Skip to main content
sharethis

สัมมนาคู่ขนานเวทีเจรจาการค้าเสรี 16 ประเทศ 'RCEP' ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ห่วงเจรจา RCEP ขยายการผูกขาดข้อมูลทางยาและสิทธิบัตรยา ระยะยาวจะเพิ่มต้นทุนทางการแพทย์-สร้างภาระให้ผู้ป่วย ขณะที่ไบโอไทยจับตาอนุสัญญา UPOV1991 หวั่นบรรษัทผูกขาดเมล็ดพันธุ์พืช สิ่งที่ควรเป็นทรัพยากรธรรมชาติ จะกลายเป็นทรัพย์สินบริษัท

ภาพประกอบโดย อิศเรศ เทวาหุดี | ดัดแปลงจากแหล่งภาพประกอบ: Wikipedia (Public Domain) CEphoto/Uwe Aranas และ Crisco 1492 (CC BY-SA 3.0)

ในการประชุมความตกลงพันธมิตรทางการค้าระดับภูมิภาค (The Regional Comprehensive Economic Partnership - RCEP) หรืออาร์เซ็ป ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมครั้งที่ 23 ระหว่างวันที่ 17-27 กรกฎาคมนั้น นอกจากนี้ยังมีการประชุมเวทีคู่ขนานโดยภาคประชาสังคม 25 องค์กรเมื่อวันที่ 20 ก.ค. ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยร่วมกันอภิปรายผลกระทบหากไทยทำความตกลงใน RCEP และ CPTPP หรือ ความพยายามเข้าร่วมความตกลงการเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก

จับตาเจรจาการค้าเสรี RCEP เมื่อผลประโยชน์นักลงทุนอยู่เหนือประชาชน, 24 ก.ค. 2561

25 องค์กรร้องยุติเจรจาค้าเสรีอาเซียน +6 เข้า CPTPP ชี้กระทบสิทธิ-วิถีชีวิต ไม่ลงนามยุครัฐประหาร, 21 ก.ค. 2561

คุ้มแน่หรือเจรจา RCEP? บทเรียนการคุ้มครองนักลงทุน (มากกว่าประชาชน), 11 ก.ค. 2561

ความตกลง RCEP ที่ไทยเตรียมเจรจา จะก่อผลกระทบต่อชาวนา ที่ดิน และอาหาร, 20 มิ.ย. 2561

ข้อตกลงการค้าข้ามชาติที่ไทยเจรจา ทำชาวนาสูญเสียการควบคุมเมล็ดพันธุ์, 6 มิ.ย. 2561

หวั่น RCEP เพิ่มเงื่อนไขผูกขาดสิทธิบัตรยา เพิ่มต้นทุนการแพทย์ สร้างภาระผู้ป่วย

เฉลิมศักดิ์ กิตติตระกูล มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ อธิบายถึงผลกระทบของการเจรจา RCEP ว่าด้วยเรื่องของยากับสิทธิบัตร โดยแต่เดิมจุดมุ่งหมายของการให้มีเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา คือต้องการให้คนประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ๆ โดยให้เรื่องการผูกขาด เพื่อให้ทำการค้าและได้เงินกลับมา แล้วเอาเงินนี้ไปคิดค้นสิ่งใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ต่อมากลายเป็นการเน้นที่เรื่องการผูกขาดมากกว่าเรื่องการคิดค้นใหม่ โดยทรัพย์สินทางปัญญาแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ สิทธบัตร (ผลิตภัณฑ์รวมถึงยา), ลิขสิทธิ์ (เพลง วรรณรรม ภาพยนตร์ ฯลฯ), เครื่องหมายการค้า (ยี่ห้อสินค้า ชื่อยี่ห้อสินค้า ตราสินค้า ฯลฯ) หน่วยงานที่ดูแลสิทธิบัตรคือกระทรวงพาณิชย์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งมี พ.ร.บ.สิทธิบัตรให้การคุ้มครอง 20 ปี หน่วยงานที่ดูแลยาคือกระทรวงสาธารณสุข โดยมีสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และ พ.ร.บ. ยา

ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นรูปแบบการค้าอย่างหนึ่ง องค์การการค้าโลกจัดเจรจาและได้ข้อตกลงทริปส์ (TRIPS) ซึ่งประเทศสมาชิกต้องนำไปกำหนดเป็นกฎหมาย ข้อตกลงนี้สร้างความเสียเปรียบเพราะบังคับให้ทุกประเทศต้องคุ้มครองสิทธิบัตร 20 ปี และเปลี่ยนจากการคุ้มครอง “ขั้นตอน” เป็นคุ้มครองผลิตภัณฑ์ด้วย จากเดิมที่คุ้มครองแต่ขั้นตอน ซึ่งหากมีขั้นตอนการผลิตที่ต่างออกไปและทำให้ได้ผลิตภัณฑ์แบบเดิมสามารถทำได้ หลังจากมีข้อตกลงทริปส์ก็กลายเป็นว่าไม่สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่ถูกคุ้มครองได้เลย

ในขณะที่ไทยแก้กฎหมายล่วงหน้า 2 ปีก่อนจะประกาศใช้ข้อตกลงทริปส์ อินเดียขอเลื่อนการใช้ 5 ปี และยื่นขอเลื่อนจากองค์การค้าโลกอีก 3 ปี เป็น 8 ปี และใน 8 ปีนั้นอินเดียพัฒนาศักยภาพการผลิตยาให้เข้มแข็ง จนปัจจุบันอินเดียเป็นแหล่งผลิตยาสำคัญของโลก และขายไปทั่วโลกในราคาที่ไม่แพง แต่ข้อดีของทริปส์คือมีมาตรการยืดหยุ่น ประเทศเผชิญวิกฤตก็อนุโลมให้ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาได้ และมีปฏิญญาโดฮาที่สำทับว่าจะต้องถือเรื่องสาธารณสุขมาก่อนเรื่องการค้า

เรื่องของ “สิทธิบัตร” ยา ที่ระบุในข้อตกลง RCEP และ CPTPP

กรณีของญี่ปุ่น ขอให้เพิ่มเรื่อง 1.) วิธีการใช้ยา หมายความว่าเราต้องจ่ายค่าสิทธิบัตรในการที่หมอสั่งจ่ายยาตัวนี้ 2.) รูปแบบใหม่ของยา เช่น ยาชนิดนี้เป็นเม็ด และเมื่อจะทำเป็นน้ำด้วย กฎหมายไทยไม่ให้การคุ้มครอง แต่ญี่ปุ่นเรียกร้องให้คุ้มครองด้วย 3.) การผูกขาดข้อมูลทางยา 4.) การเอาผิดกับบุคคลที่สาม ซึ่งแต่เดิมคือการฟ้องร้องระหว่างบริษัทกับบริษัท แต่ถ้าเป็นบุคคลอาจหมายรวมตั้งแต่คนผลิตบรรจุภัณฑ์ คนส่งยา โรงพยาบาล ไปจนถึงคนไข้ 5.) การเพิ่มโทษทางอาญา ไม่ใช่แค่ทางแพ่ง บริษัทที่ละเมิดอาจติดคุกได้ 6.) มาตรการชายแดน เช่น สามารถยึดสินค้าได้หากมีการแวะถ่ายเปลี่ยนสินค้าในประเทศที่มีมาตรการนี้

เกาหลีใต้ ได้ยื่นขอเพิ่ม 2 เรื่อง 1.) การขยายอายุสิทธิบัตรจากการให้สิทธิบัตรล่าช้า โดยระยะเวลาชดเชย เท่ากับ ระยะเวลาที่ล่าช้า 2.) การเอาผิดกับบุคคลที่สาม โดยรายละเอียดที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ขอยื่นเพิ่ม เป็นไปดังภาพนำเสนอดังนี้

ข้อตกลง RCEP และ CPTPP ขยายการผูกขาดสิทธิบัตรยา

จากที่เห็นจึงสรุปได้ว่าทั้ง RCEP และ CPTPP นั้นเพิ่มเรียกร้องมากกว่าทริปส์ เพราะรวมทั้งการผูกขาดข้อมูลทางยา การบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา และกลไก ISDS จะทำให้เกิดผลกระทบเฉพาะหน้า คือ เพิ่มจำนวนสิทธิบัตรยาด้อยคุณภาพ การผูกขาดนานกว่า 20 ปี ทำให้ยาชื่อสามัญไม่สามารถผลิตมาแข่งขันได้ ผลจะทำให้ไทยมียาราคาแพงขึ้น ปัจจุบันยาในหลักประกันสุขภาพที่จัดซื้อโดย สปสช. ใช้งบประมาณ 2,000 กว่าล้านบาท ไม่รวมที่โรงพยาบาลจัดซื้อเองซึ่งตกปีละ 100,000 ล้านบาท ถ้ายาราคาแพงขึ้นจะทำให้ระบบไม่สามารถแบกรับต้นทุนตรงนี้ได้ อาจจะต้องผลักภาระให้เป็นภาระผู้ป่วย จะมีการร่วมจ่ายหรือไม่

