เครือข่ายP-Move ออกแถลงการณ์ 4 ปียังไม่เห็นความสุขที่ คสช. คืน ชี้ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำอันดับ 3 ของโลก ยันปักหลักชุมนุมค้างคืนหน้ามหาดไทย
2 พ.ค. 2561 ตั้งแต่ช่วงเช้า ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ P-Move ประมาณ 200-300 คน ได้รวมตัวกันบริเวณด้านหน้าสำนักงานองค์การสหประชาชาติเพื่อเตรียมเข้ายื่นหนังสือ ต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยมีข้อเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาที่ดินที่ทำกิน ลดความเหลือมล้ำ และสร้างความสุขที่แท้จริงให้กับประชาชน
โดยก่อนหน้านี้ ดิเรก กองเงิน แกนนำ ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม เปิดเผยกับ สำนักข่าวชายขอบ ว่าในวันที่ 2 พ.ค. (วันนี้) ชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากนโยบายของรัฐในด้านต่างๆ จะเดินทางมายังทำเนียบรัฐบาล หลังจากเมื่อวันที่ 30 มี.ค. ที่ผ่านมาได้เดินทางไปยื่นหนังสือที่ทำเนียบรัฐบาลครั้งหนึ่งแล้ว เพื่อขอให้รัฐบาลจัดประชุมพิจารณาปัญหาต่าง ๆ ดังที่เคยยื่นไว้และมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาแล้ว แต่กลไกลดังกล่าวกลับไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ซึ่งภายหลังจากยื่นหนังสือไปได้บอกให้รัฐบาลแจ้งความคืบหน้าภายใน 30 วัน แต่ปรากฏว่ารัฐบาลกลับเพิกเฉย
เวลาประมาณ 11.00 น. ชาวบ้านกว่า 300 คนได้เดินทางจากบริเวณด้านหน้าสำนักงานองค์การสหประชาชาติ ไปยังทำเนียบรัฐบาล จนในเวลา 11.30 น. สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาเจรจากับตัวแทนกลุ่มผู้ชุมนุม
โดยสุวพันธุ์ รับปากว่าจะนำข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจรที่จังหวัดบุรีรัมย์ ในวันที่ 8 พ.ค.นี้ เพื่อแจ้งให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณา ก่อนจะนำข้อสรุปมาพูดคุยหารือกับอนุคณะกรรมการที่ตนเองเป็นประธาน และไม่อยากให้ชุมนุมปักหลักค้างคืน เพราะจะทำให้ลำบาก ให้กลับไปที่ภูมิลำเนาและรอคำตอบจะดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มผู้ชุมนุมยืนยันว่าจะขอปักหลักค้างคืน ไม่กลับบ้านจนกว่าจะได้ข้อสรุปจากรัฐมนตรีที่รับผิดชอบ เพราะที่ผ่านมามาชุมนุมเป็นระยะเวลาสั้นๆ โดยไม่ได้รับการแก้ปัญหา โดยได้ปักหลักชุมนุมอยู่ที่บริเวณกระทรวงมหาดไทย
ทั้งทางกลุ่มได้อ่านแถลงการณ์ เรื่อง “ลดความเหลื่อมล้ำ คืนความเป็นธรรม ปกป้องชุมชน” โดยระบุว่าตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ คสช. เข้ามาบริหารประเทศนั้นพบว่านโยบายของรัฐไม่ได้เป็นไปเพื่อทำให้ประเทศลดความเหลื่อมล้ำแต่อย่างใด ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำเป็นอันดับที่ 3 ของโลก ทั้งที่ผ่านมายังมีการบังคับใช้กฎหมายกับคนจนเป็นหลัก นโยบายทวงคืนผืนป่าไม่ครอบคลุมที่ดินเอกชนที่หมดสัญญาเช่า มีการทำลายป่าอย่างถูกกฎหมาย โดยการเพิกถอนพื้นที่ป่าเพื่อรองรับนิคมอุตสาหกรรม การอนุญาตให้ทำธุรกิจในป่า มีนโยบายให้ชาวต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี ในขณะที่ที่ดินมีการกระจุกตัว คนไทยจำนวนมากเข้าไม่ถึงการถือครองที่ดิน มีการเพิกเฉยต่อมาตรการ แนวทาง และรูปธรรมให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นธรรม ตลอดจนการรับรองสิทธิชุมชนอย่างมั่นคง และยั่งยืน
000000
