Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis



เมื่อเร็วๆ นี้ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค และศาสตราจารย์ระพี สาคริก ได้จากโลกนี้ไปแล้ว คงยังความโศกสลดแก่ลูกหลานและผู้ให้ความเคารพศรัทธา  ผมเองก็ได้แต่ร่วมเสียใจกับการจากไปของบุคคลทั้งสอง  แต่ขออนุญาตเห็นต่างจากท่าน  ไม่ได้จาบจ้างท่าน แต่เห็นต่างด้านความคิด เพื่อช่วยกันคิด เพื่อสังคมอุดมปัญญา

พล.ต.อ.สล้าง เกิดเมื่อ 5 มีนาคม พ.ศ. 2480 เสียชีวิตเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 อายุ 61 ปี ท่านเคยเป็นอธิบดีกรมตำรวจ เคยได้รับฉายาว่า "เสือใต้" คู่กับ "สิงห์เหนือ" คือ พล.ต.อ.ชลอ เกิดเทศ  ท่านมีบทบาทในการปราบปรามนักศึกษาในกรณี 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งผมโชคดีรอดชีวิตมาได้  ที่ได้รับการกล่าวขานกันอย่างหนักก็คือการตบ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ขณะที่พูดโทรศัพท์อยู่จนโทรศัพท์ออกจากมือ  แต่หลายปีต่อมา ท่านก็แก้ว่าไปช่วยเหลือ ดร.ป๋วย ให้รอดพ้นจากการทำร้ายจากกลุ่มฝ่ายขวาขณะที่ ดร.ป๋วยกำลังจะขึ้นเครื่องบินลี้ภัยไปต่างประเทศ

ศาสตราจารย์ระพี อายุมากกว่า พล.ต.อ.สล้าง 15 ปี เกิดเมื่อ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2465 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ขณะอายุเกือบ 96 ปี  ท่านเคยเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในสมัยพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์  ท่านได้รับความเคารพยกย่องเป็นปูชนียบุคคล โดยเฉพาะในวงการศึกษาและวงการกล้วยไม้ จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็น บิดาแห่งกล้วยไม้ไทย  ท่านเคยยื่นฎีกาขอนายกรัฐมนตรีพระราชทานในปี พ.ศ. 2549 และรับเป็นที่ปรึกษาพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

พล.ต.อ.สล้าง ได้เขียนข้อความลาจากไว้ว่า "ร้านกาแฟชั้นบน เพื่อนๆ ลูกหลานที่รัก พ่ออยู่ได้ไม่เกิน 2 ปี ขอจากไปอย่างเกิดประโยชน์ ขอให้ทุกคนที่ทราบเรื่อง ช่วยกันคัดค้านรางคู่ขนาด 1.000 ม. รถไฟฟ้ายกระดับ ผลักดันให้เกิดสร้างถนน AUTO BAHN ช่วยกันทำหนังสือนี้เเจกกันให้มากๆ พ่อนับ 1-1000 เเล้ว วิธีการนี้จะเป็นประโยชน์ ขอโทษคนที่รักทุกคนด้วย พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อย่าตำหนิ ขอให้ภูมิใจ ถ้าไม่ทำอย่างนี้จะไม่มีใครรู้เรื่อง เพราะสื่อช่วยกันปกปิด เเล้วส่งเสริม" 

