ศาลปกครองสูงสุดสั่งกรมอุทยานฯ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพิ่มให้ปู่คออี้และพวก จาก 1 หมื่นเป็น 5 หมื่นต่อคน กรณี จนท.เผาบ้านปี 2554 แต่ไม่ให้กลับไปอยู่อาศัยทํากินในพื้นที่เดิม ด้านชัยวัฒน์ อดีตหัวหน้าอุทยานฯ ระบุไม่จำเป็นต้องขอโทษชาวกะเหรี่ยงศาลชี้ชัดบุกรุกป่า ขณะที่ทนายสิทธิเห็นว่าศาลชี้ด้วย จนท.ทำเกินกว่าเหตุ พร้อมรับรองมติครม.ให้ฟื้นฟูชีวิตกะเหรี่ยง
ภาพ สมาชิกกว่า 50 คน ร่วมกันถือหน้ากากปู่คออี้ เพื่อเป็นการแสดงพลังเพื่อให้กำลังใจ (ที่มา amnesty.or.th)
ดูภาพขนาดใหญ่
อินโฟกราฟฟิคโดย อัจฉริยา บุญไชย และทัศมา ประทุมวัน
12 มิ.ย.2561 จากเมื่อเมื่อปี 2559 ศาลปกครองสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีคือกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งหมด โคอิ หรือคออี้ มีมิ กับ พวกรวม 6 คน ชาวกะเหรี่ยงปกาเกอะญอที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กรณีพนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานแห่งชาติ เข้าดําเนินการรื้อถอนเผาทําลายทรัพย์สิน และสิ่งปลูกสร้างที่ใช้อยู่อาศัยของโคอิกับพวก คนละ 10,000 บาท ภายใน 30 วัน แต่คออี้ ชาวบ้านและทนายความเห็นว่าคําตัดสินดังกล่าวยังมีความบกพร่อง คลาดเคลื่อน และยัง วินิจฉัยไม่ครบประเด็นตามคําฟ้องจึงยื่นอุทธรณ์คําพิพากษาดังกล่าว
ล่าสุดวันนี้ ศาลปกครองสูงสุดมีคําพิพากษาแก้คําพิพากษาของศาลปกครอง (อ่านคำพิพากษาฉบับเต็มที่นี่) ให้กรม อุทยานแห่งชาติฯ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมให้แก่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 คือ คออี้ เป็นเงิน 51,407 บาท และพวกประกอบด้วย ผู้ฟ้องคดีที่ 2 เป็นเงิน 50,032 บาท ผู้ฟ้องคดีที่ 3 เป็น เงิน 51,407 บาท ผู้ฟ้องคดีที่ 4 เป็นเงิน 45,302 บาท ผู้ฟ้องคดีที่ 5 เป็นเงิน 50,807 บาท และผู้ฟ้องคดีที่ 6 เป็นเงิน 50,032 บาท หากผู้ฟ้องคดีรายใดได้รับค่าสินไหมทดแทนสำหรับสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินกรณีนี้ไปแล้วให้หักออกจากค่าสินไหมทดแทนตามคําพิพากษานี้ ทั้งนี้ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคําพิพากษา นอกจากที่แก้ให้ เป็นไปตามคําพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น
สําหรับอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 ที่ขอให้กลับคืนสู่สภาพเดิมก่อนมีคําสั่งทางปกครองของ เจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 นั้น เมื่อผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 ไม่มีสิทธิที่จะอยู่อาศัยในที่ดินพิพาท เนื่องจากที่ดินพิพาทอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 ไม่มีหนังสือสําคัญแสดงสิทธิในที่ดินหรือหลักฐานแสดงการได้รับอนุญาตจากทางราชการให้ครอบครองทําประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่อาจกําหนดคําบังคับให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 กลับคืนสู่สภาพเดิม โดยให้กลับไปอยู่อาศัยและทํากินในพื้นที่เดิมได้
รายละเอียดเพิ่มเติม ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า การใช้อํานาจตามมาตรา 22 แห่ง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ของพนักงานเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในการรื้อถอนเผาทําลาย สิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 แม้จะเป็นมาตรการหรือวิธีการที่มีผลทําให้การป้องกันและปราบปรามการบุกรุกยึดถือครอบครองที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติ ตลอดจนการอื่นที่เป็นความผิดต่อกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติบรรลุผลตามวัตถุประสงค์หรือเจตนารมณ์ของกฎหมายก็ตาม แต่บทบัญญัติดังกล่าวมิได้ให้อํานาจดุลพินิจแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในอันที่จะเลือกใช้มาตรการบังคับทางปกครองอย่างใดก็ได้ตามอําเภอใจหรือโดยพลการ โดยเฉพาะการรื้อถอนเผาทําลายทรัพย์สินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้อยู่อาศัย ย่อมมีผลกระทบกระเทือนต่อสิทธิในทรัพย์สินหรือสิทธิอื่นใดของผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 อย่างรุนแรง และก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 เกินสมควรเมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาไว้ซึ่งประโยชน์สาธารณะ