แถลงการณ์ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) “ลดความเหลื่อมล้ำ คืนความเป็นธรรม ปกป้องชุมชน” นับเป็นเวลากว่า 4 ปี ที่รัฐบาล คสช. เข้ามาบริหารประเทศ โดยอ้างว่าจะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ขจัดคอรัปชั่น และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม “คืนความสุขให้ประชาชน” สร้างความ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” โดยจะ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” รัฐบาลได้ลงนามขานรับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ซึ่งจะใช้เป็นทิศทางการพัฒนาตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2558 ถึงเดือน ส.ค. พ.ศ. 2573 ครอบคลุมระยะเวลา 15 ปี โดยประกอบไปด้วย 17 เป้าหมาย อาทิ ขจัดความยากจนในทุกรูปแบบ ส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและทั่วถึง ลดความเหลื่อมล้ำทั้งภายในและระหว่างประเทศ ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส. หรือ พีมูฟ) ในฐานะเครือข่ายประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากนโยบายและการพัฒนาของรัฐ ได้มีการผลักดันมาตรการแนวทางและรูปธรรมให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นธรรม ตลอดจนการรับรองสิทธิชุมชนอย่างมั่นคง และยั่งยืนมาอย่างยาวนานต่อทุกรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหรือรัฐบาลจากการรัฐประหาร พบว่านโยบายและการปฏิบัติงานของรัฐไม่ได้ทำให้ความเหลื่อมล้ำลดลง มิหนำซ้ำทำให้ยิ่งเกิดภาวะรวยกระจุกจนกระจายมากยิ่งขึ้น โดยประเทศไทยถูกจัดอับดับเป็นประเทศที่เหลื่อมล้ำมากที่สุดในโลกอันดับที่ 3 ของโลก โดยคนรวยเพียง 1% สามารถครอบครองทรัพย์สินและความมั่นคั่งมากถึง 58% โดยมีรูปธรรมที่เกิดขึ้น คือ 1. มีการบังคับใช้กฎหมายเอาผิดกับคนจนเป็นหลัก 2. นโยบายทวงคืนผืนป่าไม่ครอบคลุมที่ดินเอกชนที่หมดสัญญาเช่า 3. มีการทำลายป่าอย่างถูกกฎหมาย โดยการเพิกถอนพื้นที่ป่าเพื่อรองรับนิคมอุตสาหกรรม การอนุญาตให้ทำธุรกิจในป่า เช่น เหมืองแร่ การปลูกป่าเศรษฐกิจ การอนุญาตให้ส่วนราชการสร้างอาคารในป่า 4. มีนโยบายให้ชาวต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี ในขณะที่ที่ดินมีการกระจุกตัว คนไทยจำนวนมากเข้าไม่ถึงการถือครองที่ดิน 5. มีการเพิกเฉยต่อมาตรการ แนวทาง และรูปธรรมให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นธรรม ตลอดจนการรับรองสิทธิชุมชนอย่างมั่นคง และยั่งยืน ดังจะเห็นได้จาก 5.1) ข้อเสนอในการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม ภายใต้ “ร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า” เพื่อให้เกิดการเก็บภาษีที่ดินตามขนาดการถือครองที่ดิน คนที่มีที่ดินน้อยจ่ายน้อย คนที่มีที่ดินมากและไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินต้องจ่ายภาษีในอัตราที่สูงกว่า แล้วนำเงินภาษีเหล่านั้นส่วนหนึ่งมาสนับสนุนการกระจายการถือครองที่ดินสู่คนจน แต่ปัจจุบันรัฐบาล และ สนช. ถ่วงเวลาและบิดเบือนเจตนารมณ์ร่าง พ.ร.บ.