Skip to main content
sharethis

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้รายงานว่า เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2561 ศาลจังหวัดพลนัดฟังคำพิพากษาคดีเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติในจังหวัดขอนแก่น รวม 3 คดี ได้แก่ คดีเผาซุ้มฯ ในอำเภอบ้านไผ่, คดีเผาซุ้มฯ ในอำเภอชนบท และคดีตระเตรียมเผาซุ้มฯ ในอำเภอเปือยน้อย ซึ่งมีจำเลย 2 ราย คือ นายปรีชา (สงวนนามสกุล) อายุ 45 ปี และนายสาโรจน์ อายุ 44 ปี ถูกจับกุมและดำเนินคดี  โดยก่อนหน้านี้ศาลได้พิจารณาคดีของจำเลยไปแล้ว 9 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยรุ่นและเยาวชน โดยการอ่านคำพิพากษาในวันนี้ถูกเลื่อนมาจากวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 ซึ่งในวันดังกล่าวศาลระบุว่า ยังเรียงคำพิพากษาไม่เสร็จ

ศาลได้อ่านคำพิพากษาว่า คดีวางเพลิงเผาซุ้ม ร.10 ที่ อ.บ้านไผ่ จนซุ้มได้รับความเสียหายบางส่วนนั้น อัยการได้ฟ้องนายปรีชาและนายสาโรจน์ว่า ร่วมกับจำเลยอีก 6 คน ที่ศาลได้พิพากษาลงโทษแล้วในความผิดฐานเป็นอั้งยี่ (ประมวลกฎหมายอาญา ม.209) เป็นซ่องโจร (ม.210) ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น (ม.217) ทำให้เสียทรัพย์ (ม.238) และหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ (ม.112) ศาลพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตาม ม.209 วรรคแรก ม.210 วรรคสอง ม.217 และ ม.358 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด ฐานเป็นอั้งยี่ จำคุกคนละ 1 ปี ฐานเป็นซ่องโจร จำคุกคนละ 2 ปี ฐานร่วมกันวางเพลิงฯ และทำให้เสียทรัพย์ เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานวางเพลิงฯ จำคุกคนละ 7 ปี รวมจำคุกคนละ 10 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ลดโทษให้ครึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 5 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก

ในส่วนคดีวางเพลิงเผาซุ้ม ร.9 ที่ อ.ชนบท จำนวน 2 ซุ้ม โจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้ง 2 คนว่าร่วมกับจำเลยอีก 4 คน ที่ศาลได้พิพากษาลงโทษแล้วว่ามีความผิดฐานเป็นอั้งยี่ เป็นซ่องโจร ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น และร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ศาลพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตาม ม.209 วรรคแรก 210 วรรคสอง และ ม.217 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด ฐานเป็นอั้งยี่ จำคุกคนละ 1 ปี ฐานเป็นซ่องโจร จำคุกคนละ 2 ปี ฐานร่วมกันวางเพลิงฯ จำคุกคนละ 7 ปี รวมจำคุกคนละ 10 ปี  จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพลดโทษให้ครึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 5 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก และให้จำเลยทั้งสองร่วมกับจำเลยอีก 4 คน ที่ศาลพิพากษาไปแล้ว ชำระค่าเสียหายจำนวน 958,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 12 พ.ค. 60 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่เทศบาลตำบลชนบท

และในคดีเตรียมการวางเพลิงเผาซุ้ม ร.10, ร.9 และพระราชินี ที่ อ.เปือยน้อย โจทก์ฟ้องนายปรีชาและนายสาโรจน์ว่า ร่วมกับจำเลยอีก 2 คนที่ศาลได้พิพากษาลงโทษแล้ว เป็นความผิดฐานเป็นอั้งยี่ ร่วมกันตระเตรียมวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น (ม.217, 219) และหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ศาลพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตาม ม.209 วรรคแรก ม.217 ม.219 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด ฐานเป็นอั้งยี่ จำคุกคนละ 1 ปี  ฐานร่วมกันตระเตรียมวางเพลิงฯ จำคุกคนละ 4 ปี รวมจำคุกคนละ 5 ปี  จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพลดโทษให้ครึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 2 ปี 6 เดือน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก   

ทั้งนี้ จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลเดียวกันในทั้งสามคดี ซึ่งศาลให้นับโทษต่อกันตามที่โจทก์ขอ ทำให้นายปรีชาและนายสาโรจน์ ต้องโทษจำคุกรวม 12 ปี 6 เดือน

