Skip to main content
sharethis

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน จัดเวทีสื่อมวลชนถกประเด็นกฎหมายใหม่ป.ป.ช. กรณีเปิดเผยข้อมูลบัญชีทรัพย์สินโดยสรุปและปิดข้อมูลส่วนบุคคล 14 รายการ ชี้ไม่เปิดบัญชีทรัพย์สินตามที่ยื่นมา แต่จะเปิดผลการตรวจสอบ ห่วงวันข้างหน้าอาจปกปิดเพิ่มอีก ด้านรักษาการเลขาธิการ ป.ป.ช.พร้อมรับไปทบทวนเพิ่มเติม

 

30 พ.ย.2560 องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT รายงานว่า เมื่อวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมา ACT ได้จัดงานเสวนาโต๊ะกลม เรื่อง การเปิดเผยทรัพย์สินและบทบาทหน้าที่ของปปช. ตามพระราชบัญญัติ ปปช.ใหม่ ประมนต์ สุธีวงศ์ ประธาน ACT กล่าวว่า องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ ในฐานะองค์กรภาคประชาชนมีความสนใจในหลายประเด็นที่จะต่อต้านการคอร์รัปชันในไทย และได้จัดสัมมนามาเป็นระยะๆในหัวข้อที่น่าสนใจ โดยในวันนี้ได้จัดงานเสวนาโต๊ะกลมหัวข้อ “การเปิดเผยทรัพย์สินและบทบาทหน้าที่ ป.ป.ช.ตาม พระราชบัญญัติ ป.ป.ช.ใหม่” เนื่องจากขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติฉบับใหม่ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภา มีหลายประเด็นที่นำสู่การแสดงความเห็นที่หลากหลาย ทั้งความไม่เข้มแข็งของกฎหมายต่างจากฉบับเดิมที่มีความเข้มแข็ง ความรวดเร็ว ความมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเผยข้อมูลทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมไปถึงหน้าที่ของปปช.ในด้านการป้องกันและการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งเชื่อว่าการสัมมนาในวันนี้จะได้รับฟังข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากหลายฝ่าย


มานะ นิมิตมงคล เลขาธิการ ACT

มานะ นิมิตมงคล เลขาธิการ ACT เปิดเผยว่า ปมใหญ่ของกฏหมายใหม่จะไม่เปิดบัญชีทรัพย์สินตามที่ยื่นมา แต่จะเปิดผลการตรวจสอบ ขณะที่ระเบียบ ป.ป.ช.เดิมซึ่งออกเมื่อกลางปีนี้ การเปิดเผยข้อมูลจะยกเว้นหรือปกปิด 14 รายการ จากเดิม 4 รายการ

“เราเป็นห่วงว่า วันข้างหน้าอาจปกปิดเพิ่มอีก” เลขาธิการ ACT กล่าว

วรวิทย์ สุขบุญ รองเลขาธิการ คณะกรรมการป.ป.ช. รักษาการเลขาธิการ ให้ข้อมูลว่า การกำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อองค์กรใดองค์กรหนึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติกันทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันที่ 161 กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน เพื่อสร้างความโปร่งใส่ป้องกันการทุจริต ถือเป็นมาตรการเสริมในการป้องกันการทุจริต

การเปิดเผยข้อมูลทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของไทยมีการพัฒนามาเป็นระยะ โดยรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 234(3)บัญญัติไว้ว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าที่และอำนาจในการกำหนดให้ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และเจ้าหน้าที่ของรัฐยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ รวมทั้งตรวจสอบและเปิดเผยการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้ของบุคคลดังกล่าว

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าตำแหน่งที่ต้องเปิดเผยข้อมูลทรัพย์สินและหนี้สินเพิ่มมากขึ้น และขณะนี้กำลังมีการพิจารณาที่จะเพิ่มตำแหน่งที่จะเปิดเผยข้อมูลมากขึ้น คือ ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงสุด และผู้ดำรงตำแหน่งการปกครองท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นเรื่องดี เมื่อเทียบกับตำแหน่งที่ต้องเปิดเผยข้อมูลตามรัฐธรรมนูญปี 2517 ที่กำหนดให้ยื่นบัญชีทรัพย์สินเป็นครั้งแรก ซึ่งผลกับผู้ประพฤติผิดในวงราชการ

