บทความ Yes! วิจารณ์รัฐบาล 'ทรัมป์' ร่างกม.ตรวจสอบโซเชียลมีเดียนักท่องเที่ยวก่อนได้วีซา

"ช่วงหยุดฤดูใบไม้ผลิ" มีบางคนที่จะหาโอกาสได้เดินทางออกไปต่างแดนเพื่อพบปะสิ่งใหม่ๆ มีโอกาสเรียนรู้วัฒนธรรมอื่นๆ สหรัฐฯ เองเป็นหนึ่งในตัวเลือกนั้น แต่ทว่านโยบายเกี่ยวกับคนเข้าเมืองบางอย่างของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ มีการจ้องตรวจโซเชียลมีเดียของคนเข้าเมืองที่ไม่ใช่ผู้อพยพ กำลังจะทำให้การท่องเที่ยวของสหรัฐฯ ฝ่อลงไปอีกหรือไม่

ก่อนหน้านี้ทางการสหรัฐฯ เคยเปิดเผยว่านักท่องเที่ยวจากต่างชาติลดลงร้อยละ 3 ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2560 จนสหรัฐฯ ตกอันดับจากการเป็นประเทศที่ผู้คนนิยมท่องเที่ยว หลังจากที่มีนโยบายและโวหารแบบกีดกันคนเข้าเมืองของโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาหลายครั้ง

บทความนิตยสาร Yes! ของทาห์มินา วัตสัน ทนายความด้านผู้อพยพเข้าเมืองในซีแอตเทิล ระบุถึงประเด็นนี้ว่า แทนที่ทรัมป์จะเล็งเห็นปัญหาเรื่องนักท่องเที่ยวที่ลดลงจากบรรยากาศกีดกัน ในเดือน มี.ค. ที่ผ่านมารัฐบาลกลับเสนอกฎหมายใหม่ที่จะขอข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อบัญชีผู้ใช้งานในโซเชียลมีเดียของผู้ที่ต้องการวีซ่าแบบที่ไม่ใช่วีซาผู้อพยพ เรื่องนี้จะกระทบผู้คนถึง 14.7 ล้านคน

วัตสันระบุว่ามุมมองที่ชาวโลกมีต่อสหรัฐฯ นั้นกระทบต่อการท่องเที่ยวของสหรัฐฯ ด้วย จากกรณีที่รัฐบาลทรัมป์ทำการตรวจสอบเข้มงวดต่อกลุ่มนักท่องเที่ยวบางกลุ่มในปีที่แล้ว ซึ่งรวมถึงการพยายามเก็บข้อมูลส่วนตัวโซเชียลมีเดียพวกเขาตั้งแต่สมัยปลายรัฐบาลโอบามา แต่รัฐบาลทรัมป์เพิ่มมาตรการเก็บข้อมูลดังกล่าวหนักขึ้น

รายละเอียดของร่างกฎหมายขอบัญชีโซเชียลมีเดียของผู้ขอวีซาที่ไม่ใช่ผู้อพยพนั้น ระบุให้กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ถามถึงบัญชีโซเชียลมีเดียในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมาของผู้ต้องการขอวีซา โดยอ้างว่าการเก็บข้อมูลเป็นไปเพื่อ "การจำแนกตัวตนและการตรวจสอบข้อมูลว่ามีคุณสมบัติตามกฎหมายของผู้ขอวีซาหรือไม่"

กฎหมายนี้ถ้าบังคับใช้จะไม่เพียงแค่กระทบนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังกระทบถึงคนที่ต้องการขอวีซาทำงานหรือวีซ่านักเรียกนักศึกษารวมถึงคนที่เข้าประเทศด้วยสาเหตุเรื่องการทำงานช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมด้วย

นอกจากนี้วัตสันยังชี้ให้เห็นปัญหาถึงประโยคในตัวกฎหมายที่อาจจะถูกนำมาใช้ตีความกว้างๆ ได้ โดยไม่ทราบอย่างแน่ชัดว่ามาตรฐานของมันคืออะไร เช่น คนที่โพสต์มีมวิจารณประธานาธิบดีจะถูกปฏิเสธวีซาหรือไม่ พวกเขาจะตีความตามอำเภอใจตัวเองหรือเปล่าว่าโพสต์ของบุคคลนั้นๆ เป็นโพสต์แบบสุดโต่งทางศาสนาถ้าหากเพียงแค่เขาโพสต์ถึงวันหยุดสำคัญทางศาสนาพวกเขา เมื่อพิจารณาจากการออกคำสั่งแบนคนจากกลุ่มประเทศมุสลิมใหญ่ๆ และการพิจารณาเรื่องต่างๆ ของรัฐบาลนี้แล้ววัตสันก็กังวลว่าพวกเขาจะใช้อำนาจตามอำเภอใจกันเหมือนเป็นเรื่องปกติ

นอกจากเรื่องกระบวนการการขอวีซาที่อุทธรณ์ไม่ได้แล้ว วัตสันยังวิจารณ์อีกว่าการอาศัยข้อมูลโซเชียลมีเดียมาเป็นตัวชี้วัดว่าคนหนึ่งจะเข้าประเทศได้หรือไม่นั้นถือเป็นสิ่งที่หลงผิดเพราะเป็นการเข้าใจไปเองว่าโซเชียลมีเดียอย่างอินสตาแกรมหรือทวิตเตอร์จะบ่งบอกถึงตัวตนของคนๆ นั้นทั้งหมด ส่วนคนที่อยากมาสหรัฐฯ จริงๆ คงไม่ด่าสหรัฐฯ แบบเปิดเผยต่อสาธารณะผ่านโซเชียลฯ ขนาดนั้น

การตรวจโซเชียลมีเดียคนเข้าเมืองไม่เพียงแต่ผิดฝาผิดตัวในการตัดสินคนแต่ยังอาจจะส่งผลให้คนที่ต้องการเดินทางเข้าสหรัฐฯ ทั้งด้วยเหตุผลทางธุรกิจ การท่องเที่ยว หรือเยี่ยมครอบครัว อาจจะรู้สึกไม่อยากเข้าสหรัฐฯ อีก

"ในตอนนี้สถานที่อย่างดีสนีย์แลนด์และสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ยังมีนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศต่อคิวกันเข้า แต่ถ้าหากกฎหมายเหล่านี้ออกบังคับใช้ ฉันเชื่อว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะลดลง และขณะที่สมาคมการท่องเที่ยวสหรัฐฯ เคยรายงานเมื่อปีที่แล้วว่าการหดตัวของการท่องเที่ยวสหรัฐฯ ทำให้สูญเสียรายได้ 4,600 ล้านดอลลาร์และทำให้สูญเสียตำแหน่งงานไป 40,000 ตำแหน่ง แต่การสูญเสียในอนาคตจะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและจะส่งผลกระเพื่อมต่อเนื่องอย่างประเมินค่าไม่ได้" ทาห์มีนา วัตสัน ระบุในบทความ

 

เรียบเรียงจาก

Tourists, Beware: Trump Administration Wants Your Social Media Handles Before You Travel, Yes!, 25-04-2018

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท