เพื่อเสนอแนะข้อคิดเห็นและขอความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล และแผนการปฏิรูปรถโดยสารประจำทางว่า ผลการหารือมีมติร่วมกัน ประกอบด้วย 1.สมาคมรถร่วมฯ เห็นด้วยกับโครงการปฏิรูปการเดินรถโดยสารประจำทางในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 2.กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) จะให้ใบอนุญาตเดินรถ 7 ปี แก่รถร่วมฯเหมือนกับ ขสมก. หากสามารถรวมตัวเป็นนิติบุคคล 1 ราย และยกระดับมาตรฐานการบริการได้ตามแผนที่เสนอว่าจะนำรถใหม่มาให้บริการ ติดตั้งระบบตั๋วอีทิคเก็ตและติดตั้งระบบติดตามรถโดยสาร (จีพีเอส) เพื่อให้การแข่งขันอยู่บนฐานที่เท่าเทียมกัน และ 3.มอบให้ ขบ.ไปพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ค้างชำระค่าตอบแทน ขสมก.กว่า 800 ล้านบาท โดยต้องเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย

นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับ เรื่องค่าโดยสารนั้น ยืนยันว่ายังไม่ปรับราคา ค่าโดยสารอย่างแน่นอนขณะนี้ได้มอบให้สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ศึกษาต้นทุนการเดินรถที่แท้จริงอยู่ ต้องให้ความเป็นธรรมทั้งรถ ขสมก.และรถร่วมฯ ทั้งนี้หากค่าโดยสารที่เหมาะสมสูงกว่าราคาที่เก็บจริงอยู่ในปัจจุบัน รัฐอาจต้องช่วยอุดหนุนส่วนต่างนี้ อาจนำเงินจากภาษีล้อเลื่อนที่จ่ายให้ กทม. มาดำเนินการในส่วนนี้แทน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน

ด้านนางภัทรวดี กล่อมจรูญ นายกสมาคม ผู้ประกอบการรถร่วมฯ ยอมรับว่าทุกวันนี้ตกเป็นจำเลยของสังคม สมาคมฯ พร้อมที่จะปรับปรุงตนเองทั้งสภาพรถ และการบริการของพนักงานขับรถ โดยกำหนดแผนไว้ว่าจะนำรถเมล์ไฟฟ้าปรับอากาศใหม่ทยอยเข้ามาให้บริการแทนที่รถเก่าซึ่งมีประมาณ 2,000 คัน ให้ได้ภายในปี 61 โดยตั้งเป้าว่าจะนำรถเมล์ไฟฟ้า 100 คัน แรกมาให้บริการต้นปี 61 ก่อน เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับคนไทย ส่วนที่เหลืออีก 1,500 คัน จะทยอยนำมาให้บริการต่อไป อาจจะเป็นรถที่ประกอบในไทย แต่ต้องดูด้วยว่ารัฐบาลจะสนับสนุนในเรื่องนี้อย่างไร ส่วนอัตราค่าโดยสารนั้นเนื่องจาก รถเมล์ไฟฟ้าปรับอากาศมีต้นทุนสูง จึงเสนอขออัตราค่าโดยสาร 20 บาท ตลอดสาย และได้เสนอบัตรแบบบุฟเฟ่ต์ 40 บาท ผู้โดยสารสามารถถือตั๋วใบเดียวแต่ใช้บริการรถเมล์ของรถร่วมได้ตลอดทั้งวัน

นางภัทรวดี กล่าวต่อว่า จากการหารือร่วมกับสมาชิกสมาคมทั้งหมด 75 บริษัท เรื่องการรวมตัวเพื่อจัดตั้งเป็นนิติบุคคลได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า ชุดแรกจะเริ่มรวมตัว 34 บริษัทก่อน มีรถประมาณ 1,500 คัน วิ่ง 60 เส้นทาง รายละเอียดคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 1 เดือน บริษัทที่เหลือยินดีรวมแต่ขอให้รัฐมีความชัดเจนมากกว่านี้ก่อน สำหรับการรวมตัวของ 34 บริษัท มีทุนจดทะเบียน 3,000 ล้านบาท และต้องหาแหล่งเงินกู้อีก 1.7 หมื่นล้านบาท เพื่อมาชำระหนี้ของสมาชิกพร้อมจัดซื้อรถใหม่ เบื้องต้น นพ.บุญ วนาสิน ประธานกรรมการบริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จะร่วมจับมือกับ 34 บริษัท จัดตั้งเป็นบริษัทนิติบุคคลในครั้งนี้ด้วย แต่จะถือหุ้นใหญ่หรือไม่ต้องหารือร่วมกันอีกครั้ง

