Skip to main content
sharethis

จำเลยรับสารภาพ ศาลจังหวัดปราจีนบุรีพิพากษารอการลงโทษ เป็นเวลา 1 ปี หนึ่งในพยานเท็จหลังเพื่อช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ซ้อมทรมาน 'ฤทธิรงค์ ชื่นจิตร'

 

25 เม.ย.2561 รายงานข่าวจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม แจ้งว่าเมื่อวันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดปราจีนบุรีออกนั่งพิจารณานัดสืบพยานโจทก์ คดีหมายเลขดำที่ อ.2106/2560 ซึ่งเป็นคดีที่ ฤทธิรงค์ ชื่นจิตร  ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนเพื่อเอาผิดกับบุคคลที่เป็นพยานเท็จ เนื่องจากไปให้การต่อเจ้าพนักงาน ป.ป.ท. เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2556 ว่าตนอยู่ในที่เกิดเหตุและยืนยันว่าไม่มีเหตุการณ์ซ้อมทรมาน ฤทธิรงค์ โดยที่ความจริงแล้วตนไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ เป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเพื่อช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนจังหวัดปราจีนบุรีซึ่งร่วมกันซ้อมทรมาน ฤทธิรงค์ 

โดยคดีนี้ ฤทธิรงค์ ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อดำเนินคดีอาญากับพยานเท็จคนดังกล่าวเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2560  ณ สถานีตำรวจภูธรระเบาะไผ่ ต.หนองโพรง อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี  ต่อมาพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้อง และส่งสำนวนคดีให้พนักงานอัยการจังหวัดปราจีนบุรี  พนักงานอัยการฯได้ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดปราจีนบุรีเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2560 ศาลนัดสืบพยานโจทก์จำเลยในวันที่ 24 – 25 เม.ย. 2561

โดยในวันที่ 24 เม.ย. 2561 นัดสืบพยานโจทก์ ศาลได้มีคำสั่งตามคำร้องของ ฤทธิรงค์ ให้ฤทธิรงค์เข้าร่วมเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ  และจำเลยซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นพยานเท็จ ได้ให้การรับสารภาพตามฟ้องของโจทก์ ด้วยเหตุนี้ศาลจึงมีคำพิพากษา ว่าจำเลยมีความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 (เดิม-โทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ) โดยศาลได้ลงโทษจำเลยให้จำคุก 2 เดือนและปรับ 1,000 บาท แต่เนื่องด้วยจำเลยให้การรับสารภาพอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ซึ่งเป็นเหตุให้บรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 จึงลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งเป็นจำคุก 1 เดือนและปรับ 500 บาท นอกจากนี้ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยประกอบอาชีพและมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง และยังมีหน้าที่ต้องคอยเลี้ยงดู อุปการะบิดามารดา การจำคุกจำเลยในระยะสั้นจึงไม่เป็นผลดีต่อสังคมโดยรวมและตัวจำเลยเอง ดังนั้นโทษจำคุก 1 เดือนให้รอการลงโทษไว้เป็นเวลา 1 ปี ส่วนโทษปรับ 500 บาท ให้จำเลยดำเนินการชำระค่าปรับแก่ศาลต่อไป

 

นอกจากคดีดังกล่าวข้างต้นแล้วฤทธิรงค์ฯ และบิดา ยังได้ดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลที่เป็นพยานเท็จเพื่อช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ซ้อมทรมาน ฤทธิรงค์ อีกจำนวน 3 คดี ได้แก่

1. คดีที่ฤทธิรงค์กับบิดา เป็นโจทก์ฟ้องพยานเท็จคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อศาลจังหวัดปราจีนบุรี เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1942/2560  ต่อมาเมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2561 ศาลจังหวัดปราจีนบุรีได้อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2  โดยศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น(ศาลจังหวัดปราจีนบุรี) ว่าคดีมีมูลและให้ประทับฟ้อง ศาลจังหวัดปราจีนบุรีจึงได้กำหนดนัดสอบคำให้การจำเลย ในวันที่ 4 มิ.ย. 2561 เวลา 09.00น.

2. ส่วนพยานเท็จอีก 2 คน (คนละคดี) ฤทธิรงค์ กับบิดา ได้แจ้งความร้องทุกข์ พยานเท็จคนหนึ่ง ณ สถานีตำรวจภูธรเมืองปราจีนบุรี และอีกคนหนี่ง ณ สถานีตำรวจนครบาลทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ ซึ่งทั้งสองคดีอยู่ในระหว่างการสอบสวนของพนักงานสอบสวน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net