ข้อความจากทวิตเตอร์ ว. วชิรเมธี ข้างบน ถูกนำมาแชร์ในโลกโซเชียลอีกครั้ง หลังจากกระแสยกย่อง “ตูน” ว่ามีจิตโพธิสัตว์และมีคุณสมบัติควรเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมกับเตือนสติคนไทยผ่านเฟซบุ๊คที่มีคนติดตามกว่า 6,000,000 คน (ตามรายงานในมติชนออนไลน์) ว่า “อย่าก่นด่าประเทศตัวเอง” ตามด้วย “คำคม” อีกหลายชุด
ผมเข้าใจว่าพระสงฆ์ทั่วไปท่านมี “เจตนาดี” ต่อสังคม ข้อคิดต่างๆ ของ ว. วชิรเมธี ก็ย่อมมาจากเจตนาดีเช่นกัน แต่ปัญหาของพระไทยโดยทั่วไปคือ การขาดความเข้าใจ “ความคิดพื้นฐาน” ในเรื่องมาตรฐานถูก-ผิดในทางสังคมการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับศาสนาในโลกสมัยใหม่ ขออภัยที่พูดแบบขวานผ่าซาก ผมจะพยายามอธิบายให้เห็นปัญหาเป็นประเด็นๆ ดังนี้
ประเด็นแรก เรื่องถูก-ผิดในระบอบประชาธิปไตย ย่อมไม่เกี่ยวกับธรรมะหรือศาสนา เพราะระบอบประชาธิปไตยมี “หลักการสาธารณะ” เป็นมาตรฐานตัดสินถูก-ผิดชัดเจนอยู่แล้ว เช่นหลักสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค หลักการยอมรับเสียงข้างมาก-เคารพสิทธิเสียงข้างน้อย หลักการถ่วงดุลตรวจสอบ การมีส่วนร่วมบนฐานของการมีสิทธิต่อรองที่เท่าเทียม เป็นต้น
ถ้าทำถูกตามหลักการเหล่านี้ก็คือถูก ทำผิดก็คือผิด มันไม่ใช่เรื่องที่จะเอาธรรมะหรือศีลธรรมศาสนามาใช้เป็นบรรทัดฐานกำกับหลักการสาธารณะดังกล่าวอีกชั้นหนึ่ง หรือมันไม่ใช่เรื่องที่จะใช้ธรรมะ ศีลธรรมศาสนามาเป็นหลักประกันให้คนทำตามหลักการสาธารณะนั้นได้
เพราะถึงคุณมีธรรมะ เคร่งศีลธรรมศาสนา หรือเป็นคนดี กระทั่งเป็นพระโพธิสัตว์ หากคุณไม่กระจ่างชัด ไม่เห็นคุณค่า หรือไม่ยึดมั่นปฏิบัติตามหลักการเหล่านั้น คุณก็ทำสิ่งที่ผิดได้ และทำได้ด้วยความเชื่ออย่างหัวชนฝาว่าตนเองทำถูกต้องเสียด้วย ดังเราได้เห็นบรรดาพระดี คนดี ทั้งแสดงความคิดเห็น และออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในทางที่ขัดแย้งกับหลักสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคหรือขัดกับหลักการพื้นฐานประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน “อย่างภาคภูมิใจ” เสมอมา
ประเด็นที่สอง มันไม่ใช่แค่ว่าความคิดพื้นฐานเรื่องถูก-ผิดตามระบอบประชาธิปไตยกับเรื่องถูก-ผิดทางธรรมะหรือศาสนาต่างกันในสาระสำคัญดังกล่าวแล้วเท่านั้น แต่ระบบสังคมการเมืองสมัยใหม่เขา “แยกศาสนาจากการเมือง” คือในเชิงอุดมการณ์ รัฐปัจจุบันไม่ใช่รัฐพุทธศาสนาแบบอดีตที่ยึดหลักพุทธศาสนาเป็นอุดมคติในการปกครองอีกแล้ว แต่ปกครองด้วยอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่เป็นหลักการทางโลก เมื่อสังคมปัจจุบันไม่ใช้หลักศาสนาเป็นอุดมคติในการปกครองแล้ว การที่พระพยายามสอนว่า “ประชาธิปไตยที่ไม่มีธรรมะคือหายนะมวลรวมประชาชาติ” หรือ “ถ้าหมู่มนุษย์มีศีล 5 สิทธิมนุษยชนก็ไม่จำเป็น” เป็นต้น มันจึงขัดหลักการแยกศาสนาจากการเมืองดังกล่าว หรือเป็นการเสนออะไรที่ “ผิดฝาผิดตัว” ขัดกับมาตรฐานถูก-ผิดตามระบอบประชาธิปไตย
ประการที่สาม เมื่อแยกศาสนาจากการเมืองในทางอุดมการณ์ของการปกครองแล้ว เพื่อให้เกิดผลรูปธรรมในทางปฏิบัติก็จึงแยกในทางโครงสร้างด้วย นั่นคือแยกองค์กรศาสนาออกจากโครงสร้างอำนาจรัฐ หรือเปลี่ยนองค์กรศาสนาจากที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันอำนาจรัฐ ให้เป็นเป็นองค์กรเอกชนทุกศาสนา
แต่ปัจจุบันองค์กรสงฆ์หรือมหาเถรสมาคมยังคงเป็นองค์กรศาสนาของรัฐ มีหน้าที่สนับสนุนอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมและนโยบายรัฐ ซึ่งขัดกับหลักความเป็นกลาง,หลักเสรีภาพ และหลักความเสมอภาคในการนับถือและไม่นับถือศาสนาของรัฐประชาธิปไตยสมัยใหม่ที่เป็นรัฐโลกวิสัย (secular state)
คำถามคือ เมื่อสถานะและบทบาทขององค์กรสงฆ์ขัดกับหลักการพื้นฐานของรัฐประชาธิปไตย แล้วพระสงฆ์และชาวพุทธจะใช้ธรรมะ ศีลธรรมพุทธศาสนาสนับสนุนประชาธิปไตย หรือทำให้การพัฒนาประชาธิปไตยในสังคมไทยก้าวหน้าได้อย่างไร
หรือในทางกลับกันถามว่า ถ้ามีหลักธรรมหรือหลักการพุทธศาสนาสนับสนุนประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนจริง หลักดังกล่าวนั้นจะนำมาใช้ในการแก้ปัญหาที่สถานะและบทบาทศาสนจักรของรัฐขัดต่อหลักความเป็นกลาง เสรีภาพ และความเสมอภาคในการนับถือและไม่นับถือศาสนาได้อย่างไร
ประเด็นสุดท้าย ถามว่าในสังคมการเมืองสมัยใหม่ มีเหตุผลที่ควรตีความศาสนาสนับสนุนประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนหรือไม่ ถ้าดูจากศาสนาคริสต์ ในคัมภีร์ไบเบิลยอมรับระบบทาสด้วยซ้ำ แถมยุคกลางศาสนจักรโรมันคาทอลิกก็กดขี่รุนแรงมาก แต่เมื่อเข้าสู่ยุคสมัยใหม่เขาก็ตีความศาสนาสนับสนุนแนวคิดเรื่องสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ความหมายของ God ก็ถูกตีความในทางปรัชญาซับซ้อนมาก และมักจะตีความในทางสนับสนุนคุณค่าและศักดิ์ศรีของมนุษย์ได้อย่างมีเหตุผล แต่ในเมื่อเขาแยกศาสนจักรเป็นเอกชน ไม่รับใช้ผู้มีอำนาจรัฐ หรือไม่ก้าวก่ายแทรกแซงอำนาจรัฐ และอำนาจรัฐก็ไม่ก้าวก่ายแทรกแซงศาสนจักร การตีความศาสนาสนับสนุนคุณค่าสมัยใหม่เช่นนั้นจึงสมเหตุสมผล