จากเดิมที่นักเภสัชศาสตร์จากบริษัทอื่นระหว่างที่ยาติดสิทธิบัตรก็สามารถศึกษาวิธีการทำยาได้ และเมื่อทำเป็นยาได้ก็ไปขอขึ้นทะเบียนยาก่อนได้ พอยาต้นแบบหมดสิทธิบัตรก็สามารถขายได้ แต่หากมีมาตรการนี้จะกลายเป็นว่าระหว่างขึ้นสิทธิบัตรจะห้ามเผยแพร่ ห้ามทำศึกษา ห้ามขึ้นทะเบียน รอให้พ้น 20 ปีก่อนค่อยศึกษาได้

ทุกวันนี้ระบบประกันสุขภาพจ่ายยาให้ผู้ติดเชื้อ 300,000 กว่าคน เป็นเพราะเรามียาชื่อสามัญหรือบริษัทอื่นที่สามารถผลิตได้เนื่องจากตัวยาจดสิทธิบัตรแค่กระบวนการผลิต ดังนั้นหากเปลี่ยนกระบวนการผลิตก็สามารถทำได้ ทำให้ได้ยาราคาถูก หรือยา “โซฟอสบูเวียร์” (Sofosbuvir) ซึ่งรักษาไวรัสตับอักเสบซีอันเป็นต้นเหตุตับแข็งและมะเร็งตับ โดยยาตัวนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้ บริษัทต้นแบบในอเมริกาขายในราคา 30,000 บาท ขณะที่องค์กรเภสัชไทยขายที่ 120 บาท และในอินเดียขายที่ 70 บาท หากมีมาตรการนี้แน่นอนว่าราคายาจะต้องเปลี่ยนไป

RCEP และ UPOV1991 บทใหม่ของการผูกขาดเมล็ดพันธุ์

วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ จากมูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) กล่าวถึงทรัพย์สินทางปัญญาในเรื่องของ พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ โดย RCEP นั้นเกาหลีใต้และญี่ปุ่นเป็นภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ (UPOV) และพยายามผลักดันประเทศอื่นให้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญา UPOV1991 ซึ่งเป็นฉบับล่าสุด มีภาคี 55 ประเทศ 120 ประเทศไม่เป็นภาคี อนุสัญญานี้นำไปสู่การผูกขาดเมล็ดพันธุ์ ให้พันธุ์พืชใหม่ที่ได้รับการคุ้มครอง เกษตรกรไม่สามารถนำไปปลูกต่อหรือแจกจ่ายได้ เป็นสิ่งผิดกฎหมาย จำคุกไม่เกินสองปีปรับไม่เกินสี่แสนหรือทั้งจำทั้งปรับ อนุสัญญานี้ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติกลายเป็นทรัพย์สินของบริษัทเมล็ดพันธุ์

บริษัทมอนซานโต ซึ่งเป็นบริษัทเมล็ดพันธุ์ใหญ่สุดในโลก ร่วมกับซีพี ทำเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด การผลักดันให้ไทยเป็น UPOV จึงมีกลุ่มบริษัทในไทยที่ต้องการผลักดันด้วย การผูกขาดจะยิ่งขยายอำนาจการผูกขาดของบริษัทมากขึ้นไปทุกที

ยกตัวอย่างฝ้ายดีพี คือฝ้ายมอนซานโตตัดต่อพันธุกรรมถ้าหนอนจะตายถ้ากิน UPOV1978 คุ้มครองแค่สายพันธุ์นี้ แต่ UPOV1991 รับรองภายใต้กฎหมายสิทธิบัตรด้วย จะขยายเวลาคุ้มครองออกไป และอำนาจการคุ้มครองก็ขยายไปด้วย เอาไปปลูกต่อก็ต้องขออนุญาตหรือการเอาเมล็ดพันธุ์ไปวิจัย ก็ทำไม่ได้ เพราะพืชพันธุ์นี้ถือเป็นของบริษัท

นอกจากนี้ยังมีเรื่อง EDV หรือเรียกง่ายๆ ว่า อนุพันธุ์ของสายพันธุ์ หากไปปลูกแล้วเกิดการกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ย่อย จะกลายเป็นสายพันธุ์บริษัททั้งหมด และหากไปผสมข้ามสายพันธุ์แล้วลักษณะเด่นปรากฎ ก็จะเป็นของบริษัทด้วย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net