กรณีเช่นนี้พนักงานเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ยิ่งสมควรต้องออกคําสั่งทางปกครองเป็นหนังสือแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 จัดการกับสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินของตนเสียก่อน และแม้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 จะมิได้ปฏิบัติตามคําสั่งดังกล่าวก็ยังไม่อาจใช้มาตรการบังคับทางปกครองดําเนินการหรือมอบหมายให้บุคคลอื่นเข้าทําลายหรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างได้ในทันที ยังต้องแจ้งคําเตือน เป็นหนังสือให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 กระทําการตามคําสั่งภายในระยะเวลาที่กําหนดตามสมควร ระบุค่าใช้จ่าย หรือจํานวนค่าปรับทางปกครอง ระยะเวลาดําเนินการและเจ้าหน้าที่ผู้ดําเนินการโดยแจ้งเตือนก่อนเริ่ม ดําเนินการภายในระยะเวลาอันสมควร พร้อมทั้งปิดประกาศคําสั่งแจ้งเตือนก่อนเริ่มดําเนินการภายใน ระยะเวลาอันสมควร จัดทําบันทึกการปิดประกาศไว้เป็นหลักฐาน และภายหลังจากดําเนินการแล้ว ก็ต้องจัดทําบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับการดําเนินการ บัญชีทรัพย์สินที่ทําลายหรือรื้อถอน หรือทรัพย์สินอื่น ที่ได้เก็บรักษาไว้ในความครอบครองของเจ้าหน้าที่ แผนที่สังเขปบริเวณที่ดําเนินการพร้อมภาพถ่าย แล้วนําเรื่องราวทั้งหมดพร้อมพยานหลักฐานไปแจ้งความลงบันทึกประจําวันไว้เป็นหลักฐาน ณ สถานี ตํารวจภูธรแห่งท้องที่ในทันที
ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้อํานาจของ พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 22 แห่ง พ.ร.บ. ดังกล่าว ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 กําหนดไว้ในคู่มือปฏิบัติงานป้องกันและปราบปรามการบุกรุกทําลายทรัพยากรป่าไม้
เมื่อไม่ปรากฏว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ออกคําสั่งเป็นหนังสือสั่งให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 รื้อถอนหรือทําลายสิ่งปลูกสร้างและขนย้าย ทรัพย์สินของตนออกไปให้พ้นจากอุทยานแห่งชาติ และแจ้งคําเตือนเป็นหนังสือก่อนเข้าดําเนินการ การรื้อถอนเผาทําลายสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 บริเวณพื้นที่บ้านบางกลอยบนและ บ้านใจแผ่นดินซึ่งถือเป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ) ในเขตอุทยาน แห่งชาติแก่งกระจาน จึงเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกถึงผลเสียหายที่จะเกิดจากการกระทําดังกล่าว และเป็นการใช้อํานาจเกินความจําเป็นไม่สมควรแก่เหตุ รวมถึงไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสําคัญที่กําหนดไว้สําหรับการใช้อํานาจของเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 22 แห่ง พ.ร.บ. ดังกล่าว ตลอดจนไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2553 เรื่อง แนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ในส่วนของการจัดการทรัพยากรที่ให้ยุติการจับกุมและให้ความคุ้มครองกับชุมชน กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่เป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมที่อยู่ในพื้นที่ข้อพิพาทเรื่องที่ทํากินในพื้นที่ดั้งเดิม
ดังนั้น การกระทําของพนักงานเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและทําให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 อันเป็นการกระทําละเมิต ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539
