Skip to main content
sharethis

ม.ค.-ก.ค. 2561 ส่งแรงงานไทยไปต่างประเทศกว่า 39,000 คน/มาเลย์จัดหนักจับคนไทยไปทำงานผิด ก.ม. สิ้น ส.ค.โทษหนักปรับจำคุก 5 ปี/13 อาชีพ เสี่ยงตกงาน ธุรกิจไทยพึ่ง AI แทนพนักงาน/'อธิบดีกรมสรรพากร' ออกประกาศหักเงินเดือน 'ขรก.-ลูกจ้างประจำ' ชำระหนี้ กยศ./สถานทูตเตือน 250 คนไทยในอิสราเอล อยู่ในพื้นที่เสี่ยงระเบิดลง/แรงงานหญิงไทยเผยนาทีถูกลูกหลงระเบิดจากเหตุสู้รบใกล้ฉนวนกาซา

เร่งเยียวยาทายาท 2 ศพคนไทยใหลตายอิสราเอล

พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.แรง งาน เป็นประธานการประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ร่วมกับนายศักดินาถ สนธิศักดิ์โยธิน อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล พร้อมด้วยนายอภิชาติ วงศ์กาฬสินธุ์ จัดหางานจังหวัดนครพนม นางพัชรีย์ พรหมสาขา ณ สกลนคร นักวิชาการแรงงานปฏิบัติงาน ฯลฯ เพื่อติดตามความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือแรงงานไทย กรณีมีคนงานไทยจังหวัดนคร พนมเสียชีวิตในต่างประเทศ 2 ศพ โดยมีทายาทของผู้เสียชีวิตร่วมรับฟังด้วย

รายแรกเหตุเกิดเมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2561 นายณัฐชัย ป้องเศร้า อายุ 32 ปี ชาวนครพนมเดินทางไปทำงานภาคเกษตรที่ประเทศอิสราเอลตั้งแต่ปี 2558 เสียชีวิตด้วยภาวะใหลตายในห้องพัก

รายที่สองเหตุเกิดวันที่ 5 ส.ค. 2561 นายพรชัย พรมจันทร์ อายุ 43 ปี ชาวนครพนม เมื่อปี 2556 ไปทำงานอยู่ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ช่วงเช้ามืดของวันดังกล่าวเพื่อนร่วมงานเข้าไปปลุก พบว่านายพรชัยเสียชีวิตแล้ว ทั้งนี้ รมว.แรงงานได้แสดงความเสียใจต่อการจากไปของคนงานไทยทั้งสอง และสั่งกำชับเจ้าหน้าที่ดำเนินการด้านสิทธิประโยชน์ให้ทายาทคนตายโดยเร็วที่สุด

นายอภิชาติกล่าวว่า กรณีนายณัฐชัยเบื้องต้นทายาทจะได้รับเงินชดเชย+เงินเดือนงวดสุดท้าย+ค่าจ้างค้างจ่าย จำนวน 95,000 บาท เงินสงเคราะห์กองทุนเพื่อช่วยเหลือคนงานในต่างประเทศ จำนวน 40,000 บาท เงินประกันสังคมอีก 10,176 บาท เนื่องจากผู้ตายก่อนหน้าไปทำงานเคยเป็นผู้ประกันตน ส่วนเงินประกันสุขภาพจะเป็นค่าจัดส่งกลับบ้านเกิดที่ศรีสะเกษ

ด้านนายพรชัย ทายาทจะได้เงินชดเชย+เงินเดือนงวด สุดท้าย+ค่าจ้างค้างจ่าย รวม 190,000 บาท เงินสงเคราะห์ 40,000 บาท ส่วนเงินประกันสุขภาพจะเป็นค่าดำเนินการส่งศพกลับประเทศไทย โดยผู้ตายทั้งสองรายจะได้เงินฌาปนกิจสง เคราะห์จากกองทุนหมู่บ้านอีกราย ละ 15,000 บาท โดยนายบุญเลิศ พรมจันทร์ พ่อของผู้เสียชีวิต กล่าวว่าลูกชายเป็นเสาหลักของครอบครัว แต่ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่แรงงานทุกฝ่ายที่ดำเนินการทุกอย่างจนเสร็จสิ้น

ที่มา: ไทยโพสต์, 11/8/2561

นายจ้างที่มีการใช้สารเคมีอันตราย ต้องแจ้งชื่อสารเคมีต่อกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานภายใน 7 วันนับแต่วันที่มีสารเคมีอันตรายอยู่ในครอบครอง

นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับสารเคมีอันตราย พ.ศ.2556 กำหนดให้นายจ้างที่มีสารเคมีอันตรายอยู่ในครอบครอง ต้องจัดทําบัญชีรายชื่อสารเคมีอันตรายและรายละเอียดข้อมูลความปลอดภัยของสารเคมีอันตรายตามแบบที่กําหนด พร้อมทั้งแจ้งรายชื่อของสารเคมีอันตรายต่อกสร.ภายใน 7 วันนับแต่วันที่มีสารเคมีอันตรายอยู่ในครอบครอง

อธิบดีกสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากนั้นภายในเดือนมกราคมของทุกปีนายจ้างต้องแจ้งบัญชีรายชื่อสารเคมีอันตราย และรายละเอียดข้อมูลความปลอดภัยของสารเคมีอันตรายที่มีอยู่ในครอบครองต่อกสร. ด้วย จึงขอให้นายจ้างปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย หากฝ่าฝืนจะมีความผิดโดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ กรณีต้องการทราบรายชื่อสารเคมีอันตรายหรือแบบแจ้งรายชื่อ สามารถดาวน์โหลดได้ที่ www.oshthai.org หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่กองความปลอดภัยแรงงาน โทรศัพท์ 0 2448 9141

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 11/8/2561

แรงงานหญิงไทยเผยนาทีถูกลูกหลงระเบิดจากเหตุสู้รบใกล้ฉนวนกาซา

แรงงานไทยในอิสราเอลยังคงต้องพักอาศัยบริเวณใกล้เคียงพื้นที่สู้รบระหว่างกองทัพอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ใกล้ฉนวนกาซา หญิงไทยเผยถูกลูกหลงขณะอาบน้ำ แรงระเบิดผลักกระเด็นติดข้างฝา และได้รับบาดเจ็บที่ท้อง

น.ส.จันทร์เพ็ญ แซ่จ๋าว อายุ 33 ปี แรงงานไทยจากจังหวัดพะเยา ซึ่งเดินทางไปทำงานภาคการเกษตรที่อิสราเอล ถูกลูกหลงจากเหตุการณ์สู้รบระหว่างกองทัพอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ใกล้ฉนวนกาซาเมื่อเช้าตรู่วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา เปิดเผยกับบีบีซีไทยจากโรงพยาบาลโซโรกา เบเชฟว่า ว่าขณะนี้ได้รับการผ่าตัดนำสะเก็ดระเบิดที่ติดฝังอยู่บริเวณหน้าท้องออกไปแล้ว แต่ยังต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลต่อไป โดยยังมีอาการเจ็บปวดที่หน้าท้องและขา

น.ส.จันทร์เพ็ญ ซึ่งเดินทางไปทำงานในอิสราเอลได้ราว 1 ปีเศษ โดยทำงานอยู่ที่โมชาฟ หรือหมู่บ้านสหกรณ์การเกษตร Talmei Eliyahu ทางใต้ของอิสราเอลห่างจากฉนวนกาซาประมาณ 7 กิโลเมตร เล่าว่าขณะเกิดเหตุเวลาประมาณ 05.30 น. นั้น กำลังอาบน้ำในห้องน้ำเพื่อเตรียมตัวไปทำงาน ในขณะนั้นได้เกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงจนทำให้เซไปติดอยู่ที่ข้างฝาห้องน้ำ จากนั้นก็หมดสติ

"มารู้สึกตัวอีกทีตอนที่ปวดหน้าท้อง ตอนนั้นยังอยู่ในห้องน้ำ หนูเลยเดินไปหยิบผ้าถุงมาใส่ และออกจากห้องน้ำมาหาเพื่อนเพื่อขอให้ช่วย" น.ส.จันทร์เพ็ญ กล่าว และว่าขณะนี้รู้สึกหวาดกลัว และยังไม่แน่ใจว่าจะอยู่ทำงานในอิสราเอลต่อไปหรือไม่

ด้านแรงงานหญิงไทยอีกคนหนึ่งที่ทำงานในสหกรณ์การเกษตรเดียวกันบอกกับบีบีซีไทยว่า เหตุเกิดในขณะที่แรงงานเตรียมตัวหุงหาอาหารเพื่อนำไป รับประทานขณะทำงานในสวน แต่ตนเองได้ดูข่าวและทราบว่ามีการสู้รบกันใกล้โรงงานบรรจุผักซึ่งอยู่ใกล้ที่พักของแรงงานอีกจำนวนหนึ่ง จึงไม่ได้ออกไปทำงาน

