“ผมบอกเขา (ดารณี) ตรงๆ ว่าผมไม่ชอบทักษิณ และตอนที่คุยกันก็เถียงกันคุกแทบแตก เขาเน้นว่ามันเป็นเรื่องของระบอบประชาธิปไตย เหมือนทัศนะของเขานั้นการเลือกตั้งสำคัญที่สุด แต่ในทัศนะผม การเลือกตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตยเสมอไป มันเป็นเพียงแค่องค์ประกอบหนึ่ง”
“ระหว่างเสื้อแดงกับเสื้อเหลือง ผมก็ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ เพราะผมไม่ชอบทักษิณ พูดง่ายๆ คือ อยู่ในกลุ่มต่อต้านและขับไล่ทักษิณตั้งแต่ก่อนปฏิวัติ แล้วถ้าถามความรู้สึกช่วงหลังปฏิวัติรัฐประหาร (2549) ผมรู้สึกโล่งด้วยซ้ำไปว่าเรื่องนี้จะได้จบ ทั้งที่จริงๆ แล้วมองกลับไปตอนนี้ มันอาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องก็ได้ มันทำให้พัฒนาการทางการเมืองของระบอบประชาธิปไตยสะดุด”
คำให้สัมภาษณ์ของ ประเวศ ประภานุกูล เมื่อปี 2552 เมื่อครั้งเป็นทนายความให้ ดา ตอร์ปิโด หรือ ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล คดีนั้นจบด้วยการพิพากษาลงโทษจำคุกดารณี 15 ปี จากการกล่าวปราศรัย 2 ครั้ง
นั่นเป็นร่องรอยสำคัญที่ทำให้เห็นพัฒนาการของความคิดทางการเมืองของทนายวัย 57 ปีซึ่งปัจจุบันกลายเป็นผู้ต้องหาคดี 112 ที่ถูกฟ้องหนักที่สุดถึง 10 กรรม เพราะการโพสต์เฟสบุ๊คในปี 2560 ว่า ตนเองชื่นชอบในระบอบสาธารณรัฐหรือสมาพันธรัฐ และยืนยันให้หลายๆ คนพูดเรื่องนี้เพราะไม่ผิดกฎหมายอาญามาตรา 112
นอกจากนี้เขายังต่อสู้แบบที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนด้วยการไม่ยอมรับอำนาจศาล ไม่แต่งตั้งทนาย ไม่เซ็นเอกสารใด ไม่ยื่นบัญชีพยานจำเลย ไม่ซักค้านพยานโจทก์ ด้วยเหตุผลสรุปสั้นๆ ว่า เขาไม่เชื่อว่าในคดี 112 สถาบันตุลาการของไทยมีความเป็นกลางเพียงพอที่จะพิพากษาคดีได้ นั่นทำให้เขาโยนโอกาสในการแก้ต่างหรือหักล้างหรือซักค้านพยานโจทก์ทิ้งทั้งหมด ในทางกฎหมายแล้วทั้งอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายอาญาหรือทนายความคนอื่นๆ ต่างยืนยันตรงกันว่า กระบวนการสามารถดำเนินต่อไปได้แม้จะเป็นการสืบพยานโจทย์ฝ่ายเดียว เพราะศาลย่อมถือว่าให้โอกาสจำเลยแล้วแต่จำเลยปฏิเสธ เพียงแต่กระบวนการสืบพยานต้องทำต่อหน้าจำเลย
ประเวศออกแถลงการณ์ 2 ฉบับแรกอธิบายถึงเหตุผลที่ไม่ยอมรับอำนาจของศาลไทยอย่างค่อนข้างละเอียด มีเพียงวารสารฟ้าเดียวกัน ปีที่ 15 ฉบับ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2560 เท่านั้นที่ตีพิมพ์แถลงการณ์ฉบับเต็มของเขาทั้งสองชิ้นนี้ซึ่งมีถ้อยคำวิพากษ์วิจารณ์ศาลอย่างรุนแรง อันที่จริงเขาออกแถลงการณ์ทั้งสิ้น 7 ฉบับ แต่ฉบับที่ 5-7 นั้นไม่มีใครได้รับแม้เขายืนยันว่าส่งออกมาแล้ว ส่วนที่เหลือถูกเผยแพร่ในเพจ Free Prawet Prapanukul