ให้กลายเป็นเพียงภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งมีผลเพียงแค่ลดภาระงบประมาณที่รัฐบาลส่วนกลางจะต้องอุดหนุนให้แก่การปกครองส่วนท้องถิ่นท้องถิ่น ซ้ำร้ายการงดเว้นการจัดเก็บภาษีที่ดินที่มีมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อแปลงทำให้เพดานของการเก็บภาษีสูงขึ้นจนไม่สามารถเก็บภาษีได้จริงในทางปฏิบัติ นอกจากนี้ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะจัดเก็บภาษีที่ดินทุกประเภท ในอัตราเดียวกัน จนท้ายที่สุดร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับของรัฐบาลน่าจะไม่สามารถนำไปสู่การกระจายการถือครองที่ดินได้ในทางปฏิบัติ 5.2) การจัดตั้งธนาคารที่ดิน เพื่อเป็นกลไกและช่องทางให้คนจนและเกษตรกรเข้าถึงที่ดินและที่อยู่อาศัยโดยนำรายได้จากภาษีที่ดิน มาสนับสนุนการดำเนินงานของธนาคารที่ดิน เพื่อมิให้เป็นภาระด้านงบประมาณ และเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้าถึงที่ดินอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องพึ่งพิงงบประมาณประจำปีของรัฐบาล แต่ปัจจุบันรัฐบาลโดยกระทรวงการคลังปฏิเสธหลักการสำคัญของการจัดตั้งธนาคารที่ดินที่ผลักดันโดยประชาชน ร่างพระราชบัญญัติธนาคารที่ดินที่รัฐบาลกำลังดำเนินการยกร่างและผลักดันอยู่ในปัจจุบันกลับกลายเป็นเพียงรูปแบบของสถาบันการเงินหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นเพียงจุดผ่านงบประมาณไปยังผู้ประสบปัญหาเพื่อชะลอการสูญเสียที่ดินของเกษตรกรเฉพาะหน้า และมีเพียงวิธีคิดรัฐราชการเป็นใหญ่ มีลักษณะการบริหารจัดการแบบดังเดิมที่รัฐบาลบังคับว่าไม่ควรที่ธนาคารที่ดินจะต้องพึ่งพางบประมาณประจำปีจากรัฐบาล จนกระทั้งต้องถูกบีบแสวงหากำไร ไม่ต่างไปจากธนาคารของรัฐที่จัดตั้งตามวัตถุประสงค์เฉพาะที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีตัวชี้วัดชัดเจนอยู่แล้วว่าไม่ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งธนาคารตลอดระยะเวลากว่า 50 ปีที่ผ่านมา ไม่สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้ หนำซ้ำยังเป็นกลายเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของประชาชน ซึ่งทั้งนี้คงไม่ต้องกล่าวถึงแนวทางในรูปแบบธนาคารพาณิชย์ที่มีหลักการดำเนินการเพื่อกำไรเป็นสำคัญ 5.3) การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในที่ดิน และทรัพยากรป่าไม้ โดยการกระจายอำนาจและรองรับสิทธิชุมชน ในการบริหารร่วมกับรัฐ ในรูปแบบ ”โฉนดชุมชน” หรือกรรมสิทธิ์ร่วม รัฐบาลได้บิดเบือนข้อเสนอ โดยการรวมศูนย์อำนาจกลับไปยังรัฐภายใต้ คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ หรือ คทช. เปลี่ยนจากการรองรับสิทธิชุมชน เป็นเพียงการอนุญาตจากหน่วยงานรัฐตามกฎเกณฑ์ และระเบียบของหน่วยงานรัฐซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งปัจจุบันพบว่า การจัดการที่ดินตามแบบคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ หรือ คทช. ไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งยังสร้างความขัดแย้งในชุมชนระหว่างผู้ที่ได้รับที่ดินและไม่ได้รับที่ดินในชุมชนเดียวกัน ตลอดจนกระทั่งข้อครหาเกี่ยวกับโครงการที่รัฐบาลใช้งบประมาณไปแล้วแต่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงจนกระทั้งประชาชนไม่สามารถเข้าไปอยู่อาศัยได้จริง 5.4) การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ซึ่งภาคประชาชนเสนอให้มีการจัดตั้งกองทุนยุติธรรมที่เป็นอิสระ เพื่อประโยชน์ ในการเข้าถึงการประกันตัว การแสวงหาข้อเท็จจริงในการต่อสู้คดี แต่ พ.ร.บ.