ขณะที่นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เปิดเผยว่าหลังจากที่เปิดทดลองเดินรถ 8 เส้นทางปฏิรูปใหม่ไป 2 วัน (วันที่ 15-16 ส.ค.) พบว่า ประชาชนยังไม่มีความเข้าใจเรื่องการปฏิรูปเส้นทางรถเมล์มากนักช่วงแรกที่ทดลองวิ่ง เพื่อให้ปรับตัว ประชาชนที่ใช้บริการควรสังเกตบริเวณป้ายรถเมล์ ซึ่งจะมีข้อมูลบอกสายรถเมล์และแนวเส้นทาง นอกจากนี้ได้ประเมินจำนวนความต้องการของผู้โดยสารที่ใช้บริการในแต่ละเส้น หากเส้นไหนมีความต้องการและได้รับควานนิยมใน 1 สัปดาห์ จะเพิ่มจำนวนรถมากขึ้น รายงานข่าวจากขสมก. แจ้งว่า ผลทดลองเดินรถ 8 เส้นทาง ในวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมามีผู้โดยสารรวมทั้งหมด 4,305 คน เก็บเงินได้ 27,984 บาท

ที่มา: เดลินิวส์, 16/8/2560

กระทรวงแรงงาน จัดตั้ง 5 สำนักงานทั่วพื้นที่ กทม. บริการพัฒนาแรงงาน กว่า 2 ล้านคน

นายธีรพล ขุนเมือง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เผยว่า อ.ก.พ.กระทรวงแรงงาน ได้มีติเห็นชอบการปรับปรุงโครงสร้าง การแบ่งหน่วยงานภายในกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อให้การปฎิบัติภารกิจด้านการพัฒนาฝีมือแรงงาน สามารถบริการประชาชนได้อย่างทั่วถึง ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี การพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ กพร. จึงได้จัดโครงสร้างภายในสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 13 กรุงเทพมหานคร โดยจัดตั้งสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1-5 ขึ้น เพื่อให้บริการประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ในเขตกรุงเทพมหานคร สามารถติดต่องานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาฝีมือแรงงานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ สพร. 13 กรุงเทพมหานคร มีสถานประกอบกิจการที่มีพนักงาน 100 คนขึ้นไป ภายใต้ พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานฯ มีกว่า 5,900 แห่ง มีลูกจ้างกว่า 2 ล้านคน ทั้งยังมีสถานประกอบการที่มีพนักงาน 50 คนขึ้นไปแต่ไม่ถึง 100 คน อีกกว่า4,500 แห่ง พนักงานกว่า 3,500 คน ตลอดจนคนกลุ่มต่างๆที่หลากหลาย จึงมอบหมายให้สพร. 13 กรุงเทพมหานคร ดำเนินการฝึกอบรม ทุกด้าน รวมทั้งภายใต้โครงการสิทธิประโยชน์ตาม พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2557” ที่มุ่งเน้นพัฒนาพนักงานในสถานประกอบการ โดยจัดอบรม จำนวน 4 รุ่น ซึ่งจัดตามเขตพื้นที่ที่กพร. ได้มีการปรับโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการใหม่ และครั้งนี้เป็นการอบรมในรุ่นที่ 4 จำนวน 170 คน เพื่อให้สถานประกอบกิจการในแต่ละเขต มีความเข้าใจเกี่ยวกับ พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2557 สำหรับในปี 2560 มีเป้าหมายในการพัฒนาบุคลากรในสถานประกอบกิจการตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการฯ ถึง 3,444,950 คน ปัจจุบันดำเนินการแล้ว กว่า 3.5 ล้านคน