สําหรับการกําหนดค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 นั้น เห็นว่า โดยที่สิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลย่อมมีสิทธิในการดํารงชีวิตและสิทธิในทรัพย์สิน ไม่มีบุคคลใดที่จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้หากปราศจากเครื่องอาศัยยังชีพ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค อันเป็นปัจจัยสําคัญในการดำรงชีวิต อีกทั้งบุคคลไม่อาจถูกจํากัดแต่การมีชีวิตอยู่เยี่ยงสิ่งมีชีวิตหนึ่งๆ เท่านั้น แต่ต้องตํารงชีวิตอยู่ ฃได้อย่างปกติสุขและมีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ด้วย หากสิทธิดังกล่าวถูกลิดรอนโตยไม่ชอบด้วยกฎหมายทําให้เกิดความเสียหาย บุคคลนั้นย่อมต้องได้รับการเยียวยาแก้ไขความเสียหาย เมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดในคดีนี้ ประกอบข้อเท็จจริงปรากฏว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 สามารถใช้ดุลพินิจไม่ใช้มาตรการที่มีความรุนแรงกระทําต่อสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 ได้แม้จะมีกฎหมายให้อํานาจไว้ก็ตาม การเผาทําลายสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินจึงทําให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 ต้องสูญเสียปัจจัยสําคัญในการดํารงชีวิต ถือเป็นพฤติการณ์ที่มีความร้ายแรง กระทบกระเทือนสาระสําคัญแห่งสิทธิในการดํารงชีวิตและสิทธิในทรัพย์สินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลปกครองสูงสุดจึงกําหนดค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 ดังนี้ กรณีค่าเสียหายจากการที่สิ่งปลูกสร้างถูกรื้อถอนเผาทําลายกําหนดให้เป็นเงินกึ่งหนึ่งของราคาประมาณการก่อสร้างตามคําชี้แจงของนายกองค์การบริหารส่วนตําบลห้วยแม่เพรียงเกี่ยวกับการก่อสร้างบ้านและยุ้งฉางของผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแก่สิ่งของเครื่องใช้ในครัวเรือนทั้งหมดเป็นเงิน 5,000 บาท และค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับของใช้ส่วนตัวเป็นเงิน 5,000 บาท ส่วนกรณีค่าเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิในทรัพย์สินตามรัฐธรรมนูญ ค่าเสียหายจากการถูกละเมิตเสรีภาพในการที่จะอยู่อาศัยและครอบครองเคหสถานโดยปกติสุข ค่าฟื้นฟูจิตใจที่ถูกเผาทําลายบ้านและถูกผลักดันให้จําต้องอพยพมาอยู่ที่บ้านบางกลอยและบ้านโป่งลึก ค่าขาดประโยชน์จากการสูญเสียโอกาสทําการเกษตรในที่ดินทํากินรวมทั้งสิทธิในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ และค่าเสียหายจากการสูญเสียอัตลักษณ์ชาติพันธุ์และ ศักยภาพในการสืบทอดวัฒนธรรมนั้น ศาลปกครองสูงสุดไม่ได้กําหนดค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 6
นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานฯ ภาพจาก เพจ Banrasdr
ไม่ต้องขอโทษ คำพิพากษายืนยันบุกรุกจริง
เว็บไซต์มติชนรายงานว่า นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าชุดเฉพาะกิจพญาเสือ และผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 10 (อุดรธานี) ในฐานะอดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เปิดเผยว่า น้อมรับในคำตัดสินของศาลครั้งนี้ หลังจากนี้จะไปดูรายละเอียดคำสั่งศาลจำนวน 57 หน้า เพื่อดำเนินการชดใช้ตามกฎหมาย
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ในคำพิพากษาศาลระบุว่าการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 22 ของพ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติปี 2504 ดำเนินการโดยชอบแล้ว แต่อาจมีความผิดพลาดในขั้นตอนปฏิบัติซึ่งถือเป็นบทเรียนให้เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบในเรื่องของเอกสาร มีการปิดประกาศ แจ้งเตือน การจะไปบอกโดยปากเปล่าคงไม่สามารถทำได้อีก อย่างไรก็ตามไม่คิดว่าจำเป็นต้องขอโทษชาวปกาเกอะญอ เพราะเป็นผู้ที่บุกรุกผืนป่า และศาลปกครองสูงสุดก็ชี้ขาดแล้วว่าบุกรุกจริง ไม่ให้กลับไปอยู่ในพื้นที่เดิมอีก การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่จึงเป็นการรักษาธรรมชาติ และพร้อมที่จะถูกสอบวินัยกรณีที่ทำให้รัฐเสียหายจากการต้องจ่ายค่าชดเชยดังกล่าว อีกทั้งหากมีการนำเรื่องไปฟ้องศาลอาญาก็พร้อมสู้คดีต่อไป