"เรามองเห็นด้วยตาเปล่าเลย มันลงไวมาก พอเขาประกาศเสร็จเรามองไปเห็นท้องฟ้ามันแดงฉาน มันบึ้มลงตรงนั้น และคิดว่าเรียบร้อยแล้วอีกแคมป์หนึ่ง พอเราโทรไปหาเพื่อนเขาบอกว่าโดนแล้ว พอเหตุการณ์สงบ เราก็ปั่นจักรยานไปดูที่โรงงาน ตำรวจทหารมาเต็มไปหมดแล้วเขาก็ ไล่แรงงานให้ไปรวมตัวกันที่ออฟฟิศ"

ขณะนี้กลุ่มแรงงานได้แจ้งกับนายจ้างและทางสถานทูตไทยที่เดินทางไปในพื้นที่ว่ายังขวัญเสียและจะกลับไปทำงานอีกครั้งในวันจันทร์

แรงงานไทยอีกคนหนึ่งเล่าว่าแม้จะเกิดเหตุที่ทำให้มีแรงงานได้รับบาดเจ็บ แต่แรงงานที่พักอยู่ในบริเวณเดียวกันประมาณ 40-50 คน ยังคงต้องอาศัยในจุดที่อาจเกิดอันตรายต่อไป โดยไม่มีห้องพักที่เพียงพอ บ้างก็ต้องนอนกลางแจ้ง นอกจากแรงงานไทยกลุ่มดังกล่าวแล้วยังมีแรงงานอีกกว่าสองร้อยคนที่ทำงานในสหกรณ์การเกษตรเดียวกัน ที่ยังคงต้องทำงานต่อไป

ด้านสถานทูตไทยในอิสราเอลให้ได้ออกประกาศเตือนแรงงานให้ระวังอันตรายจากการยิงจรวดเข้ามาในเขตเอชโกลทางใต้ของอิสราเอล โดยขอให้ติดตามข่าวสาร และระวังอันตราย หากได้ยินเสียงเตือน/ไซเรนให้รีบหลบเข้าที่กำบัง อย่างไรก็ดี แรงงานที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวบอกบีบีซีไทยว่าที่ทำงานและที่พักไม่มีที่กำบังให้เข้าไปหลบภัย

ปัจจุบันมีแรงงานไทยทำงานในภาคการเกษตรในอิสราเอลกว่า 25,000 คน ส่วนใหญ่ต้องพักอาศัยในที่พักที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ต้องทำงานโดยมีชั่วโมงทำงานที่ยาวนาน และได้รับค่าแรงไม่ตรงตามสัญญาจ้าง

ที่มา: BBC Thai, 11/8/2561

สถานทูตเตือน 250 คนไทยในอิสราเอล อยู่ในพื้นที่เสี่ยงระเบิดลง!

เมื่อ 9 ส.ค. 2561 น.ส.บุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า ตามที่มีรายงานข่าวการยิงจรวดจากเขตกาซาเข้ามาในเขตเอชโกล ทางตอนใต้ของอิสราเอล เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2561 นั้น สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ ขอแจ้งเตือนคนไทยในเขตพื้นที่เสี่ยง โปรดติดตามข่าวสาร และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของอิสราเอลอย่างเคร่งครัด หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสถานเอกอัครราชทูตได้ที่ +972 9 9548412 / 9548413 ทั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูตจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไปด้วย หรือ ติดต่อคอลเซ็นเตอร์กรมการกงสุล หมายเลข 0 2572-8442 ตลอด 24 ชั่วโมง

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวอีกว่า กระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานจาก สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อที่พักแรงงานไทยที่ย่านโมชาฟ เทลมี ทำให้มีแรงงานไทยได้รับบาดเจ็บจำนวน 2 คน โดยแรงงานหญิงได้เข้ารับการผ่าตัดในโรงพยาบาล และขณะนี้ปลอดภัยแล้ว ส่วนแรงงานชายอีก 1 คนบาดเจ็บเล็กน้อยและกลับบ้านพักแล้วนั้น ทั้งนี้พื้นที่โมชาฟ เทลมีห่างจากชายแดนกาซาประมาณ 7 กิโลเมตรและห่างจากกรุงเทลอาวีฟ 116 กิโลเมตร โดยมีแรงงานไทยทำงานอยู่ประมาณ 250 คน

สถานเอกอัครราชทูตและอัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายแรงงานได้ประสานงานกันอย่างใกล้ชิดโดยติดต่อสอบถามและกับนายจ้างและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นฝ่ายอิสราเอล ได้ตรวจสอบความปลอดภัยของแรงงานไทยในพื้นที่ รวมถึงนักศึกษาฝึกงานจากไทยในเขตอาราวาจำนวน 90 คน ได้รับทราบว่าปลอดภัยดี

ที่มา: ข่าวสด, 10/8/2561

กสร. เล็งออกกฎหมายคุ้มครองแรงงานในกิจการฟาร์มสัตว์ปีก

นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า คณะทำงานพิจารณายกร่างกฎกระทรวงกำหนดงานที่นายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกันสะสมและเลื่อนวันหยุดประจำสัปดาห์ พ.ศ. …. ได้พิจารณาออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองแรงงานในกิจการฟาร์มเลี้ยงสัตว์ปีก เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทและสภาพการจ้าง การทำงานในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ปีกที่มีลักษณะแตกต่างจากงานทั่วไปและมีข้อกำหนดที่ต้องเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยทางชีวภาพสำหรับฟาร์มสัตว์ปีกอีกด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาเนื้อหาในร่างกฎกระทรวงดังกล่าว

อธิบดีกสร. กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันมีฟาร์มสัตว์ปีกที่ขึ้นทะเบียนกับกรมปศุสัตว์ จำนวน 8,624 ฟาร์ม ซึ่งเป็นสถานประกอบกิจการที่เลี้ยงสัตว์ปีกเพื่อการค้า โดยครอบคลุมถึงพื้นที่เลี้ยง สถานที่เก็บและเตรียมอาหาร บริเวณสำหรับทำลายซาก เป็นต้น ดังนั้นการออกกฎกระทรวงดังกล่าวต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ  ถี่ถ้วนเพื่อเป็นการคุ้มครองดูแลแรงงานให้ครอบคลุมทั่วถึง เกิดความยืดหยุ่นและยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน ตลอดจนเป็นไปตามมาตรฐานแรงงานสากล

ที่มา: กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน, 10/8/2561

เรือนจำประจวบฯ หนุนงบกองทุนให้ผู้ต้องขังพ้นโทษ รายละไม่เกิน 30,000 บาทใช้เป็นทุนประกอบอาชีพ

นายสมเกียรติ มณีรัตน์ ผู้บัญชาการเรือนจำ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานและส่งเสริมการมีงานทำ เพื่อเป็นหน่วยรับลงทะเบียนและบริหารการจัดหางานให้แก่ผู้พ้นโทษที่ประสงค์จะหางานทำ การฝึกทักษะพัฒนาฝีมือแรงงาน การร้องเรียนปัญหาจากการทำงาน โดยมีการประสานการทำงานกับสำนักงานจัดหางาน สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานสำนักงานสวัสดิการและฝีมือแรงงานฯเพื่อให้ผู้พ้นโทษมีงานมีรายได้ ไม่กลับไปทำผิดซ้ำ นอกจากนี้มีการสำรวจความต้องการประกอบอาชีพของผู้ต้องขังที่กำลังจะพ้นโทษ เพื่อจัดวิทยากรมาบรรยายให้ความรู้ แนะแนวอาชีพ ส่วนผู้ที่พ้นโทษแล้ว และไม่มีทุนประกอบอาชีพ สามารถยื่นขอรับเงินจากกองทุนคืนคนดีสู่สังคมได้รายละไม่เกิน 30,000 บาท ที่ผ่านมาได้มอบไปแล้วจำนวน 13 ราย และนำผู้ต้องขังกลุ่มแรกจำนวน 10 คน ที่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ที่กรมราชทัณฑ์กำหนดออกไปฝึกทักษะในสถานประกอบการจริงแบบเช้าไปเย็นกลับ

ที่มา: บ้านเมือง, 9/8/2561

แรงงานไทยบาดเจ็บ เหตุกลุ่มฮามาสถล่มอิสราเอล ผ่าตัดสำเร็จปลอดภัยแล้ว

เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 9 ส.ค. 2561 น.ส.เพ็ญประภา วงศ์โกวิษ เอกอัคราชทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ อิสราเอล แจ้งความคืบหน้า กรณี นส.จันทร์เพ็ญ แซ่จ๋าว อายุ 30 ปี ภูมิลำเนาจังหวัดพะเยา แรงงานหญิง ได้ถูกสะเก็ดระเบิดเข้าที่ช่องท้อง ขณะกำลังอาบน้ำ เพื่อนร่วมงานแจ้งนายจ้างนำส่ง โรงพยาบาล Soroka Medical Center ขณะนี้ นส.จันทร์เพ็ญ ได้รับการผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว และอาการปลอดภัยดี ออกจากห้องผ่าตัดมาห้องพักฟื้น รู้สึกตัวพอสมควร และอทป.ฝ่ายแรงงานได้ต่อโทรศัพท์ให้คุยกับบุตรสาวที่ประเทศไทย มีกำลังใจดีขึ้น