ที่มา: ไอเอ็นเอ็น, 16/8/2560

นักเรียนวิศวกรรมรถไฟร้องสหภาพฯ จบแล้วถูกลอยแพ

วันที่ 16 สิงหาคม 2560 เวลา 9.30 ณ.ที่ทำการสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟฯ ตัวแทนนักเรียนนักเรียนวิศวกรรมรถไฟ รุ่นที่ 59 ได้เข้ายื่นหนังสือร้องต่อสหภาพฯ ขอให้ผลักดันการบรรจุเข้าทำงานหลังศึกษาจบหลักสูตรแล้วการรถไฟฯไม่มีตำแหน่งงานให้เนื่องจากติดขัดที่มติ ครม.เมื่อวันที่ 28 กรกฏาคม 2541 กำหนดให้รัฐวิสาหกิจเมื่อพนักงานเกษียน 100 คนให้รับพนักงานใหม่ได้แค่ 5 คน ทำให้นักเรียนวิศวกรรมรถไฟ รุ่นที่ 59 ทั้งหมดทุกแผนกจำนวน 176 คน และนักเรียนวิศวกรรมรถไฟฯรุ่นที่ 60 ที่กำลังจะจบก็จะถูกลอยแพอีกอีกร่วม 300 คน โดยมีนายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานสหภาพฯเป็นผู้รับหนังสือ และได้กล่าวว่าต่อผู้แทนนักเรียนว่า ถือเป็นนโยบายเร่งด่วนที่สหภาพฯจะผลักดันให้มีการเพิ่มอัตรากำลังให้กับการรถไฟฯโดยเร็ว ทั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับทุกภาคส่วนช่วยกันผลักดัน

ที่มา: สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย, 16/8/2560

"คลัง" คาดจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญได้ในปี 2561

นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังเปิดงานมหกรรมรวบรวมการลงทุนเพื่อความมั่งคั่งในอนาคต ถึงความคืบหน้า พ.ร.บการจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ ว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาอยู่ระหว่างการพิจารณากฎหมายกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ หรือ กบช. โดยเบื้องต้นวางกรอบการสมทบเงินและสะสมเงินใน กบช.ไว้ที่ร้อยละ 3 ช่วง 3 ปีแรก และปีต่อไปร้อยละ 5 ส่วนอัตราสูงสุดไม่เกินร้อยละ 7 ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาอัตราดังกล่าว ซึ่งหลังจากแล้วเสร็จจะนำเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. พิจารณาต่อก่อนประกาศใช้ในปี 2561

โดยเป็นการออมภาคบังคับให้ลูกจ้างแรงงานในระบบใส่เงินสะสมเพื่อการออม และนายจ้างใส่เงินสมทบ และเมื่อรวมกับเงินประกันสังคม เมื่อถึงวัยเกษียณ ลูกจ้างจะมีรายได้หลักเกิน 50% ของเงินเดือนงวดสุดท้าย เช่น มีเงินจากประกันสังคม 7,500 บาทต่อเดือน หากเริ่มออมตั้งแต่อายุ 20-55 ปี และรวมกับเงินจากกองทุนฯ อีก 4 หมื่นกว่าบาท หากออมตั้งแต่อายุ 15-60 ปี จะมีรายได้ไว้ใช้หลังวัยเกษียณ 51,000 บาทต่อเดือน ซึ่งจะเพียงพอต่อการดำรงชีวิต อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังจะพิจารณาปรับลดอัตราจ่ายเงินของกองทุนประกันสังคมด้วย เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อประชาชน

นอกจากนี้ กระทรวงการคลังกำลังเร่งเดินหน้าโครงการศูนย์ที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุแบบครบวงจร หรือ Senior Complex ซึ่งดำเนินการในที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ โดยให้เอกชนเป็นผู้ก่อสร้างและมีโรงพยาบาลเป็นผู้ดูแล คาดจะเริ่มจังหวัดสมุทรปราการ ประจวบคีรีขันธ์ ชลบุรี และเชียงใหม่ เพื่อเป็นที่พักอาศัยให้กับผู้สูงวัยดูแลทั้งสุขภาพและคุณภาพชีวิตด้วย