แฟ้มภาพ
หากจะเท้าความการจับกุมประเวศ ต้องเชื่อมโยงไปกับเรื่อง “หมุดหาย” ตั้งแต่ปีที่แล้ว
14 เม.ย.60 มีรายงานข่าวว่าหมุดคณะราษฎรบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าหายไป แล้วถูกแทนที่ด้วยหมุดใหม่ที่มีข้อความใหม่ ไม่มีใครทราบว่ามันหายไปนานแค่ไหนแต่เป็นข่าวดังในช่วงนั้น จากนั้น สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ได้โพสต์วิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ในเฟสบุ๊คของเขา มีผู้แชร์เป็นจำนวนมาก
29 เม.ย.60 ทหารบุกคุมตัวประเวศ และคนอื่นๆ หลากหลายอาชีพที่บ้านของพวกเขาอีก 5 คน รวมเป็น 6 คนในวันเดียวกันแล้วนำไปควบคุมตัวที่ค่ายทหาร มทบ.11 ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ติดต่อทางบ้าน มิตรสหายของประเวศเริ่มต้นตามหาประเวศและเริ่มมีข่าวว่าคนนั้นคนนี้หายไป ต่อมาวันที่ 1 พ.ค.หลังประเวศประท้วงโดยการอดข้าว 1 วัน เขาก็ได้รับอนุญาตให้ติดต่อเพื่อน โลกจึงได้รู้ว่าพวกเขาอยู่ไหน แต่ก็ไม่มีใครเข้าเยี่ยมได้
3 และ 4 พ.ค.60 ทหารทยอยนำตัวทั้งหมดให้ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาและยื่นคำร้องฝากขังต่อศาล ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ประกันตัวรวมถึงประเวศ ผู้ต้องหา 5 คนถูกแจ้งข้อหาตามมาตรา 112 จากการแชร์สเตตัสของสมศักดิ์ เจียมฯ ที่วิจารณ์เรื่องหมุด พวกเขาถูกคุมขังอยู่หลายผัดในเรือนจำ แต่ท้ายที่สุดก็ได้รับการปล่อยตัวและไม่มีการสั่งฟ้อง ขณะที่กรณีประเวศไม่เป็นเช่นนั้น เขาถูกแยกฟ้องในข้อหาหนักมาก ทั้งหมดมาจากการแสดงความคิดเห็นในเฟสบุ๊คส่วนตัวของเขา โดยแบ่งเป็น
มาตรา 112 หมิ่นประมาทกษัตริย์ จำนวน 10 กรรม
มาตรา 116 ยุยงปลุกปั่น จำนวน 3 กรรม
พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(3)
สื่อต่างประเทศหลายสำนักพาดหัวว่าทนายความสิทธิฯ เผชิญกับข้อหาที่อาจถูกจำคุกถึง 150 ปี อันเป็นการคำนวณจากโทษสูงสุดของมาตรานี้ นั่นคือ 15 ปีคูณด้วย 10 กรรม แต่ในความเป็นจริงแม้ศาลลงโทษสูงสุดดังนั้น กฎหมายอาญามาตรา 91 ก็ระบุให้จำคุกโทษฐานนี้ได้สูงสุด 50 ปี
กลางเดือนกันยายน 2560 เมื่อศาลนัดพร้อมตรวจพยานหลักฐาน ประเวศตัดสินใจถอนทนายความของเขาทั้ง 3 คนและประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาล เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการในห้องพิจารณาคดี อัยการลงไปที่ศูนย์นัดความเพื่อกำหนดวันสืบพยานโจทก์เพียงฝ่ายเดียว พวกเขาเปิดสมุดจดงาน แล้วนัดสืบพยานห่างออกไป 8 เดือน นั่นคือ 8-11 พ.ค.2561
