‘คดีระเบิดน้ำบูดู’ ได้สืบพยานเสร็จสิ้นครบทุกปากแล้วในวันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา ที่ห้องพิจารณาคดี 808 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก กรุงเทพฯ ทนายความขอยืนแถลงการณ์ปิดคดีภายใน 15 วัน ศาลนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 25 ก.ย.นี้ ประชาไทสรุปใจความสำคัญเกี่ยวกับคดีทั้งหมด ดังนี้
ภาพจาพเว็บไซต์มูลนิธิผสานวัฒนธรรม
1. ‘คดีระเบิดน้ำบูดู’ คือเหตุการณ์กวาดจับนักศึกษาและชาวมุสลิมที่พักย่าน ม. รามคำแหง กว่า 40 คน
เมื่อวันที่ 10 ต.ค. 2559 โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงอ้างสาเหตุว่ามีการซ่องสุมและจะก่อเหตุระเบิด ‘คาร์บอม’ และได้กวาดจับคนมุสลิมย่าน มหาวิทยาลัยรามคำแหง จนนำมาสู่การขยายผลจับกุมในจังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดนราธิวาสด้วย โดยที่เมื่อกวาดจับกว่า 40 คนในช่วงแรก จากนั้นมีการกันคนที่เป็นนักศึกษาจริงๆ ออก จนเหลือ 14 คน ซึ่งเป็นชายจากจังหวัดชายแดนใต้ อายุระหว่าง 19-32 ปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กที่เพิ่งมาหางานทำในกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก
2. ล่าสุด 14 จำเลยถูกจับกุมทั้งหมดไม่ได้สิทธิประกันตัว
หลายคนถูกปล่อยตัว หลายคนถูกปล่อยแล้วจับอีกครั้ง ในตอนแรกมี 9 คนที่ถูกจับ และต่อจากนั้นมีการจับกุมเพิ่มอีก 5 คน สรุปที่ถูกดำเนินคดีรวมมี 14 คน ถูกตั้งข้อหาร่วมกันเป็นอั้งยี่ ร่วมกันเป็นซ่องโจร และมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย ปัจจุบันจำเลยถูกจำคุกระหว่างการพิจารณาคดี โดยทั้งหมดไม่ได้รับสิทธิการประกันตัวแม้จะยังไม่มีคำพิพากษา และก่อนหน้านี้แม่ของจำเลยที่ 4 เคยยื่นขอประกันตัว เนื่องจากจำเลยที่ 4 เป็นโรคเกี่ยวกับสมองและต้องพบแพทย์เป็นประจำ
3. ทนายชี้หลักฐานอ่อน มีเพียงคำรับสารภาพและคำซัดทอดของจำเลยที่ 1
กิจจา อาลีอิสเฮาะ หนึ่งในทนายความของคดีของจำเลยและเลขานุการมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมกล่าวว่า จากการซักค้านพยานฝ่ายโจทย์ทั้งหมดพบว่ามีแต่เรื่องข่าวจากฝ่ายการข่าว เช่น ข่าวว่าจำเลยมีวัตถุระเบิดในครอบครอง หรือข่าวว่าจำเลยนำวัตถุระเบิดไปทิ้งในคลอง หรือกล่าวอ้างว่ามีการส่งไปรษณีย์เป็นโทรศัพท์ 5 เครื่องเพื่อมาเป็นรีโมทจุดชนวนก่อระเบิด แต่เมื่อตรวจสอบแล้วไม่พบพยานหลักฐานใดเลย ขณะที่ฝ่ายจำเลยอ้างว่าของในกล่องไปรษณีย์นั้นเป็นเพียงเครื่องข้าวยำ
กิจจา กล่าวต่อว่า ส่วนข้อกล่าวหาว่าเป็นการก่อการร้าย พยานโจทก์ทุกคนก็กล่าวว่าจากการตรวจสอบแล้วจำเลยทุกคนไม่ได้เกี่ยวข้องกับขบวนการก่อการร้ายที่จังหวัดชายแดนใต้ และข้อหา อั้งยี่ ซ่องโจร ก็ไม่มีพยานหลักฐานใดที่บอกว่ามีการจัดประชุมอั้งยี่ซ่องโจรเพื่อวางระเบิดในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
ดังนั้นจากการปรึกษากันของทีมทนายจำเลยแล้วก็สรุปว่าพยานหลักฐานจากฝ่ายโจทก์นั้นไม่น่าจะมีน้ำหนักในการลงโทษจำเลยในคดีนี้ได้
ขณะที่ อาดิลัน อาลีอิสเฮาะ หนึ่งในทนายความของคดีของจำเลยและประธานมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมจังหวัดสงขลากล่าวว่าพยานหลักฐานที่สำคัญที่สุดคือคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ซึ่งซัดทอดไปสู่จำเลยคนอื่น
4. หลักฐาน PETN ตรวจพบที่มือจำเลยที่ 3 แต่ก่อนหน้าจำเลยจะตรวจร่างกาย มีทหารมาสัมผัสมือ