อันที่จริงการฆ่าตัวตายนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สมควร มีรายงานการวิจัยเรื่อง “พุทธศาสนากับการฆ่าตัวตาย” โดย นางสาวมธุรส มุ่งมิตร ระบุชัดว่าในทางพุทธศาสนาการกระทำอัตวินิบาตกรรมหรือการฆ่าตัวตายถือว่าเป็นบาปเป็นการผิดศีลข้อที่ 1 ว่าด้วยการห้ามฆ่าสัตว์ เพราะเป็นการเบียดเบียนชีวิตทั้งตนเองและผู้อื่น ทำให้เกิดการสร้างอกุศลกรรมให้ติดตัวไป อย่างไรก็ตามก็มีกรณีที่พระอรหันต์ฆ่าตัวตายเกิดขึ้นในสมัยพุทธกาลเช่นกัน โดยมีบทความเรื่อง "ย้อนรอย 'การฆ่าตัวตายของภิกษุ' ในสมัยพุทธกาล ที่พระพุทธเจ้า 'ไม่ตำหนิ'" (เพราะเป็นพระอรหันต์แล้ว)" แต่กรณีนี้ของร่างของท่าน พล.ต.อ.สล้าง ตกลงไปในร้านกาแฟชั้นล่าง  หากทำให้ผู้อื่นบาปเจ็บและเสียชีวิตด้วย ก็คงจะน่าเศร้าใจมาก

อย่างไรก็ตามข้อที่เห็นต่างจาก พล.ต.อ.สล้างก็คือ การสร้างรถไฟฟ้ายกระดับในเมือง  เดิมทีสมัยที่ไทยจะสร้างรถไฟฟ้าลาวาลินใต้ดิน ก็มีเสียงคัดค้าน เกรงว่าแผ่นดินไทยที่อ่อนนุ่มเพราะอยู่ในพื้นที่ทับถมใหม่ชายทะเล จะไม่สามารถให้สร้างรถไฟฟ้าใต้ดินได้  แต่นั่นเป็นข้ออ้างเพียงเพื่อพยายามทำลายรถไฟฟ้านี้ แต่เมื่อ รสช.มาไล่รัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ก็สั่งยกเลิกโครงการนี้ แล้วรถไฟฟ้าบีทีเอสที่ "ลอยฟ้า" มาก็ได้สร้างแทน  การมีรถไฟลอยฟ้านั้นในแง่หนึ่งดูเป็นทัศนะอุจาด (Eyesore) แต่ก็เสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่ารถไฟฟ้าใต้ดิน  ในฐานะที่ผมเป็นผู้รู้เรื่องการพัฒนาเมือง ผมเห็นว่าเราจะสร้างแบบใต้ดินหรือลอยฟ้าก็ได้ สำคัญที่ในใจกลางเมือง ต้องสร้างให้มากเพื่อประโยชน์ในการเดินทางของประชาชนนั่นเอง

ส่วนกรณีศาสตราจารย์ระพีนั้น ผมเคยเห็นต่างจากท่านโดยใน มติชน (9 มิถุนายน  2559 ) โดยท่านว่า ปชต.-ผันเงินลงชุมชน  ส่งผลอุปนิสัยเกษตรชนบทเสื่อมโทรมลง ในวันที่ 11 มิถุนายน 2599 ผมจึงได้แปะลงใน Facebook วิพากษ์เพื่อสังคมอุดมปัญญา 

1.  (ท่าน) ตามไม่ทันความเปลี่ยนแปลงในชนบท ยังฝันเฟื่องถึงการดำนา-เกี่ยวข้าวในอดีต   ในยุคสมัยปัจจุบัน ชาวนาใช้เครื่องจักรที่เหมาะสมกันหมดแล้ว  แม้แต่ชาวนาในเวียดนาม  คู่แข่งของเราก็ใช้เครื่องจักรทั้งดำนา เกี่ยวข้าว ฯลฯ  ผลิตภาพจึงดีขึ้น   ในมุมที่เลวร้ายของความฝันเฟื่องของระพีก็คือ การหวังให้ชาวนาลำบากยากเย็น  "หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน" ไปชั่วนาตาปี  ไม่ยินดีที่ชาวนาได้ลืมตาอ้าปาก  สบายตัวจากการทำนาขึ้นมาบ้าง