“ขอโทษคงไม่ขอโทษ คิดว่าเรื่องนี้ใครก็รู้ว่าใครบุกรุกป่า คำพิพากษาวันนี้ผมภูมิใจที่ต่อไปจะไม่มีใครสามารถบุกรุกป่าแก่งกระจานได้อีกแล้ว โดยเฉพาะ 6 คนนี้ ซึ่งในส่วนของผมทำอย่างเต็มความสามารถที่สุดแล้ว และผมคิดว่าคนที่ฟ้องกรมอุทยานฯ ก็รู้ดีว่าตัวเองมีความผิดหรือไม่” นายชัยวัฒน์กล่าว
กรมอุทยานฯ ทำเกินกว่าเหตุ รับรองมติ ครม.เอื้อกลุ่มชาติพันธุ์
นายสุรพงษ์ กองจันทึก หัวหน้าคณะทำงานสภาทนายความ กล่าวว่าคำพิพากษาในวันนี้เป็นการยืนยันว่า กรมอุทยานฯ ใช้อำนาจเกินกว่าเหตุในการเข้ารื้อถอน เผา ทำลาย บ้านและทรัพย์สินของชาวกะเหรี่ยงที่บ้านบางกลอยบนและบ้านใจแผ่นดิน ซึ่งเป็นชุมชนดั้งเดิมของชาวกะเหรี่ยงในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และที่สำคัญเป็นคำพิพากษาที่ยืนยันว่ามติ ครม. 3 สิงหาคม 2553 เรื่องแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง เป็นข้อกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ ซึ่งในมติครม.ดังกล่าวมีการห้ามจับกุมชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่พิพาทและให้คุ้มครองชุมชนชาวกะเหรี่ยงที่เป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมในพื้นที่จนกว่าจะมีการพิสูจน์สิทธิตามกฎหมาย ซึ่งหลังจากนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องกลับไปปฏิบัติตามมติครม.นี้ให้เป็นรูปธรรม
ภรรยาบิลลี่ รักจงเจริญ ภาพจาก เพจ Banrasdr
ปู่คออี้อยากกลับบ้าน
นางพิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยานายบิลลี่ หรือนายพอละจี รักจงเจริญ นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนชาวกระเหรี่ยงบ้านบางกลอยที่หายตัวไป กล่าวว่า แม้ว่าศาลจะสั่งให้กรมอุทยานฯชดใช้ค่าเสียหาย แต่สิ่งนี้ไม่สามารถชดเชยสิ่งที่ต้องสูญเสียบ้านเกิดไป และวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะกลับไปอยู่ที่ใจแผ่นดินได้อีกหรือไม่ จึงขอวิงวอนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้รับรองสถานะเพื่อกลับไปอยู่ที่บ้านใจแผ่นดินดังเดิม และคิดว่าปู่โคอิ ก็คงเสียใจเพราะทุกวันนี้ไม่มีความสุขที่ต้องไปอยู่บ้านบางกลอยล่าง เพราะไม่ใช่บ้านเกิด โดยเคยพูดเสมอว่าเหมือนมาอาศัยที่คนอื่นอยู่ และปู่อยากกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้านเกิดของตัวเอง
กรรมการสิทธิฯ หวังดันมติ ครม.ให้เป็นจริง
นางเตือนใจ ดีเทศน์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) กล่าวว่า จากนี้ไปกรรมการสิทธิฯจะเร่งผลักดันให้รัฐบาลปฏิบัติตามมติครม. 3 สิงหาคม 2553 เรื่องการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ซึ่งในปีนี้เป็นปีที่รัฐบาลและ กสม.จะต้องทำรายงานเกี่ยวกับสิทธิชุมชน ชาติพันธุ์ ชนเผ่าพื้นเมืองรายงานต่อยูเอ็น เพราะถ้าไม่เร่งรัดปฏิบัติตามมติครม.นี้จะมีชนเผ่าพื้นเมืองอื่นที่อยู่ในเขตป่ากว่า 8 แสนคน ได้รับผลกระทบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันนี้นายโคอิไม่สามารถเดินทงมาฟังคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดด้วยตนเองได้เนื่องจากป่วยเป็นไข้หวัดและอาการไอหนัก
ขณะที่ตัวแทนผู้ฟ้อง กล่าวว่า ยังมีความหวังว่าจะได้กลับเข้าไปในพื้นที่ หลังจากนี้จะนำคำตัดสินศาลวันนี้ไปเล่าให้ปู่คออี้ฟัง ซึ่งคงจะเสียใจมากที่ไม่ได้กลับเข้าไปในพื้นที่ เพราะตอนนี้ปู่คออี้อายุมากและมีปัญหาสุขภาพด้วย
ลำดับเหตุการณ์ โดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ก่อนมีคำพิพากษาในวันนี้
2448 ปู่คออี้เกิด และอยู่อาศัยในพื้นที่แก่งกระจาน
2524 ประกาศพื้นที่แก่งกระจานเป็น “อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน”
