Skip to main content
sharethis

ศาลปกครองเพิกถอนคำสั่ง กสท. กรณีปรับ ThaiPBS จากรายการตอบโจทย์  ตอน "สถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ" ปี 56 เหตุ พล.ท.พีระพงษ์ ลงมติไม่เป็นกลาง

15 ก.พ.2561 วานนี้ (14 ก.พ.61) iLaw รายงานว่า ศาลปกครองมีคำพิพากษา ในคดีที่ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ยื่นฟ้อง กสทช. จากกรณีสั่งปรับทางสถานีเป็นเงิน 50,000 บาท เพราะเนื้อหาของรายการตอบโจทย์ประเทศไทย ตอน "สถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ" ที่ออกอากาศเมื่อเดือน มี.ค.2556 มีเนื้อหาขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี ต้องห้ามตามมาตรา 37 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 โดยศาลปกครองเห็นว่า พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ หนึ่งในสองกรรมการที่ลงมติครั้งนี้มีความเห็นเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ฟ้องคดี ทำให้การพิจารณาไม่เป็นกลาง พร้อมทั้งสั่งให้กสทช.คืนเงินทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยกับไทยพีบีเอส อย่างไรก็ตาม ศาลปกครองไม่ได้วินิจฉัยลงรายละเอียดว่า เนื้อหาของรายการที่ออกอากาศเข้าข่ายต้องห้ามตามกฎหมายหรือไม่

ลำดับข้อเท็จจริงในคดี  iLaw  ได้สรุปไว้ดังนี้นี้

1. เดือนมีนาคม 2556 สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ออกอากาศรายการตอบโจทย์ประเทศไทย ตอน "สถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ" ทั้งหมด 5 ตอน โดยมีภิญโญ ไตรสุริยธรรมา เป็นผู้ดำเนินรายการ 2 ใน 5 ตอนของรายการมีแขกรับเชิญเป็นสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ซึ่งการออกอากาศรายการทั้งสองตอนก่อให้เกิดกระแสความไม่พอใจในหมู่ประชาชนจำนวนหนึ่ง ทำให้มีการชะลอการออกอากาศรายการบางตอนไว้ระยะหนึ่ง แต่ในท้ายที่สุดรายการทุกตอนก็ได้ออกอากาศจนครบและทางสถานีก็มีการออกคำชี้แจงเกี่ยวกับกรณีนี้ด้วย

2. มีประชาชนมาร้องเรียนต่อสำนักงาน กสทช. ให้ตรวจสอบว่า การออกอากาศรายการตอบโจทย์ประเทศไทย ตอนดังกล่าว เป็นการทำลายความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นการขัดต่อมาตรา 37 ของพ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 หรือไม่

3. กสท. ซึ่งเป็นคณะกรรมการส่วนกิจการวิทยุโทรทัศน์ของ กสทช. ได้มอบหมายให้อนุกรรมการด้านผังรายการและเนื้อหารายการพิจารณาเนื้อหาของรายการตอบโจทย์ที่ถูกร้องเรียน คณะอนุกรรมการฯ เห็นว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนจึงตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณา ต่อมาคณะทำงานมีความเห็นว่า เนื่องจากยังไม่มีการกำหนดหลักเกณฑ์ของรายการที่มีเนื้อหาเกี่ยวของกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้อย่างชัดเจน เป็นรูปธรรม จึงไม่อาจพิจารณาได้ว่า รายการดังกล่าวขัดต่อมาตรา 37 หรือไม่ ทั้งเนื้อหารายการก็ไม่ปรากฏชัดถึงคำพูดที่ก่อให้เกิดการล้มลางการปกครงในระบอบประชาธิปไตยันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

4. วันที่ 4 ส.ค. 2557 คณะอนุกรรมการฯ ซึ่งมี พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจเป็นประธาน ลงมติเสียงข้างมากไม่เห็นด้วยกับคณะทำงาน เพราะเห็นว่า รายการนี้มีเนื้อหาต้องห้าม และเสนอเรื่องไปยัง กสท. ซึ่งมีกรรมการเข้าร่วมประชุม 4 คน ลงมติเห็นว่า รายการมีเนื้อหาบางช่วงเกี่ยวกับการสืบราชสันตติวงศ์ มีผู้รับเชิญและผู้ดำเนินรายการใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสม จึงเห็นได้ว่า แม้รายการดังกล่าวไม่มีผลเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่รายการดังกล่าวมีเนื้อหาในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งแตกแยก จนเป็นเหตุให้เกิดผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ขัดต่อมาตรา 37 โดยกรรมการที่เห็นด้วยกับการลงมตินี้ 2 คน คือ พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ, ธวัชชัย จิตรภาษ์นันท์ ไม่เห็นด้วย 1 คน คือ สุภิญญา กลางณรงค์ และงดออกเสียง 1 คน คือ พ.อ.นที ศุกลรัตน์

