Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

<--break- />

 

คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 51/2560 เรื่อง การแก้ไขเพ่ิมเติมกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ประกาศ ณ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2560 ดูผิวเผินเหมือนกับว่ามีขึ้นมาเพื่อต้องการให้การปฎิบัติงานระหว่างหน่วยงานด้านความมั่นคงเช่นกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กับหน่วยงานด้านการป้องกันบรรเทาสาธารณภัยมีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานของรัฐในทุกระดับเข้าด้วยกันเป็นหลัก ด้วยเหตุที่คำสั่งนี้มองว่าภัยคุกคามด้านความมั่นคงอาจเกิดขึ้นได้ทั้งจากการกระทำของบุคคลและภัยจากธรรมชาติอันเป็นสาธารณภัย คล้าย ๆ กับคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 46/2560 เรื่อง การจัดตั้ง​สำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 52/2560 ที่ย้ายอธิบดีกรมชลประทานไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เพราะมองเห็นว่าปัญหาใหญ่เกี่ยวกับภาวะน้ำท่วมรุนแรงในพื้นที่หลายจังหวัดของภูมิภาคต่าง ๆ ในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมาคือการไม่สามารถบูรณาการหน่วยงานหลากหลายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำแบบเบ็ดเสร็จหรือ Single command ได้ จึงทำให้การแก้ไขปัญหาภาวะน้ำท่วมไร้ทิศทาง ต่างคนต่างทำจนสะเปะสะปะไปหมด ซ้ำรอยความผิดพลาดไม่ต่างจากการป้องกันและแก้ไขปัญหาภาวะน้ำท่วมจากมหาอุทกภัยเมื่อปี 2554 ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โชคดีก็เพียงแค่ว่าพื้นที่ที่ประสบภาวะน้ำท่วมรุนแรงเหล่านั้นเป็นพื้นที่นอกกรุงเทพฯและปริมณฑล จึงทำให้รัฐบาลละเลยและนิ่งเฉยต่อความเดือดร้อนของประชาชนมากเกินไปได้โดยไร้การตรวจสอบจากสื่อและภาคประชาชนอย่างจริงจัง ด้วยเหตุนี้จึงออกคำสั่งตามที่กล่าวมาเพื่อให้หลากหลายหน่วยงานเกิดการบูรณาการแก้ไขปัญหาร่วมกัน 

แต่เมื่อพิจารณาให้ลึกซึ้งจะพบว่าคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 51/2560 มีนัยซ่อนเร้นอยู่ในเรื่องของความพยายามที่จะนิยาม ‘ภัยคุกคามด้านความมั่นคง’ ให้หลากหลายครอบคลุมกิจวัตรประจำวันในชีวิตของประชาชนมากยิ่งขึ้น 

แน่นอนว่าหากพิจารณาเพียงแค่คำสั่งนี้คำสั่งเดียวก็อาจจะกล่าวได้ว่าเพียงแค่สภาวะที่สังคมไทยถูกปกครองโดยรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. ตามที่เป็นอยู่ รัฐบาลไม่จำเป็นต้องออกคำสั่งให้แก้ไขกฎหมายขยายอำนาจ กอ.รมน. เช่นนี้ เพราะสภาวะการปกครองโดยทหารก็เป็นการขยายอำนาจ กอ.รมน. ไปโดยปริยายอยู่แล้ว รัฐบาลโดยทหารและ กอ.รมน. สามารถแต่งชุดทหารเดินเข้าไปในทุกตรอกซอกซอยของหมู่บ้านเพื่อไปสร้างความสัมพันธ์ หรือบังคับ ข่มขู่และคุกคามต่อประชาชนได้ตามปกติแบบที่เคยทำได้อยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องออกคำสั่งเพิ่มเติมอะไรอีก 