สำหรับหลักฐานในคดี กิจจาหนึ่งในทนายจำเลยกล่าวว่า มีเพียงการตรวจดีเอ็นเอที่มือของจำเลยที่ 3 แล้วพบว่ามีสารระเบิด PETN[1] แต่จากการถามค้านพยานฝ่ายโจทก์ก็ปรากฎว่า ก่อนที่จะมีการส่งตัวจำเลยที่ 3 ไปที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร ปัตตานี มีนายทหารคนหนึ่งมาลูบแขน จับมือ จับเสื้อ จำเลยที่ 3 ซึ่งจำเลยที่ 3 ก็ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นจะมีการตรวจร่างกาย ซึ่งประเด็นนี้ก็เป็นประเด็นที่ศาลให้ความสนใจ
5. ในการรับสารภาพ จำเลยอ้างถูกช็อตไฟฟ้า บู๊ททุบหลัง ปืนจ่อหัว แม็กยิงขา ฯลฯ ในค่ายทหาร
อาดิลัน หนึ่งในทนายความของจำเลยเล่าว่า จำเลยบางส่วนกล่าวว่าถูกบังคับให้รับสารภาพ เนื่องจากถูกข่มขู่ ซ้อม ทำร้าย ให้เกิดความหวาดกลัว ซึ่งในความเป็นจริงแล้วจำเลยไม่ได้กระทำการดังกล่าว และเนื่องจากเป็นการควบคุมตัวในค่ายทหารตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/58 และ 13/59 จึงไม่มีพยานหลักฐานการถูกข่มขู่ ซ้อม หรือทำร้าย
Voice tv และ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ระบุตรงกันว่า รูปแบบการทรมานมีทั้งการช็อตไฟฟ้า การใช้รองเท้าบู๊ตทหารทุบที่หลัง การใช้มือทุบตีที่ศีรษะและลำตัว ที่เย็บกระดาษยิงที่ขาขวาเกิดบาดแผล เอาปืนจ่อที่ศีรษะ บังคับให้ถอดเสื้อผ้า ปิดตาระหว่างการสอบสวน
6. จำเลยส่วนใหญ่มาจากบ้านเดียวกัน จน และบางคนเป็นกำลังหลักครอบครัว
จากคำบอกเล่าของครอบครัวจำเลย จำเลยหลายคนมาจากหมู่บ้านเดียวกันในสามจังหวัดชายแดนใต้ มีฐานะยากจน เข้ามาทำงานหาในกรุงเทพฯ เป็นเด็กล้างจานบ้าง เป็นยามบ้าง และอยู่รวมกันในห้องเช่าย่านรามคำแหง และสมุทรปราการ
แมะมูเนอะ สาและ แม่ของ วิรัตน์ จำเลยที่ 8 เล่าว่า วิรัตน์เป็นพี่คนโตในจำนวนพี่น้อง 3 คน เขาเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ประมาณสองเดือนก่อนจะถูกจับ วิรัตน์ช่วยดูแลหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว เมื่อวิรัตน์ถูกคุมขัง แมะมูเนอะจึงเป็นคนเดียวที่ต้องทำงานหาเงิน
“ช่วงนี้ (เดือน พ.ค.) ฝนตกทุกวัน เก็บยางไม่ได้ ยางตอนนี้กิโลละ 15 บาท วันหนึ่งกรีดได้ 4-5 กิโล ได้วันหนึ่งไม่ถึง 200 บาท เราอายุ 57 ปีแล้ว ขึ้นเขาไปทำนาภูเขาก็ไม่ได้ เวลามาเยี่ยมลูกบางทีก็ยืมเงินเพื่อนมา เอามาให้ลูก 2,000 กินข้าวไม่ได้บางทีก็กินข้าวโพดกับน้ำ” แม่ของ วิรัตน์ จำเลยที่ 8 กล่าว
7. จำเลยทั้ง 14 สถานะเศรษฐกิจอ่อนแอกว่าคนอื่น และไม่ได้มีสถานะเป็นนักศึกษา
ชลิตา บัณฑุวงศ์ ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ชี้ว่า เมื่อกวาดจับกว่า 40 คนในช่วงแรก หลังจากนั้นก็กันคนที่เป็นนักศึกษาจริงๆ ออก จนเหลือ 14 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กที่เพิ่งมาหางานทำในกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก ที่บ้านยากจน ไม่มีที่ดิน รับจ้างกรีดยาง เป็นคนชายขอบแม้กระทั่งในชุมชนสามจังหวัดชายแดนใต้เองก็ตาม ดังนั้นจึงเหมือนถูกเลือกขึ้นมาเพราะมีสถานะทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอกว่าคนอื่น และไม่ได้มีสถานะเป็นนักศึกษา
8. ในห้องพิจารณาคดี ญาติและองค์กรต่างๆ เข้าร่วมเต็มห้อง ญาติบางส่วนต้องรอข้างนอก
ทั้งนี้จากการไปสังเกตการณ์ในห้องพิจารณาคดีของผู้สื่อข่าวในวันที่ 31 ก.ค. ที่ผ่านมา พบว่า เมื่อรวมจำเลย 14 คน และญาติของจำเลยทั้ง 14 คน รวมทั้งผู้สังเกตการณ์จากองค์กรสื่อ องค์กรสิทธิมนุษยชน องค์กรกฎหมายต่างๆ ทำให้ในการพิจารณาคดีแต่ละครั้งมีผู้เข้าร่วมประมาณ 30-40 คน ทำให้พื้นที่ในห้องพิจารณาคดีไม่เพียงพอ จนมีญาติบางส่วนต้องนั่งรออยู่ด้านนอก
[1] หรือ Pentaerythritol Tetranitrate เป็นวัตถุระเบิดที่มีความไวสูง ถูกใช้เป็นดินขยายการระเบิด บรรจุในชนวนฝังแคระเบิด และเชื้อปะทุบางชนิด