คราวนั้น ในการตัดสินใจพลีชีพเพื่อให้โลกเห็นปัญหาความอัปลักษณ์ของการใช้กฎหมายนี้ ปรากฏว่ามีคนอยู่ร่วมสังเกตการณ์คดีในห้องรวมๆ แล้วน่าจะไม่เกิน 10 คน และต่อมาสื่อไทยก็พาดหัวข่าวว่า
ทนายหมิ่นเบื้องสูงหัวแข็ง แถลงรัวไม่รับระบบศาลไทย (เดลินิวส์)
ทนายแดงหมิ่นเบื้องสูงหัวแข็ง ไม่รับระบบศาลไทย/นัดสืบพยาน8พ.ค.ปีหน้า (แนวหน้า)
ทนายเสื้อแดงจำเลย ม.112 อวดดีเปล่งวาจากลางศาลไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมไทย (MRG Online)
ราคาที่"ลิเบอร่าน"ต้องจ่าย! แฉลึกขัง"ประเวศ" ทนายแดงต้าน112 เหตุ10วันโพสต์หมิ่น10 ครั้ง ที่แท้ก๊วนเดียวกับแดงหมิ่นสุดแสบ"ดา ตอร์ปิโด-อ.หวาน" (ทีนิวส์)
กฤษฎางค์ นุตจรัส เป็นทนายความอาวุโสรุ่นพี่และรู้จักกับประเวศมานานพอสมควร เขาเป็นทนายที่ถูกถอนในคดีประเวศด้วย เมื่อถามว่าเขาเห็นด้วยกับแนวทางการต่อสู้เช่นนี้ของประเวศหรือไม่ เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบว่า
“ผมเห็นด้วยเพราะว่าเป็นประเวศ...มันเหมาะสมกับชีวิตของเขา การตัดสินใจของเขาทำให้เขาไม่ทุกข์ไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ เขาตั้งใจจะทำงานที่จริงจัง เขาเป็นคนจริงจัง เราจะเอาอะไรเป็นตัวชี้วัด ถ้าจะเอาการชนะคดี มันก็ผิด คุณไม่สามารถชนะคดีด้วยวิธีแบบนี้ ถ้าจะเอาติดคุกสั้น ก็ไม่ได้อีก ใช้วิธีนี้ไม่ได้อภัย แต่ถ้าตัวชี้วัดเป็นเรื่องความภูมิใจหรือพอใจของตัวเขา มันก็ถือว่าสำเร็จ”
“ต้องยอมรับว่าคดีนี้ในทางกฎหมายเป็นคดีที่คุณไม่มีวันชนะ คือยกฟ้อง หรือพิสูจน์ตัวเองว่าคุณเป็นผู้ถูกต้องตามกฎหมายอาญาปัจจุบัน ไม่มีทางเลย ดังนั้น ผมเลยตอบว่าผมเห็นด้วย เมื่อเทียบเคียงกับสิ่งที่ประเวศเป็น ผมว่าเขามีความสุขที่เขาตัดสินใจแบบนั้น”
จนถึงวันนี้ประเวศถูกคุมขังมา 1 ปีเต็มแล้ว และกำลังจะขึ้นศาลสืบพยาน (โจทก์) นัดแรกในวันพรุ่งนี้ (8 พ.ค.2561) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เวลา 9.00 น.
และจนถึงวันนี้เขายังคงยืนยันคำเดิม
ว่ากันตามจริง เรื่องราวของเขาไม่ได้รับความสนใจมากนัก อานนท์ ชวาลาวัลย์ จากไอลอว์ วิเคราะห์ว่าอาจเป็นเพราะสถานการณ์ในยุคทหารที่มีการปิดกั้น คุกคาม ผู้คนอย่างทั่วถึงและยาวนานทำให้เกิดบรรยากาศของความกลัวที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ประกอบกับประเวศเองไม่ใช่ผู้เคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีชื่อเสียง ไม่สังกัดกลุ่มก้อนใด ทำให้เมื่อถูกจำคุกก็ไม่มีใครคอยเคลื่อนไหวรณรงค์ต่อเนื่อง ที่สำคัญ ประเด็นของเขานั้นสื่อสารรณรงค์ค่อนข้างยาก
หากตีความประโยคสุดท้ายที่อานนท์พูด และลองติดตามดูเฟสบุ๊คของทนายประเวศ เราจะพบว่า นอกจากจะพูดเรื่องระบอบการปกครอง (อื่น) อย่างตรงไปตรงมา เขาไม่ได้มีลักษณะปัญญาชนจ๋าที่แสดงความเห็นอย่างสุภาพเรียบร้อย แจกแจงสิ่งต่างๆ อย่างเป็นระบบ หากเป็นการพูดจาตั้งคำถามไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมหลายต่อหลายครั้ง บางครั้งก็มีมุขคำหยาบคาย หลายครั้งก็ตอบโต้ผู้คนต่างๆ ที่เห็นแย้งเขาอย่างรุนแรงโดยเฉพาะฝ่ายเดียวกัน เขาตั้งคำถามแม้แต่กับสันติวิธีว่าได้ผลจริงหรือไม่หากคู่ขัดแย้งใช้ปืน หรือกระทั่งมีการโพสต์รูปลูกสาวประยุทธ์ จันทร์โอชา “เผื่อใครจะไปเยี่ยม” เพื่อตอบโต้กับกรณีที่ทหารไปคุกคามครอบครัวของแอนดรูว์ แมกกอร์เกอร์ มาร์แชล, สมศักดิ์ และคนอื่นๆ “ทำไมเราจะตอบโต้ในระดับเดียวกันไม่ได้”
“เขาเป็นคนแข็ง โผงผาง ขาดลักษณะแนวร่วม เขาจะสู้ในสิ่งที่เขาคิดว่ามันถูก ผมโดนเค้าต่อว่าบ่อย รุ่นพี่ที่เขาเกรงใจก็ยังโดนเขาตอกกลับเวลาไปเตือนเขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขาโพสต์หรือแสดงความเห็นในเวทีต่างๆ ... ถ้ารู้จักเขาจริงๆ จะรักเขา แต่ถ้าไม่รู้จักจะเกลียดเขา เพราะปากเขาไม่ดี...เขารักความเป็นธรรมแต่มาร่วมต่อสู้กับขบวนการไม่นาน อาจเข้าใจคนอื่นน้อยหน่อย แต่พออยู่ในนั้น (เรือนจำ) ก็เข้าใจคนอื่นมากขึ้น ทำให้เขาเย็นลง”
นั่นคือลักษณะของประเวศในสายตาของทนายความรุ่นพี่
ประเวศ เติบโตในครอบครัวคนจีน อาศัยอยู่ย่านพระโขนง เข้าเรียนนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ปี 2522 รุ่นเดียวกับสุรพล นิติไกรพจน์ แต่เขาไปทำอาชีพอื่นก่อนจะมาทำอาชีพทนายในปี 2534 การชอบช่วยเหลือคนยากไร้และรักความเป็นธรรมของเขาอาจเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ปลายทศวรรษ 2540 เมื่อประเวศเป็นทนายให้จำเลยรวมแล้ว 40-50 คนต่อสู้กับสถาบันการเงินที่เก็บดอกเบี้ยแพงถึง 28% อย่างกัดไม่ปล่อย แม้ท้ายที่สุดจะลงเอยด้วยการที่ศาลปกครองไม่รับพิจารณาเรื่องที่เขายื่นตรวจสอบกฎระเบียบของแบงก์ชาติที่คิดว่าไม่เป็นธรรม นอกจากนี้ยังช่วยเหลือคดีของพวกลูกหนี้บัตรเครดิตอีกเป็นจำนวนมาก
“ถึงตอนนี้ (อยู่ในเรือนจำ) คดีบัตรเครดิตยังมีคนตามมาให้ช่วยเลย ผมเพิ่งเขียนคำให้การส่งออกไปให้เขา” ประเวศกล่าวยิ้มๆ หลังลูกกรง
“สิบสี่ตุลา หกตุลา พฤษภาทมิฬ ผมก็แค่ติดตาม ไม่ได้เข้าร่วมอะไร ตอนเหลืองแดงผมก็เฉยๆ เอาจริงๆ ไม่ได้สนใจการเมืองนัก จนกระทั่งมาเจอเองในคดีของดา (ดารณี) หลังจากนั้นก็เริ่มเล่นอินเทอร์เน็ตและได้อ่านบทความของ อาคม ซิดนีย์ ที่ทำให้ตาสว่าง”