ในบ้านเราการตีความศาสนาในทางการเมืองมี 2 แบบหลักๆ คือ แบบแรกตีความพุทธศาสนาสนับสนุนหลักสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ภาดรภาพ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนประเพณีการตีความพุทธศาสนาสนับสนุนอำนาจนำทางวัฒนธรรมของชนชั้นปกครอง มาสู่การตีความสนับสนุนคุณค่าสมัยใหม่ แบบที่ยุโรปเปลี่ยนจากการตีความ God สนับสนุนอำนาจชนชั้นปกครองมาเป็นตีความ God สนับสนุนสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค การตีความเช่นนี้เห็นได้ในความพยายามของปรีดี พนมยงค์ แต่น่าเสียดายที่ความพยายามนี้ไม่ประสบความสำเร็จ หรือไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายเท่าที่ควร
แบบที่สองคือแบบที่นิยมกันแพร่หลาย เป็นการตีความแบบยก “ธรรม” หรือศีลธรรมพุทธศาสนาเหนือกว่าประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในตัวมันเอง ซึ่งได้รับอิทธิพลจากพุทธทาสภิกขุ ที่เสนอว่า “ระบบการเมืองใดๆ ไม่ว่าประชาธิปไตยหรือเผด็จการจะเป็นระบบที่ดีได้ต้องมีธรรมะ เป็นธรรมาธิปไตยหรือเป็นระบบที่ประกอบด้วยธรรม” สาระสำคัญของระบบที่มีธรรมะ ก็คือมี “คนดี” หรือคนที่มีศีลธรรมเป็นผู้ปกครอง ข้อความในทวิตเตอร์ของ ว.วชิรเมธีข้างต้น ก็คือตัวอย่างของการได้รับอิทธิพลการตีความพุทธศาสนาทาการเมืองแบบที่ถือว่า “ธรรม” หรือศีลธรรมเป็นมาตรฐานตัดสินถูก-ผิดทางการเมืองดังกล่าวนี้ ซึ่งแพร่หลายมากในวงการพระ และสังคมไทยโดยรวม โดยเฉพาะในระยะกว่าทศวรรษมานี้
ฉะนั้น วิธีคิดแบบใช้ธรรมะ ศีลธรรม ความดี คนดีเป็นมาตรฐานตัดสินถูก-ผิดทางการเมืองดูเหมือนจะมีอิทธิพลมาก อิทธิพลดังกล่าวดำเนินไปภายใต้ “มายาคติ” ว่า พระสงฆ์อยู่เหนือการเมือง เป็นกลางทางการเมือง มี “หน้าที่” ชี้แนะ ชี้นำทางการเมืองโดยธรรม
แต่เมื่อพระสอนในสถานการณ์ทางการเมืองแบบหนึ่งว่า “ประชาธิปไตยที่ไม่มีธรรมะ คือหายนะมวลรวมประชาชาติ” ท่านก็กล่าวในสถานการณ์ทางการเมืองอีกแบบหนึ่งว่า “ค่านิยม 12 ประการ คล้ายธรรมะในพุทธศาสนา” ก็เลยไม่รู้ว่าพระ “อยู่เหนือการเมือง” หรือ “เป็นกลาง” ทางการเมืองอย่างไรแน่
อีกทั้งโดยทั่วไปแล้ว พระเองก็แสดงความเห็นทางการเมือง และเคลื่อนไหวทางการเมืองสนับสนุนอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมมาตลอด และสถาบันสงฆ์เองก็เป็นสถาบันของรัฐที่มีบทบาทสนับสนุนอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมและตอบสนองนโยบายรัฐอยู่แล้ว
ฉะนั้น บทบาทของพุทธไทยทั้งในเชิงสถาบันและบุคคล จึงมีอิทธิพลในการสร้างวัฒนธรรมทางความคิดในเรื่องถูก-ผิดทางการเมือง ที่มีนัยสำคัญเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย จะแก้ไขได้จำเป็นต้องแยกศาสนาจากรัฐ และเปลี่ยนความคิดพื้นฐานในการตีความพุทธศาสนาทางการเมืองอย่างสิ้นเชิง