ที่มา: ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 18/8/2560

คนงานโรงงานศรีตรัง ร้องศูนย์ดำรงธรรมฯ ช่วยเยียวยาหลังหยุดผลิตมา 4 เดือน ทำรายได้หายกว่าครึ่ง

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 18 สิงหาคม ที่ศูนย์ดำรงธรรม จ.อุดรธานี นางนุ่ม นิลภูมิ อายุ 43 ปี พนักงานพร้อมตัวแทนพนักงาน บ.ศรีตรัง แอโกร อินดัสทรี จำกัด(มหาชน) สาขาอุดรธานี จำนวน 10 คน เข้าร้องเรียนต่อศูนย์ดำรงธรรม จ.อุดรธานี โดยยื่นจดหมายเขียนด้วยลายมือ 20 ฉบับ ระบายความเดือดร้อนจากเหตุโรงงานถูกสั่งปิดมากว่า 4 เดือน โดยมีนายกฤษชานนท์ อุทัยเลี้ยง หัวหน้าฝ่ายรับเรื่องราวร้องทุกข์ ศูนย์ดำรงธรรมอุดรธานี รับหนังสือร้องเรียนพร้อมพูดคุยรับฟังปัญหา

นางนุ่ม นิลภูมิ ตัวแทนกลุ่มผู้ร้องเปิดเผยว่า ทำงานเป็นพนักงานของโรงงานแปรรูปยางพารา บ.ศรีตรังฯ ถนนนิตโย ต.หนองนาคำ อ.เมืองอุดรธานี อยู่ในแผนกผลิตยางแท่ง ซึ่งแผนกนี้มีคนงานกะละ 30 คน รวมแผนกอื่นมีคนงานกว่า 300 คน ทำงานสัปดาห์ละ 6 วัน ค่าจ้างวันละ 305 บาท บวกเบี้ยขยันและค่าล่วงเวลา นับตั้งแต่มีคำสั่งให้โรงงานหยุดเดินเครื่องจักรผลิตยางแท่ง ทางโรงงานยังจ้างพนักงานตามกฎหมาย คือจ้างแรงงานต่อเดือนละ 20 วัน ไม่มีเบี้ยขยันและล่วงเวลา

“โรงงานของ บ.ศรีตรังฯหยุดเดินเครื่องผลิตยางแท่งมากว่า 4 เดือน ทำให้รายได้ขาดหายไปต่อเนื่อง ไม่เพียงพอกับการเลี้ยงชีวิตและครอบครัว หลายคนต้องไปหยิบยืมเงินมาใช้จ่าย บางคนมีภาระหนี้สินถูกตามทวง ไม่จ่ายค่างวดรถจักรยานยนต์ รวมถึงเงินกู้นอกระบบอื่นๆ จึงขอความเห็นใจมายังผู้ว่าราชการ จังหวัดอุดรธานีหาทางออกให้พนักงานที่เดือดร้อน หรือช่วยเหลือเยียวยาผู้เดือดร้อนด้วย และยืนยันว่าหลายคนทำงานมา 5 ปี ไม่เคยมีปัญหาสุขภาพ”

นายกฤษชานนท์ อุทัยเลี้ยง หัวหน้าฝ่ายรับเรื่องราวร้องทุกข์ ศูนย์ดำรงธรรมอุดรธานี กล่าวกับผู้เดือดร้อนว่า อุตสาหกรรม จ.อุดรธานีมีคำสั่งหยุดเดินเครื่องปรับปรุง โรงงานจะต้องทำการปรับปรุง และขอเดินเครื่องทดสอบ นับตั้งแต่มีคำสั่งโรงงานยังไม่ยื่นเรื่องขอทดสอบเครื่องจักร โดยศูนย์จะรายงานต่อผู้ว่าฯ และส่งเรื่องต่อให้ สนง.อุตสาหกรรม จ.อุดรธานี และ สนง.สวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จ.อุดรธานีรับทราบ ก่อนจะหาวันเวลาที่เหมาะสมลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อหาทางเยียวยาแก้ไขต่อไป