นั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญของเขา จากที่เคยเป็นหัวเรือช่วยเหลือผู้เดือดร้อนในคดีปากท้อง เขาก็เริ่มเข้ามาช่วยคดีชาวบ้านที่เคลื่อนไหวทางการเมือง ทนายรุ่นพี่ของประเวศบอกว่าหลังการปราบคนเสื้อแดงในปี 2553 เขาได้เข้าไปช่วยเหลือคดีชาวบ้านแถวภาคอีสานที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมหลายคดี คดีบุกรุกที่ดินรัฐของผู้ยากไร้ ฯลฯ รวมถึงกรณีที่สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ด้านประวัติศาสตร์คนสำคัญของไทยที่ล่วงลับไปไม่นานนี้ ได้ยื่นฟ้องพ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ฯลฯ ในข้อหาหมิ่นประมาทกรณีแจก “ผังล้มเจ้า” จนในที่สุด เสธ.ไก่อูยอมรับว่าผังนั้นไม่มีมูลความจริง จึงมีการถอนฟ้อง
แม้ประเวศจะเป็นคน “ไม่น่ารัก” ในสายตาคนจำนวนมาก แต่เพื่อนรุ่นน้องผู้ใกล้ชิดประเวศยืนยันว่าเคารพนับถือเขาในแง่ของความจริงใจ ตรงไปตรงมา และสู้หัวชนฝากับสิ่งที่เห็นว่าไม่ถูกต้อง เธอเป็นผู้เปิดเพจ Free Prawet Prapanukul ซึ่งทำหน้าที่รวบรวมข่าวสารของประเวศตามสื่อหรือองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ รายงานความเป็นไปหลังจากเข้าเยี่ยมประเวศ เผยแพร่แถลงการณ์ของเขา รวมถึงเปิดให้ผู้คนที่เคยสัมพันธ์กับประเวศได้เขียนเล่าแง่มุมต่างๆ โดยใช้โคดเนม “ญาติหมายเลข….”
เธอเล่าว่า รู้จักประเวศมาตั้งแต่ปี 2554 ผ่านเรื่องราวทางการเมือง จากนั้นชักชวนกันทำกิจกรรมเพื่อสังคมอื่นๆ อีก เช่น ช่วยเหลือประชาชนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ฯลฯ ก่อนประเวศถูกทหารบุกจับไม่กี่วัน เธอสังหรณ์ใจและได้นัดกินข้าวกับเขาเพื่อตักเตือนเรื่องการแสดงความคิดเห็น แน่นอนว่าเขาไม่ฟังแต่ก็ไม่ตอบโต้เธอรุนแรงดังเช่นคนอื่น หลังประเวศถูกจับกุมและคุมขังในเรือนจำ นอกเหนือจากน้องชายของเขาแล้ว เธอเป็นอีกคนหนึ่งที่ไปเยี่ยมประจำสม่ำเสมอ และตัดสินใจเปิดเพจเพื่อสื่อสารเรื่องประเวศสู่สังคมภายนอก ปัจจุบันมีสมาชิกติดตามอยู่ราว 500 คน
“ช่วงแรกๆ พยายามเปิดแอคเคาน์ Facebook จากในไทย ปรากฎว่าสมัครทั้งเมลล์ใหม่และเฟสใหม่ทั้งหมด 5 ครั้ง เพราะพอเริ่มต้นโพสต์ปุ๊บ วันต่อมาเพจก็จะหายหรือเข้าไม่ได้ทันที ไม่รู้ทำไม เลยต้องรบกวนมิตรสหายที่อยู่ต่างประเทศช่วยตั้งให้ ปรากฎว่าใช้ได้มาจนถึงตอนนี้ อันนี้เราก็ไม่เข้าใจจริงๆ ทั้งๆ ที่ชื่อเพจก็ตั้งเหมือนกัน”
อุปสรรคสำหรับเพื่อนมิตรประเวศมีมากมายหลายขั้นตอน เธอเล่าว่าบางทีแม้แต่การไปเยี่ยมที่เรือนจำ เขาก็มักไม่ออกมา หรือออกมาช้ากว่าปกติ ทำให้เธอต้องรอนานกว่าชาวบ้านชาวช่อง
“แกเป็นคนใจดี เที่ยวไปเป็นธุระให้นักโทษคนอื่นเรื่อย พวกเข้าคุกญาติไม่รู้เรื่องก็เอาเบอร์โทรศัพท์ญาติเขามาบอกให้เราติดต่อให้ ทุกครั้งที่เราไปเยี่ยมก็เพียรพยายามนึกถึงเพื่อนนักโทษที่ไม่มีญาติมาเยี่ยม เวลาถามว่าอยากได้อะไร ก็ไม่ค่อยจะนึกถึงตัวเอง แต่กลับฝากให้เราช่วยซื้อของที่จะเป็นประโยชน์กับนักโทษคนอื่น ล่าสุดนี่ก็รองเท้าแตะ ADDA ไปคิดไซส์ให้เค้าเสร็จสรรพ”