2. (ท่าน) ไม่เข้าใจชีวิตชาวชนบทจริง  กลับเข้าใจอย่างคับแคบว่าประชาชน  "มีวัฒนธรรมที่สื่อถึงกันในท้องถิ่นด้วยการคุยกันเองอย่างใกล้ชิดในขณะที่กำลัง  (ลงแขก) ดำนาและเกี่ยวข้าว"  ในความเป็นจริง พวกเขาคุยกันได้ทุกวัน  ชุมนุมกันในวันพระ งานวัด งานบุญ หรือแม้กระทั่งในวงเหล้าได้ออกบ่อย   การลงแขกในสมัยโบราณไม่ใช้เงินก็จริง แต่ก็เสียในรูปแบบอื่น เช่น การให้ข้าว ให้แรง  ให้ "เหล้ายาปลาปิ้ง" ตอบแทน  (ท่าน) คงลืมไปแล้วว่า  "ของฟรีไม่มีในโลก"

3. (ท่าน) หลงคิดไปว่าการ "ลงแขก"  แค่นี้จะทำให้ประชาชนรู้รักสามัคคี  ในสังคมที่ประชาชนคนเล็กคนน้อยถูกเอาเปรียบ  จะเกิดความสามัคคีได้อย่างไร   อีกอย่างหนึ่งการแตกสามัคคีในปัจจุบันก็เกิดขึ้นเพราะยาบ้า  ซึ่งรัฐบาลในสมัยหนึ่งสามารถปราบปรามได้อย่างเด็ดขาด  จนสร้างความรักความสามัคคีแก่คนในชาติ  แต่ในปัจจุบัน  กลับไม่สามารถปราบยาบ้า

4. (ท่าน) ยังเข้าใจผิดในเรื่องเงินผัน  นึกว่าเป็นการโยนเงินฟรีไปสู่ชนบท  ในความเป็นจริงแล้ว  ประชาชนคนเล็กคนน้อยอันไพศาลในชนบทเสียภาษีมากกว่าคนกรุงมากมาย  โดยเสียผ่านภาษีมูลค่าเพิ่ม  จริงๆ แล้ว ภาษีควรถูกเก็บและใช้ในท้องถิ่นมากกว่านี้  แต่เรารวมศูนย์สู่ส่วนกลาง  จึงทำให้ท้องถิ่นถูกส่วนกลางครอบงำ  เวลาส่ง "เงินผัน"  กลับสู่ชนบท  กลับกลายเป็นการให้ฟรีแก่คนชนบททั้งที่เป็นสิทธิของพวกเขาในการได้เงินพัฒนาชนบทต่างหาก

5. (ท่าน) กล่าวว่า  "นับตั้งแต่เมืองไทยอยากเป็นประชาธิปไตยจนถึงขั้นผันเงินไปสู่การเกษตรในชนบทนับว่ามีผลทำให้อุปนิสัยของเกษตรกรไทยในชนบทเสื่อมโทรมลงไปอย่างแก้ไขได้ยาก"   (ท่าน) กล่าวร้ายต่อระบอบประชาธิปไตย  ทั้งที่รัฐบาลประชาธิปไตยควรดำเนินการช่วยเหลือชาวชนบทให้ลืมตาอ้าปากได้ด้วยการส่งเงินกลับคืนไปสู่พวกเขาในรูปแบบต่างๆ  โดยเริ่มแต่เงินผันสมัยคึกฤทธิ์ (ปี 2518) จนถึงยุคทักษิณที่ตั้งกองทุนหมู่บ้าน   รัฐบาลที่ดีจะไม่ใช่แค่อ้างคำเดียวว่าไม่มีเงิน แล้วก็จบ กลายเป็นคลื่นกระทบฝั่งไป   แต่เงินงบประมาณกลับนำไปบำรุงกรุงเทพมหานครหรือซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อชาติ  เป็นต้น

ผมเองไม่เคยมีบุญได้พบเห็นบุคคลทั้งสองท่านนี้ แต่ที่ "มองต่างมุม" ก็เพื่อให้เกิดการฉุกคิดบ้างเท่านั้น  อย่าลืม "เกสปุตตสูตร" (กาลามสูตร) 10 ข้อ โดยมีข้อหนึ่งว่า มา สมโณ โน ครูติ - อย่าปลงใจเชื่อเพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา นั่นเอง

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net