‘อัศวิน’ แจง พื้นที่สวนสาธารณะเปลี่ยนจากเดิม ร่มรื่น สวยงาม ปลอดภัย ชี้จะทำเป็นพื้นที่เรียนรู้ประวัติศาสตร์ จัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม ด้านชาวชุมชนที่ถูกบีบให้ย้ายออกจนหมด หลังการต่อสู้อย่างยาวนานกว่า 25 ปี วางแผนซื้อที่ดินกู้โครงการบ้านมั่นคง เล่า “ผมไม่เหลืออะไรเลย ตกงาน ครอบครัวแยกแตกสลาย จิตใจมันหายไปตั้งแต่เรารื้อบ้าน”
สภาพบริเวณป้อมมหากาฬ ปัจจุบัน (ที่มาภาพ เฟสบุ๊คแฟนเพจ ผู้ว่าฯ อัศวิน)
26 ก.ค.2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสวนสาธารณะภายในป้อมมหากาฬเปิดใช้อย่างเป็นทางการแล้ว ในวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ชาวชุมชนป้อมมหากาฬได้ย้ายออกจนหมดแล้วในเดือนเม.ย. ไปอยู่ที่ชุมชนกัลยาณมิตร
ชุมชนป้อมมหากาฬจัดงานอำลา ยุติมหากาพย์ 25 ปี ย้าย 25 เม.ย. นี้
ประมวลภาพ+คลิป เสียงสะท้อน ความรู้สึก บทเรียนจากชุมชนป้อมมหากาฬ
เมื่อวันที่ 23 ก.ค. ที่ผ่านมา เฟสบุ๊คแฟนเพจ ผู้ว่าฯ อัศวิน ของ อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ลงข้อความพร้อมภาพประกอบคือสวนสาธารณะภายในป้อมมหากาฬ ใจความว่า ปรับปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้วสำหรับพื้นที่ภายในป้อมมหากาฬ และพร้อมเปิดเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชนและนักท่องเที่ยว ตอนนี้พื้นที่ภายในป้อมฯ เปลี่ยนไปจากเดิมมาก ทั้งโล่ง เขียว ร่มรื่น สวยงาม และดูปลอดภัย มองจากมุมไหนเราก็จะได้เห็นความสง่างามของป้อมมหากาฬและกำแพงเมืองซึ่งเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติได้ชัดเจนขึ้น และอิ่มเอมมากขึ้น
กทม.ตั้งใจจะทำพื้นที่ตรงนี้ให้เป็นที่ศึกษาหาความรู้ทางประวัติศาสตร์ เป็นพื้นที่นันทนาการ เป็นพื้นที่จัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นเอกลักษณ์ของเกาะรัตนโกสินทร์ เช่นเดียวกับพื้นที่บริเวณป้อมพระสุเมรุ และสวนสันติชัยปราการริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาที่พี่น้องประชาชนได้ใช้ประโยชน์ในปัจจุบัน และ 24 ก.ค.61 สวนสาธารณะภายในป้อมมหากาฬจะเปิดใช้อย่างเป็นทางการแล้ว
ผู้ว่าฯ กทม. ยังได้เชิญชวนให้เข้าไปเยี่ยมชม และระบุถึงช่องทางรับความคิดเห็นสำหรับการปรับปรุงสถานที่ทาง @aswinbkk
อดีตชาวชุมชนที่ถูกบีบให้ย้ายออก เผยวิถีชีวิตเดิมหาย บ้างตกงาน ค่าใช้จ่ายเพิ่ม
ด้าน พรเทพ บูรณบุรีเดช รองประธานชุมชนป้อมมหากาฬ กล่าวกับผู้สื่อข่าวประชาไทว่า พวกตนเป็นกลุ่มสุดท้ายทั้งหมด 8 หลังคาเรือน ที่ย้ายออกจากชุมชนป้อมมหากาฬ และย้ายมาอาศัยร่วมกับคนในชุมชนกัลยาณมิตร โดยมีข้อตกลงว่าจะสามารถอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งปี หลังจากนี้พวกตนวางแผนจะซื้อที่ดินแถวพุทธมณฑลสาย 2 พร้อมกับครอบครัวอื่นๆ 8 หลังคาเรือนที่ย้ายออกมาด้วยกัน โดยแม้เงินที่มีอยู่ตอนนี้จะไม่เพียงพอ แต่จะไปขอกู้เงินกับโครงการบ้านมั่นคง
มหากาพย์ป้อมมหากาฬ (1) : ‘คนอยู่’ เล่ารอยร้าวชุมชน ในวันที่ กอ.รมน.รุกถึงหน้าบ้าน