2539 เจ้าหน้าที่ให้กะเหรี่ยงซึ่งอาศัยอยู่บางกลอยบน หรือ "ใจแผ่นดิน" อพยพลงมาจากบ้านที่เขาอ้างว่าอยู่ตั้งแต่เกิด มาอยู่ที่บ้านโป่งลึก-บางกลอย แต่ปู่คออี้ ไม่ชินกับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างออกไป จึงกลับขึ้นไปอยู่บ้านเกิดของตน ณ บางกลอยบนตามเดิม
2554 เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน นำโดยชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานในขณะนั้น ได้ดำเนินการไล่รื้อ เผาบ้าน และยุ้งฉางข้าว รวมทั้งยึดเครื่องมือ เครื่องใช้อุปกรณ์ในการทำไร่ของชาวกะเหรี่ยงโป่งลึก-บางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี รวมจำนวน 6 ครั้ง และปู่คออี้ยังถูกนำตัวขึ้นเฮลิคอปเตอร์ลงสู่พื้นที่ด้านล่าง
2555 ปู่คออี้ต่อสู้คดีในชั้นศาล หมายเลขคดีดำที่ ส.58/2555 กับพวกรวม 6 คนเป็นผู้ฟ้องคดีเพื่อเรียกค่าเสียหายกรณีที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานและขอสิทธิกลับไปอยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ป่าแก่งกระจานที่เป็นพื้นที่ดั้งเดิมที่ชาวกะเหรี่ยงได้ตั้งรกรากอาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณลำห้วยเหนือแม่น้ำบ้านบางกลอยบน มาแต่ครั้งบรรพบุรุษเป็นเวลาร่วมกว่าร้อยปี
2557 พอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ อายุ 30 ปีแกนนำกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย หนึ่งในพยานของคดีการรื้อถอนและเผาบ้านกะเหรี่ยง อีกทั้งยังเป็นหลานของปู่คออี้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
2559 ศาลปกครองตัดสินกรณีเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานขึ้นไปเผาบ้านเรือน ยุ้งข้าว และรื้อทำลายทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 คน โดยผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 6 ก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติและมีการล่าสัตว์ ถือว่ากระทำความผิดตามมาตรา 16 (1)(ครอบครองที่ดินและแผ้วถางป่า)16(2)(เก็บหาหรือทำให้ทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมสภาพ) และ 16(3) (นำสัตว์ออกไปหรือทำอันตรายแก่สัตว์) แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ส่วนการรื้อถอนด้วยวิธีเผาทำลายเพิงพักและยุ้งฉาง ศาลตัดสินว่าเป็นการดำเนินการที่ถูกต้องเหมาะสมตามหลักความได้สัดส่วนและตามควรแก่กรณีสภาพการณ์ เพราะหากรื้อถอนไปแล้วคงเหลือวัสดุก่อสร้างไว้ที่เดิม ย่อมจะทำให้ผู้กระทำความผิดนำไปใช้ในการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างขึ้นใหม่ได้ ถือได้ว่าเป็นการใช้อำนาจโดยชอบของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 22 แห่ง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 โดยศาลให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งหมดคนละ 10,000 บาท ภายใน 30 วัน
แต่ปู่คออี้ ชาวบ้าน และทนายความเห็นว่าคำตัดสินดังกล่าวยังมีความบกพร่อง คลาดเคลื่อน และยังวินิจฉัยไม่ครบประเด็นตามคำฟ้องจึงยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าว
2561 ศาลปกครองสูงสุดนัดพิจารณาคดีครั้งแรก ฝ่ายปู่คออี้โต้แย้งในประเด็นหลัก คือ ความมีอยู่จริงของการตั้งถิ่นฐานดั้งเดิมของตนและชาวบ้านกะเหรี่ยงในพื้นที่บ้านบางกลอยบน-ใจแผ่นดิน ซึ่งมติครม. เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2553 เคยรับรองการมีอยู่ของชุมชนดั้งเดิมชาวกะเหรี่ยง รวมถึงวิถีทางวัฒนธรรมและการผลิตแบบไร่หมุนเวียนว่าไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังโต้แย้งการอ้างอิงแนวปฏิบัติตามมาตรา 22 แห่ง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ว่าไม่ได้อนุญาตให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจเผาบ้านชาวบ้าน และตามขั้นตอนแล้ว ต้องติดประกาศเตือนอย่างชัดเจนก่อน หากชาวบ้านไม่ทำตามจึงใช้อำนาจศาลสั่งให้โยกย้ายชาวบ้านออกจากพื้นที่
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)