Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

“คนชั้นกลางขี้เบื่อขี้รำคาญ โดยเฉพาะพวกที่อยู่ในกรุงเทพ ไม่ต้องดิ้นรนอะไรก็มีงบประมาณมากมายมากองยัดตูด มาพัฒนาระบบสาธารณูปโภคในกรุงเทพอย่างทิ้งๆ ขว้างๆ มีรถไฟฟ้า น้ำประปาใส ไฟสว่าง ซื้อน้ำปลาในห้างยังได้ในราคาถูกกว่าร้านค้าในชนบท”

หลายคนที่ได้ผ่านตาถ้อยคำข้างต้นคงจะแสลงใจพิลึก แต่นี่คือภาพสะท้อนอย่างตรงไปตรงมาจากสายตาน้ำเสียงของผู้คนที่ถูกเรียกว่า รากหญ้า ความแดง คนขายเสียง ขี้ข้าทักษิณ

ทุกๆ ครั้งที่พวกเขาเดินทางจากบ้านในชนบท หรือตามหัวเมืองเข้ามาทำกิจกรรมการเมือง มาแสดงสิทธิ แสดงตัวตนของพวกเขาในฐานะประชาชนคนหนึ่งของประเทศนี้ นอกจากความยากลำบากในเรื่องค่าเดินทาง ที่หลับนอน ห้องสุขา หรือภาวะอากาศที่ต่างไปจากสภาพแวดล้อมที่พวกเขาเคยสัมผัส พวกเขาก็ยังจะต้องเผชิญกับสายตาของคนเมือง ที่มองมาอย่างผิดแปลกไม่เข้าใจ และไม่ยอมที่จะเข้าใจ ผิดกับการชุมนุมของชนในกรุงเทพ ที่ดูสมฐานะและมีความรู้ประกอบการชุมนุมมากมาย 

คนชั้นกลางมักอวดอ้างว่ารู้เท่าทันนักการเมือง แต่ไม่ยักรู้ทัน สนธิ ลิ้มทองกุล ปล่อยให้มันจูงจมูกไปล้มระบอบประชาธิปไตยกันคามือตบ สาระแนเชียร์ให้รถถังออกมา จนเกิดการรัฐประหารปี 2549

จนเกิดข้อสงสัยว่า ความจริงแล้วพวกเราไม่ต่างกันในเรื่องของมันสมอง ถ้าหากควายแดงจะถูกทักษิณจูงจมูกได้ คนชั้นกลางในเมืองก็ถูกสนธิ ลิ้มฯ จูงจมูกได้เหมือนกัน แม้พวกเขาจะสถาปนาตัวเองเป็นผู้มีความรู้ เป็นปัญญาชนของประเทศ

แม้พวกคนเมืองจะหยามเหยียดผู้คนจากท้องไร่ท้องนาว่าไร้การศึกษา แต่สุดท้ายแล้วเราก็ไม่แตกต่างกัน เพราะต่างเดินออกมาจากบ้านเพื่อความต้องการบางสิ่งบางอย่างเช่นเดียวกัน แต่มันจะมีข้อกังขาและคำถามหรือผนวกรวมไปถึงคำตัดสินหลังจากที่ผู้มีการศึกษาพินิจมองรองเท้าและเสื้อผ้าหน้าผมที่พวกเขาสวมใส่แล้ว

“ใครใช้ให้มา” “เขาจ้างมาเท่าไร” “ไม่ทำงานทำการกันหรอ” “โง่ ให้คนเขาหลอกไปตาย”

แต่สำหรับคนชั้นกลางในเมืองแล้ว การที่พวกเขาออกมาชุมนุมบนท้องถนน ถือเป็นการเสียสละเพื่อคนในชาติ เพราะพวกเขามีการศึกษา มีงานการที่มั่นคง อยู่ในสังคมอันเจริญแล้ว รับรู้ข้อมูลข่าวสารมากกว่า มีการพินิจพิเคราะห์จากข้อเท็จจริงและหลักฐานต่างๆ ประกอบกันอย่างสมเหตุสมผลแล้วจนไม่มีใครจะมาชี้นำได้  จึงมิใช่การถูกลากจูงจมูกเหมือนกับคนเสื้อแดง คนรากหญ้าทั้งหลายที่ขายชีวิตและจิตวิญญานมานอนบนถนนแลกกับเงินไม่กี่บาท

ทำไมเราจึงต้องมาพูดถึงเรื่องนี้กันอีก นั่นเพราะเรื่องนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในสังคมของเราไม่เคยจบสิ้น เพราะมันได้เกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2557 หลังจากที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจากเสียงของคนชนบทที่ถูกหาว่าโง่งม บริหารประเทศไปยังไม่ทันครบวาระ ความไม่พอใจก็ระอุขึ้นในหมู่คนชั้นกลางที่อยู่ในเมืองหลวงอีกครั้ง