ส่วนรัฐธรรมนูญปี 2518 ได้มีการปฏิรูปให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องแสดงรายการทรัพย์สินและการเปลี่ยนแปลงทรัพย์สิน เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ว่าในช่วงที่ดำรงตำแหน่งมีการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบหรือไม่ ซึ่งกำหนดให้มีการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของนักการเมืองในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กับรัฐมนตรี จนรัฐธรรมนูญปี  2550 ได้เพิ่มตำแหน่งทางการเมืองที่ต้องเปิดเผนรายการทรัพย์อีก 2 ตำแหน่ง คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกรัฐสภา

สำหรับประเด็นที่มีการถกเถียงในขณะนี้คือ การเปิดเผยข้อมูล ซึ่งในมาตรการ 104 แห่งร่างพ.ร.บ. กำหนดให้คณะกรรมการป.ป.ช. เปิดเผยข้อมูลรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของนักการเมืองต่อสาธารณได้โดยสรุปเท่านั้น  ห้ามเปิดเผยในรายละเอียด  โดยเฉพาะรายการที่จะไม่เปิดเผยซึ่งเพิ่มเป็น 14 รายการจากเดิมมีเพียง 4 รายการเท่านั้น เพราะอาจขัดต่อหลักการที่จะให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วมในการตรวจสอบ

ในเรื่องนี้ วรวิทย์ ระบุว่า รายการข้อมูลที่ไม่เปิดเผยที่เพิ่มขึ้น 14 รายการเป็นรายละเอียดที่อาจจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิต หรืออาจจะถูกคุกคาม เช่น ข้อมูลหมายเลขบัตรประชาชน อีเมลล์ ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่อาจจะมีผลต่อความปลอดภัยจากการบริการดิจิทัลที่มีการใช้กันมากขึ้นในปัจจุบัน หรือ เลขที่บัญชีธนาคารสถาบันการเงิน เลขที่โรงเรือนสิ่งปลูกสร้าง เลขที่บ้าน เป็นต้น

คณะกรรมการ ป.ป.ช.เห็นการปกปิดข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ประชาชนไม่สามารถมีส่วนร่วมในการตรวจสอบได้ เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่า ประชาชนไม่ต้องการข้อมูลเชิงลึก ไม่ว่า เลขที่บัญชีธนาคาร เลขที่โฉนด อย่างไรก็ตามการปกปิดรายการใดยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งคณะกรรมการป.ป.ช. พร้อมที่จะรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน และยังต้องการพลังการสนับสนุนจากภาคประชาชน เพราะการป้องกันและการราบปรามทุจริตคอร์รัปชันเป็นหัวใจหลัก เพื่อนำไป ทบทวนและแก้ไขกฎหมายให้สะท้อนความเห็นจากประชาชน และสื่อมวลชนอย่างแท้จริง

ภัทระ คำพิทักษ์ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ

ภัทระ คำพิทักษ์ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า การเปิดเผยทรัพย์สินและหนี้สินเป็นมาตรการเชิงจริยธรรมที่พึงกระทำของบุคคลที่ดำรงตำแหน่งระดับสูง นักการเมือง ผู้ที่มีตำแหน่งสำคัญของประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความสำคัญทั้งโลก บางประเทศอาจจะมีโทษทางอาญา บางประเทศอาจจะไม่มีโทษทางอาญา แต่ใช้ข้อมูลนั้นเป็นฐานในการตรวจสอบเพิ่มเติมด้านอื่น เช่น ร่ำรวยผิดปกติ  สำหรับประเทศไทยระยะแรกไม่มีโทษทางอาญา แต่มีการลงโทษทางอาญาโดยศาลในภายหลัง

การเขียนการเปิดเผยข้อมูลทรัพย์สินและหนี้สินในรัฐธรรมนูญ 2560  ได้คำนึงถึงความเป็นจริงของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ยึดหลักความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่ายและปัญหาที่เกิดขึ้นกับทุกฝ่าย  และยังคงไว้ซึ่งหลักการที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบทรัพย์สิน การป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่น เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญปี  2540 และปี 2550  เป็นการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำให้สอดคล้องกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไป

ส่วนการเปิดเผยข้อมูลโดยสรุปหลังจากที่คณะกรรมการป.ป.ช.ได้ตรวจสอบแล้วนั้น หมายถึงว่า ตรวจได้ผลอย่างไรให้เปิดเผยตามนั้น เพียงแต่ต้องไม่ระบุถึงรายละเอียดทางทะเบียนของทรัพย์ หรือข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่จำเป็น หรือข้อมูลที่อาจจะมีอันตรายของบุคคลได้  เพราะปัจจุบันระบบเทคโนโลยี่ดิจิทัลแบงกิ้งเติบโตมากขึ้น  การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวบางรายการอาจจะมีการนำข้อมูลนั้นไปใช้ประโยชน์ได้

จุดมุ่งหมายของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญคือ รายการใดที่อันตรายต่อเจ้าของบัญชีทรัพย์สิน ก็ไม่ควรเปิดเผย ไมได้มีเจตนาปกปิด  เช่น หมายเลขบัตรประชาชน วันเดือนปีเกิด หมายเลขโทรศัพท์ที่บ้าน โทรศัพท์มือถือ เลขที่บัญชีหุ้น เลขที่บัญชีเงินใหกู้ยืม โรงเรือนสิ่งปลูกสร้าง เลขที่บ้าน เลขบัตรเครดิต  ดังนั้นการ

เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินยังคงหลักการเดิม โดยกำหนดให้ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ ส่วนวิธีการเปิดเผยข้อมูลขึ้นอยู่กับการกำหนดระเบียบวิธีปฏิบัติของคณะกรรมการป.ป.ช.

ภัทระ กล่าวปิดท้ายว่า กฎหมายมีความก้าวหน้าในการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน รวมทั้งการปราบปรามคอร์รัปชันเพราะครอบคลุมเจ้าหน้าที่ของรัฐตั้งแต่เริ่มรับราชการ มีหน้าที่ในการยื่นบัญชีทรัพย์สิน ตามมาตรามา 103(2) และยื่นทุก 3 ปี ระหว่างการดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งข้อมูลนี้จัดเก็บ 2 ที่คือหน่วยนงานต้นสังกัดกับหน่วยงานกลาง

รศ.ดร.เจิมศักดิ์  ปิ่นทอง อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติและนักจัดรายการวิทยุ โทรทัศน์ 

รศ.ดร.เจิมศักดิ์  ปิ่นทอง อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติและนักจัดรายการวิทยุ โทรทัศน์ กล่าวว่า  การเปิดเผยข้อมูลบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามรัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่มั่นใจว่าในการปฏิบัติงานคณะกรรมการป.ป.ช. สามารถตรวจสอบได้ถี่ถ้วนหรือไม่ รวมทั้งมีการตีความการเปิดเผยข้อมูลตามกฎหมายอย่างไร และจะมีการอ้างความเป็นส่วนตัวมากขึ้นหรือไม่

ประเด็นอยู่ที่การพิจารณาเรื่องสิทธิส่วนบุคคลกับผลประโยชน์ต่อสาธารณะ เพราะเมื่ออาสาเข้ามาทำงานเพื่อสาธารณะแล้ว ความเป็นส่วนตัวย่อมลดลง สิทธิส่วนบุคคลควรจะน้อยลง แต่รัฐธรรมนูญ 2560 เขียนไว้คลุมเครือทำให้เกิดความกังวลในประเด็นเปิดเผยโดยสรุป ซึ่งไม่มั่นใจว่าคณะกรรมการป.ป.ช.จะสรุปมากน้อยแค่ไหนเพราะตีความได้ นอกจากนี้ผลการตรวจสอบนั้นครอบคลุมถึงรายการที่ยื่นมาตั้งแต่ต้นหรือไม่  

นอกจากนี้ยังกังวลประเด็นถึงบุคคลที่เป็นกรรมการ ป.ป.ช. ที่มีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนตามกฎหมายใหม่ ซึ่งอาจจะไม่แน่ใจว่าจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการทั้งชุด หรือเปลี่ยนแปลงในรายบุคคล