แต่มันอาจจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนที่มีอำนาจที่ละอายการใช้อำนาจ ยิ่งอำนาจล้นเกินก็ยิ่งละอายการใช้อำนาจที่ล่้นเกิน การทำให้อำนาจนั้นมีสถานะเป็นกฎหมายรองรับก็เพื่อจะทำให้ความละอายนั้นลดน้อยลง และนำไปใช้อ้างสร้างความชอบธรรมได้หากมีการร้องเรียน ฟ้องคดี หรือต้องตอบคำถามแก่องค์กรระหว่างประเทศ เมื่อมองในแง่มุมนี้การออกคำสั่งให้มีสถานะเป็นกฎหมายรองรับการใช้อำนาจที่ขยายตัวมากขึ้นก็ค่อนข้างสมเหตุสมผล

เท่านั้นยังไม่พอ หลังจากผ่านมาได้หนึ่งสัปดาห์นับแต่วันที่ออกคำสั่งฉบับนี้เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2560 ภายหลังจากที่กลุ่มประชาชนในนามเครือข่ายคนสงขลาปัตตานีไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหินเดินทางไกลมาจากอำเภอเทพา จ.สงขลา เพื่อคัดค้านโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาขอเข้าพบนายกรัฐมนตรีในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจรที่อำเภอเมือง จ.สงขลาถูกปราบปรามและจับกุมตัว 16 คน เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 ก่อนวันประชุม ครม. หนึ่งวัน ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2560 ที่ประชุม ครม. ได้มีมติตามมาอีก 4 เรื่อง[[1]] ดังนี้

           1. ประกาศ เรื่อง พื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร

           2. ประกาศ เรื่อง การให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 เป็นเจ้าพนักงานหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย

           3. ประกาศ เรื่อง กําหนดลักษณะความผิดอันมีผลกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ตามมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551

           4. ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 

ประกาศและข้อกำหนดตามมติ ครม. ทัั้งสี่ฉบับตามข้อ 1. - 4. เป็นประกาศและข้อกำหนดต่อเนื่องจากประกาศและข้อกำหนดของปีก่อนหน้าที่เกี่ยวกับการดูแลรักษาความสงบจากความไม่สงบในส่วนของพื้นที่ที่อยู่นอกเหนือประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่เมื่อพิจารณาประกอบกันทั้งคำสั่ง คสช. ที่ 51/2560 ประกาศและข้อกำหนดทั้งสี่ฉบับตามข้อ 1. - 4. และ ‘หมายข่าวของ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า  ถึงสื่อมวลชนจังหวัดสงขลา’[[2]] เพื่อขอความร่วมมือให้ร่วมติดตามทำข่าวประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่อำเภอเทพาและพื้นที่ใกล้เคียงที่รวมกลุ่มกันเพื่อสนับสนุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเทพา ณ ที่ว่าการอำเภอเทพา จังหวัดสงขลา ในวันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2560 เวลา 10.30 น. จะเห็นได้ว่าถึงแม้ประกาศและข้อกำหนดทั้งสี่ฉบับตามข้อ 1. - 4. จะมีสถานะและเจตนาเหมือนฉบับเดิมที่เคยมีมาก่อนหน้านั้นเพื่อต้องการควบคุมสถานการณ์ความไม่สงบในส่วนของพื้นที่ที่อยู่นอกเหนือประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ กอ.รมน. สามารถฉวยโอกาสใช้โดยผิดเจตนาได้ เช่น บังคับห้ามประชาชนออกนอกเคหสถานในเวลาที่ประกาศกำหนด ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ หรือต้องปฎิบัติตามเงื่อนไขการใช้เส้นทางคมนาคมหรืือการใช้ยานพาหนะ เป็นต้น เพื่อไม่ให้ประชาชนที่ต่อต้านคัดค้านโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาออกมารวมตัวกันได้

โดยข้อเท็จจริง นิยามของภัยคุกคามด้านความมั่นคงภายในราชอาณาจักรมีลักษณะที่สามารถแบ่งแยกได้ชัดไปจากการต่อต้านคัดค้านโครงการพัฒนาต่าง ๆ ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและสุขภาวะอนามัยของประชาชน แต่ในยามที่บ้านเมืองถูกปกครองโดยระบอบทหารกลับทำให้นิยามนี้คลุมเครือหรือพร่าเลือนไปเสีย ยกตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ช่วงวันที่ 12 - 18 กุมภาพันธ์ 2558 ที่ทหารจาก กอ.รมน.ขอนแก่น นำทัพโดยรองผู้อำนวยการ กอ.รมน.ขอนแก่น พร้อมกำลังผสมตำรวจ อาสาสมัครและพลเรือน ประมาณ 200 คน คุ้มกันรถขนอุปกรณ์ขุดเจาะสำรวจและผลิตปิโตรเลียม 100 กว่าคัน ของบริษัท อพิโก้ (โคราช) จำกัด ผ่ากลางหมู่บ้านนามูล-ดูนสาด ต.ดูนสาด อ.กระนวน จ.ขอนแก่น เข้าไปในพื้นที่หลุมขุดเจาะสำรวจและผลิตปิโตรเลียมดงมูล 5 (DM-5) ที่อยู่ห่างออกไปราวหนึ่งกิโลเมตร ท่ามกลางและรายรอบไปด้วยพื้นที่เกษตรกรรมของชาวบ้าน ซึ่งเป็นหลุมขุดเจาะสำรวจและผลิตปิโตรเลียมหลุมหนึ่งของโครงการพัฒนาแหล่งผลิตปิโตรเลียมดงมูลที่อยู่ในแปลง L27/43 ของสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 9/2546/66 ที่บริษัทฯ ได้มาจากการเปิดสัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบที่ 18 โดยกองกำลังที่นำโดยรองผู้อำนวยการ กอ.รมน.ขอนแก่น ทำการสกัด บังคับ ข่มขู่ ชาวบ้านไม่ให้ประท้วงต่อต้านขัดขวางใด ๆ เป็นภาพข่าวในสื่อประเภทต่าง ๆ หลายสำนัก รวมทั้งสื่ออิสระทั่วไปด้วยนั้น ได้สะท้อนให้เห็นการใช้อำนาจทหารทำการกดขี่ข่มเหงจิตใจประชาชนอย่างรุนแรง คำถามที่สงสัยกันมากว่าทำไมรองผู้อำนวยการ กอ.รมน.ขอนแก่น ถึงแสดงบทบาทก้าวร้าวข่มเหงจิตใจชาวบ้าน เข้าข้างบริษัทฯจนออกนอกหน้ามากเกินไป 

คำตอบก็คือ การผูกมัดบังคับโดยกฎหมายให้บริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนขอสัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมจะต้องขายปิโตรเลียมที่ปากหลุมให้กับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) แต่เพียงผู้เดียว จึงทำให้ ปตท. สามารถผูกขาดการซื้อและขายก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้ทั้งหมดในแปลงสัมปทานต่าง ๆ ทั้งบนบกและในทะเลที่รัฐทำไว้กับเอกชน และที่นี่เองที่นายทหารยศพลเอกคนหนึ่งที่เป็นรองเลขาธิการ คสช. และเป็นเลขาธิการ กอ.รมน. มีตำแหน่งเป็นกรรมการอิสระในรัฐวิสาหกิจลูกผสมบริษัทเอกชนเกรดเอของประเทศไทยอย่าง ปตท. (ในช่วงเริ่่มต้นที่ดำรงตำแหน่งกรรมการอิสระของ ปตท. ตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2557 มียศเป็นพลโท)

กรณีโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาก็คงไม่ต่างจากสัมปทานขุดเจาะสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่บ้านนามูล-ดูนสาดที่ภัยคุกคามด้านความมั่นคงถูกกำหนดนิยามให้คลุมเครือและพร่่าเลือนด้วยผลประโยชน์

 

                                               

 

 [[1]]       1. ประกาศ เรื่อง พื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ประกาศ ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 ลงนามโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

           2. ประกาศ เรื่อง การให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 เป็นเจ้าพนักงานหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย ประกาศ ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 ลงนามโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

           3. ประกาศ เรื่อง กําหนดลักษณะความผิดอันมีผลกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ตามมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ประกาศ ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 ลงนามโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

           4. ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ประกาศ ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 ลงนามโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

[[2]]       เอกสารกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (ศปชส.กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2560 เรียน สื่อมวลชนจังหวัดสงขลา ลงนามโดยพันตรีชัยพร มีเฉลา หน้าแผนกประชาสัมพันธ์ ศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net