คนชั้นกลางที่ฉลาดเหล่านี้จะทำตัวเป็นกบเลือกนาย ไม่เคยพอใจกับอะไรสักอย่าง พวกเขาพยายามมองหาแต่ข้อเสียของพรรคการเมืองที่ตัวเองไม่ได้เลือก ออกมาโพสต์ประโคมอวดภูมิและหลักการอันสูงส่ง แข่งกันบนหน้าโซเชียลมีเดียต่างๆ จนบดบังฉันทามติของคนส่วนใหญ่ และผลงานที่นักการเมืองได้สร้างไว้ให้พวกเขาได้เสพสุขกันอยู่ทุกวันจนหมดสิ้น เพราะพวกเขาไม่เห็นคุณค่าในสิ่งเหล่านั้น พวกเขามีมันในครอบครองอยู่แล้วและไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองเดือดร้อนหรือต้องการ

หรือบางครั้งอาจจะไม่พร้อมที่จะเห็นคนรากหญ้าที่พวกเขาดูถูกดูแคลนมามีสิ่งใดเสมอเหมือนกับพวกเขา

คนชั้นกลางจึงชอบลองของใหม่ เพราะพวกเขาคิดว่า”ไม่มีอะไรจะเสีย” อันหมายถึง "ดีก็ดี-ไม่ดีก็แล้วไป-ไม่ได้เข้าเนื้อ" ซึ่งสะท้อนถึงความ”เหลือเฟือ”ในทุกด้านของตัวเองอย่างเห็นแก่ตัว” และเสียงของพวกเขาใหญ่กว่าเสมอ ทุกข์ของพวกเขาใหญ่กว่าเสมอ เพราะมันถูกทำให้ดูเหมือนชีวิตของพวกเขาผูกโยงอยู่กับความเจริญทางสังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรมของประเทศนี้แต่เพียงกลุ่มเดียว ส่วนเสียงของคนตามท้องนาท้องไร่นั้นยึดโยงอยู่เพียงแค่คันนาและต้นตาลเท่านั้น

แต่คนชนบทไม่เคยที่จะเบื่อ เพราะพวกเขาเบื่อไม่ได้ กว่าจะมี 30 บาทรักษาทุกโรค มาช่วยชีวิตคนในครอบครัว กว่าจะมีกองทุนหมู่บ้านมาหล่นใส่หัวให้พ้นจากหนี้นรกนอกระบบ กว่าจะได้ปลดหนี้ และกว่าจะมีช่องทางทำกินเปิดตัวสินค้าพื้นเมืองเข้าสู่ตลาดในนามสินค้า OTOP บางคนต้องใช้เวลาต่อสู้ดิ้นรนมาชั่วชีวิต

ประชาธิปไตยของคนชนบทจึงมีความหมายคนละอย่างกับประชาธิปไตยของคนเมือง ประชาธิปไตยของคนชนบทตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง ข้อเท็จจริง สภาวะการณ์ การต่อรองเพื่อผลประโยชน์ของคนโดยส่วนรวม

คนชนบทได้เรียนรู้ด้วยลิ้นกับฟันของตัวเอง ว่าตลอดสิบปีที่ผ่านมา อะไรคือของจริง อะไรคือสิ่งที่เขาต้องการเป็นเบื้องต้น และอาจเป็นครั้งแรกของวงศ์ตระกูล ที่ได้รู้จักคำว่า “โอกาสในการเข้าถึง”

และในทางกลับกัน ตั้งแต่ปี 49 พวกเขา”ไม่เหลืออะไรจะให้เสีย” ไปกับความวิบัติของสันดานชนชั้นกลางในเมืองอีกแล้ว...

การต่อสู้ของพวกเขาไม่เคยมีความหมายใดๆ เป็นเพียงแต่ซากร่างของมนุษย์ที่ใช้เป็นเป้ากระสุนเพื่อความสาใจให้กับคนชั้นกลางในเมือง การต่อสู้ของพวกเขาไม่เคยได้รับชัยชนะ คำว่าสิทธิและเสรีภาพกลายเป็นเวทีวิวาทะของคนชั้นกลาง ในส่วนคนรากหญ้า ควายแดง เป็นเพียงแค่วัตถุเครื่องมือที่ถูกพวกเขา ปัญญาชน คนเมืองหยิบยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างหรือเครื่องมือสำหรับฟาดฟันกันเพียงเท่านั้น

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net