พล.อ.อ.วีรวิท คงศักดิ์ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ กล่าวว่า ความแตกต่างของรัฐธรรมนูญปี 2540 ปี 2550 และปี 2560 คือ การยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินในปี 2540 กำหนดเป็นหมวดหนึ่งเฉพาะ ส่วนปี 2550 มีรายละเอียดเฉพาะวิธีการปฏิบัติ แต่ปี 2560 ไม่ได้เขียนไว้ กลับเขียนไว้ในอำนาจของป.ป.ช.ในมาตรา 234 อนุ 3 ที่เป็นประเด็นปัญหาอยู่

ประเด็นที่ถกเถียงว่า ใครควรจะยื่นบัญชีทรัพย์สินหนี้สิน แม้รัฐธรรมนูญ 2560 ได้เพิ่มคู่สมรสที่ไม่ได้จดทะเบียนด้วย แต่ไม่เหมือนกับต่างประเทศที่นัยยะของกฎหมายเจาะจงให้เกิดผลมากกว่า เพราะระบุว่า ตัวเองคือเจ้าหน้าที่รัฐ คู่สมรสและบุคคลในอุปการะ แต่กฎหมายไทยเขียนว่าคู่สมรส บุตรบุญธรรม  ข้อเท็จจริงบุตรที่โตแล้วก็อาจจะอุปการะด้วย

จุดอ่อนในกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2560 คือการยื่นบัญชีทรัพย์สินที่เป็นหัวใจในการปราบคอร์รัปชันคือ 1.การยกเลิกยื่นบัญชี 1 ปีหลังพ้นตำแหน่ง ที่ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบที่มาของทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นได้เมื่อพ้นตำแหน่ง ขณะที่กฎหมายป.ป.ช. มาตรา 103 ห้ามรับของขวัญอันสืบเนื่องจากหน้าที่ที่ทำงาน 2 ปี หลังเกษียณ 2.ขยายกลุ่มผู้ที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน คือเพิ่มข้าราชการระดับสูงทั้งหมด และผู้บริหารท้องถิ่น   3.การให้ความสำคัญข้อมูลความลับ ข้อมูลส่วนตัวและอาจจะเกิดอันตราย 

นอกจากนี้ข้อมูลที่เป็นความลับ ต้องกำหนดให้ชัดว่าข้อมูลที่เป็นความลับส่วนตัวคืออะไร เพราะ ข้อมูลที่ห้ามในหลักการเดิมคือ เลขบัตรประชาชน  เลขบัญชีธนาคาร เลขบัตรเครดิต  แต่บางอย่างที่ห้ามในปัจจุบันนั้น ส่วนใหญ่ในนามบัตรมีไว้อยู่แล้วทั้งบ้านเลขที่ อีเมล์ หมายเลขโทรศัพท์ จึงไม่ควรห้าม 

ส่วนการกำหนดให้ข้าราชการยื่นบัญชีทรัพย์สินหนี้สินไว้กับหัวหน้าส่วนราชการและหัวหน้าส่วนราชการจะเอาไปเก็บไว้กับสมุดประวัติ โดยไม่ต้องเปิดเผยตามมาตรา 127 ซึ่งป.ป.ช.ต้องการให้ยื่นทุก 3 ปี โดยให้ฝ่ายบริหารของป.ป.ช. เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์การจัดเก็บข้อมูล คณะกรรมการปฏิรูปมีความกังวล เพราะเคยมีบทเรียนมาแล้ว

พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส อดีตผู้ว่าสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กล่าวว่า โดยส่วนตัวได้กรอกแบบฟอร์มแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินส่งป.ป.ช.เมื่อเร็วๆนี้ และไม่รู้สึกลำบากใจต่อการเปิดเผยข้อมูลทั้งข้อมูลที่อยู่ ดังนั้นเห็นว่าการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลไม่น่าจะมีการปกปิดอะไร เพราะเป็นข้อมูลที่มีการรับรู้กันทั่วไป ที่ผ่านมาสื่อมวลชนมีข้อมูลเจาะลึกกว่าที่ป.ป.ช.เผยแพร่เสียอีก รวมทั้งการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือบุคคลสาธารณะ ก็ต้องยอมรับการเปิดเผย