สำหรับประเวศเอง เขาดูนิ่งขึ้นกว่าตอนที่อยู่ข้างนอกจริงๆ เขาบอกว่าโชคดีที่เขาฝึกสมาธิมาบ้างตั้งแต่ปี 2546 ทำให้เขาอยู่กับลมหายใจ อยู่กับปัจจุบันขณะได้ ไม่ฟุ้งซ่าน กระนั้นก็เขายังไปโต้เถียงกับเพื่อนนักโทษที่ชอบสวดมนต์อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ “นั่นมันผี ไม่ใช่พุทธ” เรื่องทางกายภาพเขาก็ปรับตัวได้มาก หลังจากสามสี่วันแรกเขานอนไม่หลับแม้แต่น้อยและอากาศร้อนจนต้องเอาตัวไปชุบน้ำนอนกับพื้นปูน “พอนอนหลับได้ ปัญหาทุกอย่างก็ทุเลา”
“ในนี้หนังสือภาษาไทยมีแต่บทสวดเสียมาก ส่วนหนังสือภาษาอังกฤษมีดีๆ เยอะแต่เราก็อ่านไม่คล่อง ดาวินชี โคด ก็มี ตอนนี้กำลังอ่านนิยายของอกาธา คริสตี้ จำชื่อเรื่องไม่ได้แล้ว พอดีมีเพื่อนช่วยส่งดิกชันนารีเข้ามาวันก่อน เห่อมาก เพราะอยากอ่านเล่มนี้มาก” ประเวศกล่าว
เมื่อถามว่าเขารู้สึกโดดเดี่ยวหรือไม่ เมื่อคำนวณแล้วว่ามีคนมาเยี่ยมเขาประจำอยู่ 2 คน ขณะที่ข่าวคราวของเขาก็แผ่วเบาลงเรื่อยๆ เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบว่า “ไม่โดดเดี่ยวหรอก แต่บางทีก็รู้สึกอ้างว้างบ้าง” เขาเล่าว่าเขาได้กำลังใจจากคนนอกที่เขียนจดหมายมาหาเขา ซึ่งมีอยู่ 2 ฉบับ ที่ตลกคือ เขาท่องเนื้อหาในจดหมายฉบับหนึ่งให้ฟังทุกถ้อยคำเหมือนท่องอาขยาน เพราะเขาอ่านมันบ่อยจนจำมันได้ขึ้นใจ
“....ขอส่งจดหมายนี้มาให้กำลังใจทนายประเวศ ไม่เคยเห็นใครไม่ยอมจำนนต่ออำนาจไปจนสุดทางของหลักการและชีวิต....” จดหมายนั้นมาจากคนชื่อ อ.
คนที่ใกล้ชิดเขาไม่มีใครถามเรื่องการตัดสินใจของเขา แต่คนที่ห่างออกไปมักถามเสมอว่าจะเอาแบบนี้จริงหรือ “คุณเคยเห็นหมาจนตรอกที่มันไม่สู้ไหมล่ะ”
เขาอธิบายว่าสิ่งที่เขากระทำนั้นเป็นไปเพราะไม่มีทางเลือก ไม่เห็นอนาคต หากสู้คดีก็จำคุกอาจจะ 25 ปี หากไม่สู้รับสารภาพก็จำคุกลดลงครึ่งหนึ่ง อย่างไรก็ตายในคุกอยู่ดี
“มันเป็นสถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือก และการสู้แบบนี้เรายังไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร”
“ที่สู้แบบนี้มันไม่ใช่แค่เพียงคดีผม มันคือ 112 ทุกคดี เพราะศาลไม่เป็นกลางในกรณีนี้ ไม่มีสิทธิตัดสินคดี 112 ได้ ดังนั้น แม้แต่คดีที่พิพากษาไปแล้วก็ต้องโมฆะทุกคดี”
ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งอันยาวนาน การใช้มาตรา 112 อย่างหนักหน่วง การเซ็นเซอร์ตัวเองที่แผ่ขยายทั้งกว้างและลึก ทั้งหมดนี้อาจทำลายสำนึกรู้ของเรา จนบางทีเราก็เริ่มงุนงงว่า อะไรล้ำเส้นเป็นความบ้า อะไรคือสิ่งปกติที่ควรเป็น