มหากาพย์ป้อมมหากาฬ (2): ‘คนย้าย’ เล่าแรงกดดันจาก กทม. ชุมชน ปากท้องและความมั่นคงทางที่อยู่
มหากาพย์ป้อมมหากาฬ (3): กอ.รมน.มาจากไหน ทำไมถึงไปกางเต็นท์นอนในชุมชน
รื้อไล่ไม่ใช่ทางออกเดียว: คุยกับนักมานุษยวิทยา ม.ฮาร์วาร์ดเรื่องชุมชนป้อมมหากาฬ
อำลาชุมชนป้อมมหากาฬ: ชุมชนเก่าแก่ดีเกินไปในยุคที่แต่งชุดไทยก็ฟินแล้ว
เมื่อถามเรื่องปัญหาที่เจอในตอนนี้ พรเทพ กล่าวว่า หลักๆ แล้วเป็นเรื่องค่าใช้จ่าย อาชีพ และจิตใจ บางคนจากที่เคยมีอาชีพค้าขายอยู่ในชุมชนป้อมมหากาฬ เมื่อย้ายออกมาก็ตกงาน บางคนก็ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต เปลี่ยนการเดินทาง ค่าใช้จ่ายก็สูงเพิ่มขึ้น
“วิถีชีวิตแบบเดิมที่เราเคยอยู่ในชุมชนมันไม่เหลือแล้ว อันนี้เหมือนเรามาอาศัยเขาอยู่ ก็หวังแต่ว่าถ้าเรามีที่ดินเป็นของเราอีกครั้ง เราจะรื้อฟื้นวิถีชีวิตเดิมๆ ของเรากลับมาได้ อย่างตอนนี้ผมจากคนที่เคยมีบ้าน มีอาชีพ ผมไม่เหลืออะไรเลย ตกงาน ครอบครัวแยกแตกสลาย จิตใจมันหายไปตั้งแต่เรารื้อบ้าน เริ่มตั้งแต่รื้อหลังคาบ้าน ใจมันก็หายแล้ว เรายืนมองแล้วคิดว่ามันมาสุดทางแล้วจริงๆเหรอ” พรเทพ กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ก่อนที่ชาวชุมชนป้อมมหากาฬหลังสุดท้ายจะถูกแบบให้ย้ายออกจากพื้นที่ไปเมื่อ เม.ย.ที่ผ่านมา สำหรับปัญหาที่ชาวชุมชนป้อมมหากาฬประสบนั้น เริ่มต้นจากโครงการปรับปรุงพื้นที่บริเวณป้อมมหากาฬเพื่อจัดทำเป็นสวนสาธารณะและอนุรักษ์โบราณสถานของชาติตั้งแต่ปี พ.ศ.2502 ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาเกาะรัตนโกสินทร์ ทำให้ต้องมีการรื้อถอนบ้านและย้ายชุมชนที่อยู่ในแนวกำแพงป้อมมหากาฬออกทั้งหมด เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์และทำเป็นสวนสาธารณะแต่ก็ยังทำไม่สำเร็จ ต่อมา กทม. ทำการเวนคืนที่ดินในปี พ.ศ.2535 ตั้งแต่นั้นก็มีปัญหาไล่รื้อเรื่อยมาจนเสร็จสิ้น อย่างไรก็ตาม ชาวชุมชนป้อมมหากาฬมีการต่อสู้เพื่อสิทธิในการอยู่อาศัยโดยใช้แนวคิดการพัฒนาสวนสาธารณะป้อมมหากาฬด้วยการมีส่วนร่วมของชุมชน ตามกระบวนการ co - creation ที่เกิดขึ้นจากการมีส่วนร่วมของชุมชนและการออกแบบจากทุกภาคส่วน การพัฒนาให้เป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิต (Living Heritage Museum) โดยพัฒนาแนวคิดนี้จากโครงการวิจัยเพื่อจัดทำแผนแม่บทเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาชุมชนบ้านไม้โบราณ
รวมถึงมีการทำงานร่วมกันของคณะกรรมการ 3 ฝ่าย คือ 1. ชุมชนและนักวิชาการ 2. กรุงเทพมหานคร และ 3. ทหารที่เข้ามาเป็นคนกลาง มีความพยายามหาทางออกด้วยการพิสูจน์คุณค่าของบ้านแต่ละหลัง โดยบ้านที่จะได้รับการอนุรักษ์ต้องมีการพิสูจน์ให้ครบถ้วนทั้ง 5 ด้านด้วยกัน คือ 1) ด้านคุณค่าในเชิงประวัติศาสตร์ 2) ด้านศิลปกรรม สถาปัตยกรรมและผังเมือง 3) สังคมและวิถีชีวิต 4) โบราณคดีและการตั้งถิ่นฐาน และ 5) คุณค่าในด้านวิชาการ เป็นต้น
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)