5. วันที่ 30 ก.ย. 2557 กสท. ออกคำสั่งทางปกครองให้สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ชำระค่าปรับ 50,000 บาท ภายใน 15 วัน และไทยพีบีเอสก็ได้นำค่าปรับไปชำระเรียบร้อยแล้ว

6. สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส นำเรื่องไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครองว่า การออกคำสั่งของ กสท. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะ

6.1) ในการประชุมของ กสท. มี พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ ร่วมประชุมและลงมติด้วย ซึ่งจากพฤติกรรมในบันทึกการประชุมเห็นว่า พล.ท.พีระพงษ์ มีความเห็นว่า รายการตอบโจทย์มีความผิดมาโดยตลอดตั้งแต่ชั้นอนุกรรมการฯ และได้คัดค้านรายงานของคณะทำงาน และยังมาลงมติในการประชุมของ กสท. อีกครั้งหนึ่ง จึงเป็นผู้มีความเห็นเป็นประปักษ์ มีอคติ และขาดความเป็นกลาง การลงมติจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

6.2) ในระหว่างการแสวงหาข้อเท็จจริง ผู้ที่ให้ข้อมูลว่า รายการนี้ขัดต่อกฎหมายล้วนมาจากฝ่ายความมั่นคง กสท. ฟังข้อเท็จจริงจาก กอ.รมน. สภาความมั่นคงแห่งชาติ ไม่ได้ฟังจากนักวิชาการด้านนิเทศศาสตร์หรือสื่อสารมวลชน ขัดกับหลักการฟังความสองฝ่าย

เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2561 ศาลปกครองมีคำพิพากษาในคดีนี้เห็นว่า พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ ปฏิบัติหน้าที่ในการพิจารณาเรื่องนี้ทั้งในฐานะประธานอนุกรรมการฯ และกรรมการ กสท. ทั้งสองคณะ ซึ่งเป็นกรณีที่กฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะไม่ได้บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องกรรมการที่มีอำนาจพิจารณาไว้ จึงต้องนำเอาพ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 มาบังคับใช้ ซึ่งมีมาตรา 3 กำหนดว่า กรรมการผู้พิจารณาต้องมีความเป็นกลาง ไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับคู่กรณี และไม่มีพฤติการณ์อื่นซึ่งมีสภาพร้ายแรงอันจะทำให้ไม่เป็นกลาง

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า พล.ท.พีระพงษ์ ไม่เห็นด้วยกับผลการวินิจฉัยของคณะทำงาน และในการประชุมลงมติของคณะอนุกรรมการซึ่ง พล.ท.พีระพงษ์ เป็นประธาน พล.ท.พีระพงษ์ ก็ยังเข้าลงมติฝ่ายเสียงข้างมากที่เห็นว่า รายการนี้ขัดต่อมาตรา 37 เมื่อ พล.ท.พีระพงษ์ ยังเข้าประชุมในฐานะกรรมการ กสท. ก็ย่อมต้องมีความเห็นเช่นเดิม ซึ่งเป็นความเห็นที่เป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ฟ้องคดี กรณีนี้ถือได้ว่า เป็นเหตุซึ่งมีสภาพร้ายแรงอันอาจจะทำให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลาง ตามมาตรา 16 ของพ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง และเป็นกรณีที่ไม่อาจถือได้ว่า จำเป็นเร่งด่วนไม่มีเจ้าหน้าที่อื่นปฏิบัติหน้าที่แทนได้ คำวินิจฉัยของ กสท. ที่ให้สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสจ่ายค่าปรับ 50,000 บาท จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนปัญหาอื่นไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย

ศาลปกครองพิพากษาให้ เพิกถอนคำสั่งของ กสท. และให้สำนักงาน กสทช. คืนเงินค่าปรับ 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีให้แก่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net