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้ตั้งข้อสังเกตต่อผลการพิพากษาในครั้งนี้ว่า แม้โจทก์จะฟ้องจำเลย 9 คน และต่อมาฟ้องนายปรีชาและนายสาโรจน์ว่า ร่วมกันกระทำความผิด โดยมีพฤติการณ์เช่นเดียวกัน และฟ้องในความผิดฐานเดียวกัน แต่ศาลจังหวัดพลกลับมีคำพิพากษาที่ต่างกัน โดยในคดีของนายปรีชาและนายสาโรจน์ ศาลได้ยกฟ้องในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 แต่ศาลจังหวัดพลได้พิพากษาเอาผิดจำเลยทั้ง 8 คน ที่ได้ตัดสินไปก่อนหน้านี้ในข้อหา ม.112 ดังนี้ 
 

คดีอาญาหมายเลขดำที่ 1267/2560 (เผาซุ้มใน อ.บ้านไผ่) ซึ่งมีนายไตรเทพ กับพวกรวม 6 คน เป็นจำเลย พิพากษาว่า จำเลยทั้งหกมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112, 209 วรรคแรก ม.210 วรรคสอง ม.217 และ ม.358 ฐานเป็นอั้งยี่ จำคุกคนละ 1 ปี ฐานเป็นซ่องโจร จำคุกคนละ 2 ปี ฐานร่วมกันวางเพลิงฯ ทำให้เสียทรัพย์ หมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์  เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานหมิ่นฯ พระมหากษัตริย์ จำคุกคนละ 7 ปี รวมจำคุกคนละ 10 ปี จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 6 อายุเกิน 18 ปี แต่ไม่เกิน 20 ปี ลดมาตราส่วนกระทงละ 1 ใน 3 และลดโทษครึ่งหนึ่งเนื่องจากจำเลยทั้งหมดรับสารภาพ คงจำคุกจำเลยที่ 1,ที่ 3 ถึงที่ 6 คนละ 2 ปี 16 เดือน และคงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 5 ปี

คดีอาญาหมายเลขดำที่ 1268/2560 (เผาซุ้มใน อ.ชนบท) ซึ่งมีนายไตรเทพ และพวกรวม 4 คน เป็นจำเลย พิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 ม.209 วรรคแรก ม.210 วรรคสอง ม.217 ฐานเป็นอั้งยี่ จำคุกคนละ 1 ปี ฐานเป็นซ่องโจร จำคุกคนละ 2 ปี ฐานร่วมกันวางเพลิงฯ หมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์  เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานหมิ่นฯ พระมหากษัตริย์ จำคุกคนละ 10 ปี รวมจำคุกคนละ 13 ปี จำเลยที่ 1 ที่ 3-4 อายุเกิน 18 ปี แต่ไม่เกิน 20 ปี ลดมาตราส่วนกระทงละ 1 ใน 3 และลดโทษครึ่งหนึ่งเนื่องจากจำเลยทั้งหมดรับสารภาพ คงจำคุกจำเลยที่ 1,ที่ 3-4 คนละ 3 ปี 16 เดือน และคงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 ปี 6 เดือน ทั้งนี้ จำเลยทั้งสี่เป็นบุคคลเดียวกับจำเลยที่ 1-4 ในคดีหมายเลขดำที่ 1267/2560 ซึ่งศาลให้นับโทษจำคุกทั้งสองคดีต่อกัน และให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 958,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามราคาก่อสร้างซุ้ม 2 ซุ้ม ที่เทศบาลตำบลชนบท ผู้เสียหายร้องต่อศาล (อ่านข่าวย้อนหลังที่นี่)

คดีอาญาหมายเลขดำที่ 1269/2560 (ตระเตรียมเผาซุ้มใน อ.เปือยน้อย) ซึ่งมีนายหนูพิณ และนายฉัตรชัย เป็นจำเลย พิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตาม ม.209 วรรคแรก ม.217 และ ม.219 ฐานเป็นอั้งยี่ จำคุกคนละ 1 ปี, ฐานร่วมกันตระเตรียมวางเพลิงฯ, หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์  เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานหมิ่นฯ พระมหากษัตริย์ จำคุกคนละ 4 ปี รวมจำคุกคนละ 5 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพลดโทษให้ครึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 2 ปี 6 เดือน

 



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน: จำคุก 2 จำเลยเผาซุ้ม 3 คดี รวม 12 ปีครึ่ง ยกฟ้องข้อหา 112

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net