แถลงข่าวความ(ไม่)คืบหน้าคด
บรรยากาศกิจกรรม โดย คุณ Parichart แม้ว Pholperm
เมื่อวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา เวลา 15.00 น. ที่ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพม
แม่ทัพภาค 3 เคยบอกเห็นภาพจากกล้องวงจรปิด ลั่นถ้าเป็นตน "กดออโต้ได้"
สำหรับ ชัยภูมิ เป็นนักกิจกรรมชาวลาหู่ อายุ 17 ปี ที่ถูกเจ้าหน้าที่ทหารวิสามัญฆาตกรรม ณ ด่านตรวจบ้านรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 17 มี.ค.60 แต่ปัจจุบันคดีนี้กำลังอยู่ระหว่างไต่สวนการตาย โดยก่อนหน้านี้ สุมิตรชัย หัตถสาร ทนายความศูนย์พิทักษ์และฟื้
ภาพวางอ่อเวะ (ดอกเสื้อลาหู่) (ที่มภาพ แมน ปกรณ์)
ทนายบอกเกือบครบ 1 ปีแล้ว ยังไม่มีภาพจากกล้องวงจรปิดให้ศาลเห็น
ในการแถลงข่าววันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา ข่าวสดออนไลน์ รายงานว่า รัษฎา ทนายความคณะทำงานคดีชัยภูมิ กล่าวว่า การที่มีคนเสียชีวิตจากการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานและทำให้เขาถึงแก่ความตาย กฎหมายกำหนดให้มีการไต่สวน ผู้ตายคือใคร ตายเวลาใด ตายที่ไหน และที่สำคัญคือเหตุและพฤติการณ์ที่ตาย กรณีของชัยภูมิ เจ้าหน้าที่ทหารอ้างว่า ชัยภูมิจะใช้ระเบิดกับเจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าหน้าที่ทหารจึงต้องป้องกันตัว เหตุเกิดนี้มีหลักฐานสำคัญคือกล้องวงจรปิด 9 ตัว นายทหารระดับสูงเคยให้สัมภาษณ์ว่าเคยได้ดูภาพจากกล้องวงจรปิด แต่ในชั้นนี้ เกือบครบ 1 ปีแล้ว ยังไม่มีภาพจากกล้องวงจรปิดให้ศาลเห็น มีหมายเรียกจากศาล มีหนังสือแจ้งตอบจากพนักงานสอบสวนว่า ฮาร์ดดิสก์เปิดไม่ได้ แต่ยังไม่เจอหลักฐานชิ้นนี้ หมายความว่าพยานหลักฐานถูกทำให้สูญหายไป เจ้าหน้าที่พนักงานต้องสืบหาความจริง ใครเกี่ยวข้องหรือครอบครองพยานหลักฐาน และใครเป็นคนทำให้พยานหลักฐานเสียหาย นี่คือเรื่องที่เราเรียกร้อง
รัษฎา กล่าวต่อว่า สำหรับคดีของชัยภูมิ มีการอ้างว่ามีระเบิดอยู่กับผู้ตาย ไม่ต่างจากคดีที่เจ้าหน้าที่ทหารใช้เอ็ม 16 ยิง อาเบ แซ่หมู่ เสียชีวิตก่อนหน้าชัยภูมิ 1 เดือน ซึ่งอ้างว่ามีปืนเป็นอาวุธอยู่ในมือ จากการพิสูจน์ลายมือ ไม่ปรากฏลายพิมพ์นิ้วมือแฝงของ อาเบ และทางครอบครัวยืนยันว่าอาเบถนัดซ้าย แต่ปืนอยู่ในมือขวา พฤติการณ์การตายของอาเบไม่ต่างจากพฤติการณ์การตายของชัยภูมิ คดีของอาเบ มีผู้เห็นเหตุการณ์คือคนขี่รถจักรยานยนต์ ที่มารายงานกับพนักงานสอบสวนว่า ไม่มีการพยายามยิงหรือขว้างระเบิดใส่เจ้าหน้าที่ทหารแต่อย่างใด พยานบุคคลที่เป็นชาวบ้านคือคนที่พนักงานสอบสวน อัยการ ต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ตาย แต่อัยการกลับไปให้บุคคลที่อยู่ในที่เกิดเหตุเป็นพยานเบิกความในศาล อันนี้ต้องตั้งคำถามว่า ศาลหรืออัยการได้ทำหน้าที่เพื่อความยุติธรรมแล้วหรือยัง เหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงที่ทนายความได้พบเห็นเอง