ที่มา: มติชนออนไลน์, 18/8/2560

5 แนวโน้มในการจ้างและการจัดการคนทำงานยุค Millennials

การสรรหาและการบริหารจัดการคนทำงานเปลี่ยนแปลงไปไกลและรวดเร็วมากขึ้นในปี 2017 เพราะเป็นยุคที่เด็กจบใหม่กำลังเข้ามามีบทบาทและเป็นแรงงานหลักในการทำงาน หรือเรียกคนพวกนี้ว่า คนทำงานกลุ่ม Millennials ซึ่งคนทำงานกลุ่มนี้เป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ ๆ เพราะพวกเขาโตพอที่จะเข้ามาบริหารจัดการงาน หรือเป็นผู้นำองค์กรแทนคนทำงานกลุ่มเดิมหรือ Baby Boomers ถึงเวลาแล้ว ที่จะยอมรับทักษะการทำงานและความเป็นผู้นำของคนทำงานในยุคนี้ jobsDB มี 5 แนวโน้มในการจ้างและการจัดการคนทำงานยุค Millennials มาแนะนำ ดังนี้

1. ส่งต่อการทำงานให้กับคนยุค Millennials ปัจจุบัน พบว่า คนทำงานรุ่นก่อนอย่างกลุ่ม Baby Boomers จะค่อย ๆ ลดบทบาทลง และเกษียณกันไป ขณะเดียวกันคนทำงานกลุ่ม Millennials กำลังทยอยเข้ามาเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจหรือองค์กรภายใต้แนวคิดใหม่ๆ และรูปแบบการทำงานที่แตกต่างไปจากเดิม ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่องค์กรควรตระหนักถึงคือการวางแผนกลยุทธ์ในการสรรหาว่าจ้างและบริหารจัดการคนทำงานกลุ่มนี้ พร้อมกับวางแผนพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับบทบาทการทำงานในด้านการบริหารจัดการที่จะมาถึงของคนกลุ่มนี้ด้วย 2. สร้างสมดุลให้ชีวิตด้วยเวลาทำงานที่ยืดหยุ่น นอกจากเงินเดือน และสวัสดิการทางด้านการเงินแล้ว คนทำงานกลุ่ม Millennials ยังให้ความสำคัญมากกับเรื่องสมดุลชีวิตกับการทำงาน เนื่องจากคนทำงานในยุคนี้ ให้ความสำคัญกับการทำงาน และการเข้าสังคมหรือทำกิจกรรมกับเพื่อนฝูงเท่า ๆ กัน ดังนั้น องค์กรที่ให้ความสมดุลชีวิตกับการทำงาน และมีเวลาทำงานที่ยืดหยุ่นได้ มักจะดึงดูดใจคนทำงานกลุ่มนี้ การมีเวลาทำงานที่ยืดหยุ่น ยังช่วยทำให้พนักงานได้สร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมให้กับองค์กร โดยที่ไม่เสียเวลากับการใช้ชีวิตส่วนตัวของพวกเขาด้วย ซึ่งวิธีการนี้จะได้รับประโยชน์ทั้งกับองค์กรและคนทำงาน ฉะนั้น การเข้า-ออกงานเป็นเวลาจะค่อย ๆ หายไปในไม่ช้า การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะคนทำงานกลุ่มนี้ ค่อย ๆ เข้ามามีบทบาทกับวัฒนธรรมองค์กร เวลาการทำงานที่ยืดหยุ่นจะเข้ามาแทนที่การเข้า-ออกงานที่เป็นเวลา

3. มีสถานที่ทำงานและชุดทำงานที่ดูสบายมากขึ้น คนทำงานจำนวนมากในยุคนี้ นิยมทำงานจากที่อื่น ที่ไม่ใช่ออฟฟิศ หรือทำงานจากที่บ้าน วัฒนธรรมการทำงานจึงดูไม่เป็นทางการจนเกินไป ส่วนเรื่องการแต่งกายไปทำงาน เมื่อก่อนการแต่งชุดฟอร์มขององค์กรเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ต่อมานโยบายชุดฟอร์มองค์กรได้เปลี่ยนแปลงไป เพราะคนทำงานกลุ่ม Millennials จะชื่นชอบการแต่งตัวสบายๆ หรือตามสไตล์ของตนเองไปทำงานมากกว่าที่จะแต่งตัวตามชุดฟอร์มที่องค์กรกำหนดให้ ดังนั้น เพื่อดึงดูดและรักษาคนทำงานกลุ่มนี้ไว้ องค์กรจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง โดยเริ่มจาก หากไม่จำเป็นต้องเข้ามาทำธุระที่ออฟฟิศ ก็สามารถทำงานที่ไหนก็ได้ รวมถึงเปลี่ยนแปลงนโยบายการแต่งกายชุดทำงานให้ดูสบายมากขึ้น ไม่ทางการเกินไป โดยลดการใส่สูท ผูกไท แล้วเปลี่ยนเป็นการใส่เสื้อเชิ้ตที่ดูลำลองขึ้นกับกางเกงยีนส์แทน