กองทุนยุติธรรม ที่รัฐบาลประกาศใช้ กลับกลายเป็นกลไกหนึ่งภายใต้กระบวนการยุติธรรม และให้อำนาจคณะกรรมการระดับจังหวัด ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัด พนักงานอัยการ ฯลฯ ซึ่งมีฐานะเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายและเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน เป็นองค์คณะในการพิจารณา ส่งผลให้ ในหลายกรณีคนจนที่ขอใช้บริการจากกองทุนยุติธรรม ถูกปฎิเสธจากกองทุน เนื่องจากถูกกรรมการกองทุนฯ พิพากษาว่าเป็นผู้กระทำผิด ก่อนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม 6. กลไกการแก้ไขปัญหาร่วมระหว่างรัฐบาลกับภาคประชาชนล้มเหลว และไม่มีประสิทธิภาพ เช่น คณะกรรมการแก้ไขปัญหาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง และมอบหมายให้นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน การประชุมครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2560 ได้มีแนวทางในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน และจะจัดประชุมอย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่มีการดำเนินการใด ๆ ในขณะที่กลไกที่เอื้อประโยชน์นายทุน อาทิ คณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) คณะกรรมการร่วมรัฐ และเอกชน (กรอ.) ถูกผลักดันและขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้น จากกระบวนการและกลไกการแก้ไขปัญหาที่ไร้ประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำ เกิดความไม่เป็นธรรมและชุมชนถูกกระทำจากนโยบายและแผนพัฒนาของรัฐ ขปส.จึงต้องนำเสนอให้รัฐบาลมีการเร่งรัดและสั่งการให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาที่สามารถลดความเหลื่อมล้ำและคืนความสุขที่แท้จริงให้กับคนจนในช่วงระหว่างนี้ ซึ่ง ขปส. จะเฝ้ารอคำตอบจากรัฐบาลจนเสร็จสิ้นทุกประเด็น โดยให้ดำเนินการ ดังนี้ 1. ให้รัฐบาลสั่งการไปยังสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (บจธ.) (องค์กรมหาชน) เพื่อให้ปรับปรุงการดำเนินงานของสถาบันให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 2. ให้รัฐบาลเร่งผลักดัน ร่าง พรบ.ธนาคารที่ดิน เพื่อให้เกิดการจัดตั้งธนาคารที่ดิน ในรูปแบบที่เป็นองค์กร เพื่อเป็นช่องทางในการเข้าถึงที่ดินของคนจนและเกษตรกรรายย่อยอย่างแท้จริง ทั้งนี้ ขปส. คัดค้านแนวคิดของกระทรวงการคลัง ที่ผลักดันให้มีการจัดตั้งธนาคารที่ดินขึ้นภายใต้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) 3. ให้รัฐบาลดำเนินการส่งมอบพื้นที่โฉนดชุมชนที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน (ปจช.) ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน พ.ศ.2553 ในทันที ทั้งนี้ ได้รับสิทธิในการบริหารจัดการที่ดินร่วมกันโดยทันที 4. ให้รัฐบาลยุติแผนแม่บททวงคืนผืนป่าในทันที เนื่องจากการดำเนินการที่ผ่านมาได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อคนจนและเกษตรกรรายย่อย ซึ่งไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ คสช. ที่ต้องการดำเนินการกับนายทุน อีกทั้ง ยังเป็นการขัดคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 ซึ่งให้การคุ้มครองประชาชนผู้ยากไร้ โดยเสนอให้รัฐบาลผลักดันการแก้ไขกฎหมายนโยบายเพื่อรองรับสิทธิในการจัดการที่ดินและทรัพยากรของชุมชนโดยเร็ว 5. เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาชาวเลตามข้อเสนอของคณะกรรมการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล 6. ให้รัฐบาลสั่งการเร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดหาที่ดินทำกินให้แก่ราษฎรบ้านวังตะเคียน อ.แม่สอด จ.ตาก ทั้ง 6 ราย ซึ่งได้รับผลกระทบจากนโยบายเขตเศรษฐกิจแม่สอด ทดแทนการจ่ายเงินเยียวยา โดยทันที |
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)