“ย้อนไปฟังบทสัมภาษณ์ของผู้บัญชาการระดับสูง ที่ให้ความเห็นเรื่องของชัยภูมิ ที่ระบุว่าถ้าเขาอยู่ในเหตุการณ์ เขาจะกดออโต้ หมายความว่ายิงรัว อันนี้สะท้อนให้เห็นอะไร หน้าที่ที่จะต้องเป็นกลาง ไม่เข้าข้างคนผิด ดำรงความยุติธรรมของเจ้าหน้าที่ทหาร กลับสะท้อนความรุนแรง หลายต่อหลายเหตุการณ์ที่เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ทหาร ขอฝากไปเรียกร้อง กระตุ้นเตือน ว่าเจ้าหน้าที่รัฐและศาลชั้นต้น ต้องอยู่บนหลักยุติธรรม แสวงหาความจริง” รัษฎา กล่าว
อังคณา ไล่ปัญหาตั้งแต่นโยบายสงครามกับยาเสพติดปี 44
อังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า ประวัติศาสตร์ในประเด็นมายาคติ ชาติพันธุ์ ความรุนแรงและสิทธิมนุษยชน ไว้ว่า “ตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา นโยบายประกาศสงครามกับยาเสพติด มีเรื่องร้องเรียนมายังคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติหลายกรณี ในกรณีการอุ้มหาย ชาติพันธุ์ลาหู่ โดยคนไทยภาคกลาง หรือคนกรุงเทพเรียกคนลาหู่ว่า “มูเซอดำ” มีความเชื่อว่าคนมูเซอดำค้ายาเสพติดเพราะอยู่ติดชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้คนลาหู่ถูกตรวจค้น ถูกสังหาร ถูกทรมาน หากไปดูในรายงานบังคับสูญหายของสหประชาชาติ 82 กรณี พบว่าเป็นชาติพันธุ์ลาหู่ประมาณ 14-15 กรณี ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่สามารถคลี่คลายคดี ไม่สามารถเปิดเผยความจริงถึงที่อยู่หรือชะตากรรมของพวกเขาได้”
อังคณา กล่าวต่อว่า จากการเข้าพบพูดคุยกับครอบครัวของ ไมตรี จำเริญสุขสกุล กลุ่มรักษ์ลาหู่ และชาวลาหู่ในหมู่บ้าน พบว่าเจ้าหน้าที่ยึดทรัพย์สินหรือนำตัวบุคคลไป สิ่งที่ชาวบ้านเล่าให้ฟังคือความหวาดกลัว มีผู้หญิงคนหนึ่งเคยเล่าให้ฟังว่า อุ้มคนเป็นคนเดียวทำให้กลัวกันทั้งหมู่บ้าน ชัยภูมิเป็นเด็กรุ่นใหม่ ในช่วงสงครามยาเสพติดที่ผ่านมา ตอนนั้นเขาอาจจะยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ แต่ได้พบว่าเด็กรุ่นใหม่ของชาติพันธุ์ลาหู่มีการรวมกลุ่มกันทำกิจกรรมสาธารณะ เพื่อพิสูจน์ให้สังคมเห็นว่า ความเป็นชาติพันธุ์ที่มีวัฒนธรรมประเพณีแตกต่าง ไม่ได้แปลว่าเขาจะเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย หลายคนไม่มีสัญชาติไทย การเรียกร้องรณรงค์ให้ได้สัญชาติไทยก็จะทำให้เด็กๆได้เข้าถึงสิทธิฯ”
“สิ่งที่เขาฝันคือการไม่ถูกเลือกปฏิบัติ สามารถเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเท่าเทียม ตอนได้คุยกับครูของชัยภูมิ ครูยืนยันว่าชัยภูมิเป็นเด็กดี รับจ้างเก็บกาแฟ ได้เงินมาก็ฝากสหกรณ์ ช่วยเหลืองานโรงเรียนทุกอย่าง ในความเป็นครู ครูไม่เชื่อว่าเขาจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และไม่เชื่อว่าชัยภูมิจะใช้ความรุนแรงต่อเจ้าหน้าที่ ซึ่งเรื่องเล่าแบบนี้ คนข้างนอกอาจจะไม่ทราบ สิ่งที่เป็นปัญหาตอนนี้กับคดีวิสามัญฆาตกรรมคือความคลุมเครือ ทุกฝ่ายก็เรียกร้องให้เผยกล้องวงจรปิดว่าช่วงที่ถูกวิสามัญฯ เกิดอะไรขึ้น ข้อหาที่เกิดขึ้นว่าเขาเกี่ยวข้องกับยาเสพติดมันกระทบกับชุมชนของเขาด้วย ทั้งนี้การกระทำที่เกิดขึ้นโดยรัฐ รัฐต้องคลี่คลายคดี เปิดเผยความจริงอย่างเป็นธรรม ไม่เห็นแก่หน้าใคร ไม่อย่างนั้นแล้ว ความไม่ไว้วางใจก็จะเพิ่มขึ้น” กรรมการสิทธิมนุษยชน กล่าว
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)