ศาลปกครองพิพากษา มธ. ไม่จ้างคทาวุธ "เคท" ครั้งพิบูลย์ เป็นอาจารย์ จากเหตุแสดงความเห็นผ่านโซเชียลไม่เหมาะสม ศาลชี้ แสดงความเห็นเช่นว่ายังไม่พอจะถือได้ว่าบกพร่องในศีลธรรมอันดี ตัดสินให้เพิกถอนการไม่จ้าง เรียกเซ็นสัญญาบรรจะภายใน 60 วันตั้งแต่คดีถึงที่สุด เคทระบุ ศาลไม่วินิจฉัยเรื่องไม่จ้างเพราะเพศสภาพ
เคท ครั้้งพิบูลย์ (ที่มา: Facebook/โรงน้ำชา)
8 มึ.ค. 2561 สำนักข่าวไทย รายงานว่า ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งกรรมการมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไม่จ้างคทาวุธ "เคท" ครั้งพิบูลย์ ผู้ร่วมก่อตั้งเครือข่ายเพื่อนกะเทยไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน (TGA) เป็นอาจารย์ ทั้งยังมีคำสั่งให้เรียกไปเซ็นสัญญาจ้างบรรจุเป็นอาจารย์ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด
ศาลปกครองกลางพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ บ. 447/2558 กรณีคทาวุธ ครั้งพิบูลย์ หรือเคท ผู้ผ่านการคัดเลือกเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยตำแหน่งอาจารย์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยื่นฟ้องมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และคณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-2 โดยคำฟ้องระบุว่า ผู้ฟ้องคดีได้สมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย สายวิชาการ ตำแหน่งอาจารย์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ สังกัดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ถูกฟ้องที่ 1 ได้ให้ผ่านการคัดเลือกแล้วแต่คณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ถูกฟ้องที่ 2 มีมติไม่ว่าจ้างให้ผู้ฟ้องคดีเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย เนื่องจากเห็นว่าผู้ฟ้องคดีมีพฤติกรรมการแสดงออกด้วยการใช้ถ้อยคำผ่านสื่อสารทางสังคมออนไลน์ในลักษณะที่ไม่เหมาะสม และอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
คทาวุธ จึงมีหนังสืออุทธรณ์ต่อคณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ถูกฟ้องที่ 2 ซึ่งผู้ถูกฟ้องที่ 2 พิจารณาหนังสือแล้วมีมติยืนยันมติเดิม ผู้ฟ้องคดีจึงยื่นฟ้องต่อศาล ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าการที่ผู้ฟ้องคดีสื่อสารทางสังคมออนไลน์เป็นวิธีสื่อสารอันเป็นสิทธิ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามมาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ที่ใช้บังคับในขณะเกิดข้อพิพาทรับรองสิทธินี้ไว้ แต่สิทธิเสรีภาพในการสื่อสารทางสังคมออนไลน์ของผู้ฟ้องคดีจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับของทางราชการ หากผู้ฟ้องคดีสื่อสารทางสังคมออนไลน์ไม่ได้อยู่ภายใต้ขอบเขตกฎหมาย และระเบียบข้อบังคับของทางราชการ ผู้ฟ้องคดีย่อมไม่ได้รับการคุ้มครองตามที่รัฐธรรมนูญรับรองสิทธิและเสรีภาพไว้ ซึ่งศาลพิจารณามติของผู้ถูกฟ้องที่ 2 แล้วเห็นว่าการที่ผู้ถูกฟ้องที่ 2 มีมติไม่ว่าจ้างผู้ฟ้องคดีเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยไม่ได้เกี่ยวกับเพศสภาพ หากแต่ผู้ถูกฟ้อง 2 ได้นำพฤติการณ์หรือการกระทำของผู้ฟ้องคดีที่สื่อสารทางสังคมออนไลน์มาใช้อ้างในการมีมติไม่ว่าจ้างผู้ฟ้องคดีเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย แต่เมื่อศาลพิจารณาพฤติการณ์หรือการกระทำของผู้ฟ้องคดีที่สื่อสารทางเฟซบุ๊ก จำนวน 4 ข้อความและอินสตาแกรม จำนวน 2 ข้อความ พร้อมภาพประกอบแล้วเห็นว่าการใช้ถ้อยคำของผู้ฟ้องคดีและภาพที่เผยแพร่ใช้ถ้อยคำไม่สุภาพและภาพไม่เหมาะสมอยู่บ้าง บางคำบางภาพ แต่ยังไม่ถึงขนาดที่จะถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีมีลักษณะต้องห้าม อันเนื่องจากเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีตามมาตรา 7(ข) (4) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2547
การที่ผู้ถูกฟ้องที่ 2 มีมติไม่ว่าจ้างผู้ฟ้องคดีเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ตำแหน่งอาจารย์ จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงพิพากษาเพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องที่ 2 ที่ไม่ว่าจ้างผู้ฟ้องคดีเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย สายวิชาการ ตำแหน่งอาจารย์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ โดยให้มีผลนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด พร้อมข้อสังเกตและแนวทางเกี่ยวกับการปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษาว่าให้ผู้ถูกฟ้องที่ 2 ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่เรียกให้ผู้ฟ้องคดีไปทำสัญญาจ้างเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย สายวิชาการ ตำแหน่งอาจารย์ ตามที่สอบคัดเลือกได้ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด
สำนักข่าวไทยยังรายงานว่า หลังฟังคำพิพากษา คทาวุธ กล่าวแสดงความดีใจ และยืนยันความตั้งใจเดิมที่จะเข้าไปเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาลตร์ พร้อมสู้คดีหากทางมหาวิทยาลัยอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด
ในเฟซบุ๊กของเคทยังได้ลงแถลงการณ์สืบเนื่องจากคำพิพากษา โดยตั้งข้อสังเกตว่าศาลไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นเพศสภาพโดยตรง แต่ผู้พิพากษาก็ยังมองเห็นประเด็นสำคัญว่า การที่เคทพูดและบ่นเมื่อถูกเลือกปฏิบัติเป็นพฤติการที่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อจรรยาบรรณอาจารย์
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)