4. ระบบการประเมินผลการทำงานที่ยืดหยุ่น คนทำงานกลุ่ม Millennials ต้องการเปลี่ยนการประเมินผลการทำงานประจำปี จากเดิมที่ต้องรอให้ครบปีแล้วค่อยประเมินผลการทำงาน แต่คนทำงานยุคใหม่นี้ ไม่ชอบคอยให้ครบปี เนื่องจากพวกเขาเติบโตมากับการใช้อินเทอร์เน็ต จึงมีพฤติกรรมที่ตอบสนองไว ด้วยการโต้ตอบกันใน Social media หรือเทคโนโลยีต่าง ๆ ทำให้พวกเขามีความอดทนน้อยกว่าคนรุ่นก่อน คนกลุ่มนี้จึงต้องการการฟีดแบคที่รวดเร็วและบ่อยครั้ง เพื่อที่จะสามารถนำฟีดแบคมาปรับปรุงการทำงานได้ทันที มากกว่าที่จะรอให้ถึงการประเมินผลการทำงานประจำปีมาถึง หากต้องการให้องค์กรก้าวไปข้างหน้า ควรเริ่มใช้ระบบการประเมินผลการทำงานเป็นประจำหรือเป็นรายเดือน เพื่อให้ผลการทำงานเป็นไปตามเป้าหมายและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

และ 5. บอกลาการทำงานแบบลำดับขั้น เป็นสร้างสรรค์งานด้วยทีมเวิร์ค คนทำงานกลุ่ม Millennials เติบโตมาพร้อมกับการแบ่งปันความคิดและเสนอความคิดเห็นผ่าน Social media หรือเทคโนโลยีต่าง ๆ พวกเขาจึงชอบที่จะทำงานร่วมกันกับทุก ๆ คนแบบเท่าเทียมกัน มากกว่าการทำงานแบบลำดับขั้นเหมือนเมื่อก่อน และเมื่อพวกเขามีตำแหน่งงานที่สูงขึ้น พวกเขาก็จะถ่ายทอดการทำงานร่วมกันในองค์กรแบบเท่าเทียม ไม่แบ่งลำดับขั้นเช่นกัน ดังนั้น องค์กรควรปรับรูปแบบการทำงาน ให้คนทำงานทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์งานที่เท่าเทียม ไม่ใช้วิธีควบคุมการทำงาน ไม่แบ่งลำดับขั้น ไม่แบ่งลำดับการบังคับบัญชาอีกต่อไป เพราะสภาพแวดล้อมในการทำงานที่คนทำงานยุคนี้ต้องการ คือการทำงานที่ใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมงาน และสนับสนุนให้ทำงานร่วมกัน แบ่งปันความคิดเห็นซึ่งกันและกัน เพื่อให้งานออกมาดี และประสบความสำเร็จ ในขณะที่คนทำงานเปลี่ยนผ่านไปจากคนทำงานรุ่นเก่าอย่าง Baby Boomers ไปสู่คนทำงานยุคใหม่ กลุ่ม Millennials คนทำงานที่มีความสามารถ จะมีการแข่งขันกันมากขึ้น ทุกองค์กรต้องมีการวางแผนกลยุทธ์มากขึ้นกว่าที่เคย และจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ พร้อมทั้งสร้างสรรค์นวัตกรรมและเปลี่ยนแปลงให้ทันตามความต้องการของคนทำงานในยุคใหม่นี้

ที่มา: บริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด, 18/8/2560

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net