ส่วนการตรวจสอบนั้นมีความเห็นว่า ควรมีผลตรวจสอบที่ให้หน่วยงานอื่นสามารถตรวจสอบเพิ่มเติมได้ ไม่ใช่เป็นการตรวจสอบฐานะว่า รวยเป็นปกติหรือผิดปกติ โดยควรสรุปงการแสดงบัญชีทรัพย์สินมีคุณค่ามีประโยชน์ไปถึงการตรวจสอบภาษีว่าถูกต้องครบถ้วนเป็นธรรมด้วย อยากฝากให้ป.ป.ช.ดูด้วย

ทางด้านข้อกังวลเรื่องบทบัญญัติมีการเพิ่มขั้นตอนขึ้นมามาก รวมทั้งร่างกฎหมายที่มีบทบัญญัติให้เลขาธิการป.ป.ช.ต้องรับผิดชอบด้วย กรณีข้อมูลรั่วไหลและสงสัยว่ามาจากการทำงานของป.ป.ช. ถือว่าไม่เป็นธรรมเพราะ ปัจจุบันนี้การสืบหาข้อมูลเลขที่บ้าน สื่อมวลชนหาได้ไม่ยาก  รวมไปถึงยังกังวลขั้นตอนการไต่สวนที่เลขาธิการต้องเสนอคณะกรรมการป.ป.ช.ทุกเรื่อง  เพราะเห็นว่าหน่วยงานธุรการของป.ป.ช.น่าจะมีอิสระในการตัดสินใจได้ลงมือปฏิบัติงาน แสวงหาข้อเท็จจริงได้

ส่วนมาตรา 41,42,43 ให้คณะกรรมการคตง.มีอำนาจตรวจสอบคณะกรรมการป.ป.ช. ต้องพิจารณาว่าซ้ำซ้อน และขัดกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือไม่

เสนาะ สุขเจริญ บรรณาธิการข่าว สำนักข่าวอิศรา กล่าวว่า ในฐานะสื่อให้ความสำคัญเป็นพิเศษ คือมาตรา 104 ที่ปกปิดทั้งหมด 14 รายการ มองว่าเป็นการตัดทางการทำงานขององค์กรภาคประชาชนเพราะที่ผ่านมาบัญชีทรัพย์สินเป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจสอบร่องรอยที่มาของทรัพย์สิน ความร่ำรวยของนักการเมือง อย่างเช่น คดีซุกหุ้น คดีเงินกู้ 45 ล้านบาท ของพลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ คดีปกปิดบัญชีทรัพย์สินของอดีตส.ส.ก็มาจากการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน ในสมัยรัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์ มีรัฐมนตรี 7-8 คน ถือครองหุ้นเกิน 5% ซึ่งนำไปสู่การสิ้นสุดของความเป็นรัฐมนตรี ก็มาจากการทำหน้าที่ของสื่อและภาคประชาชน เข้าไปตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน การสิ้นสุดการเป็นรัฐมนตรี  กรณีนายไชยา สะสมทรัพย์,นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ เป็นต้น

การตัดการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินทั้งหมด 14 รายการ แทบจะไม่เห็นร่องรอยอะไร อย่างเช่น กรณีโครงการก่อสร้างสนามฟุตซอล มีบริษัทของนักการเมืองเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐได้รับงานก่อสร้างสนามฟุตซอลรวมเป็นมูลค่า 30 ล้านบาท แต่เมื่อตรวจสอบบัญชีผู้ถือหุ้นแล้ว  ปรากฏว่าไม่มีรายชื่อนักการเมืองรายนั้นถือหุ้น แต่มีผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สื่อไปตรวจสอบที่อยู่ของผู้ถือหุ้นใหญ่รายนี้ เปรียบเทียบกับที่อยู่อาศัยของนักการเมืองที่แจ้งต่อป.ป.ช. ปรากฏว่าใช้ที่อยู่เดียวกัน นี่คือร่องรอย ของการทำหน้าที่ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน 

 การปกปิดที่อยู่อาศัยของบุคคลสาธารณกลุ่มนี้ อาจจะกลายเป็นว่ากฎหมายฉบับนี้ให้ความสำคัญและให้น้ำหนักบุคคลสาธารณเหล่านี้มากกว่าการให้น้ำหนักการทำหน้าที่ตรวจสอบของภาคประชาชน .

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net