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเช้าวันที่ 9 ส.ค. 2561 เมื่อเวลา 05:30 น โดยจรวดที่ยิงมาจากฝั่งฉนวนกาซา ตกเข้ามายังหน้าที่พักคนงานไทยที่ Moshav Talmei ขณะคนงานส่วนใหญ่กำลังทำอาหารและอาบน้ำ ก่อนออกไปทำงาน และได้ยินสัญญานเตือนภัยดังขึ้นไม่ถึง 30 วินาที Moshav Talmei ห่างจากชายแดนฉนวนกาซา ประมาณ 7 กิโลเมตร และห่างจากกรุงเทลอาวีฟ 116 กิโลเมตร มีคนงานไทยทำงานประมาณ 250 คน และเป็นแรงงานไทยที่ทำงานที่สถานที่เกิดเหตุระเบิด ประมาณ 50 คน

สถานเอกอัคราชทูตไทย ณ กรุงเทลอาวี ได้ตรวจสอบความปลอดภัยของคนงานบริเวณโดยรอบ และนักศึกษาฝึกงานภายใต้โครงการ ของศูนย์ฝึกอบรมนานาชาติด้านการเกษตรในเขตอาราวา (Arava International Center for Agricultural Training - AICAT) จำนวน 90 คน ได้รับทราบว่าปลอดภัยดี รวมทั้งได้ออกประกาศเตือนคนไทยในพื้นที่แล้ว

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์, 9/8/2561

เตรียมออกกฎหมายบังคับให้พนักงานขับรถไฟฟ้าทุกคนจะต้องมีใบขับขี่รถไฟฟ้า

นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รมช.คมนาคม เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) พร้อมทั้งเข้าตรวจเยี่ยมศูนย์ซ่อมบำรุง ศูนย์ควบคุมการเดินรถ ศูนย์ฝึกอบรม สถานีคลองบางไผ่ ว่า การเดินทางมาในครั้งนี้ เพื่อติดตามความพร้อมของศูนย์ฝึกอบรมในการรองรับร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การขนส่งทางราง พ.ศ. ...ที่คาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ในปลายปีนี้ และหากผ่านมติ สนช.ก็จะมีกฎหมายบังคับให้พนักงานขับรถไฟฟ้าทุกคนจะต้องมีใบขับขี่รถไฟฟ้า ดังนั้นจะผลักดันให้ รฟม.จัดทำศูนย์ฝึกอบรม หรือโรงเรียนสอนขับรถไฟฟ้าเพื่อรองรับอนาคต

นอกจากนี้ มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมารองรับการพัฒนารถไฟความเร็วสูง (กทม.-นครราชสีมา) และมีนโยบายให้จัดทำสถาบันวิจัยเทคโนโลยีระบบราง โดยมองว่าพื้นที่บริเวณศูนย์ซ่อมบำรุงคลองบางไผ่ เป็นพื้นที่ที่เหมาะสมในการเป็นที่ตั้งของสถาบันวิจัยเทคโนโลยีระบบราง ซึ่งขณะนี้เรื่องการเข้าใช้พื้นที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงคมนาคมและหากพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยเทคโนโลยีระบบราง (องค์กรมหาชน) แล้วเสร็จ ก็สามารถดำเนินการได้ทันที โดยจะเห็นความคืบหน้าที่ชัดเจนภายในปี 2562

นายไพรินทร์ กล่าวว่า ในวันที่ 10 ส.ค. 2561 จะลงพื้นที่โครงการก่อสร้างรถ ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (หัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ) เพื่อตรวจสอบความพร้อมก่อนจะเปิดให้บริการเส้นทางหัวลำโพง-บางแค ในกลางปีหน้า โดยขณะนี้ความคืบหน้าในการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณในเส้นทางดังกล่าวคืบหน้ากว่า 60% แล้ว ซึ่งหากระบบเสร็จเร็วกว่าแผนก็ทำให้มีโอกาสที่จะเปิดให้บริการได้ก่อนกำหนด เบื้องต้นคาดว่าจะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการก่อนในช่วงกลางปีหน้า หลังจากนั้นจะเปิดให้บริการจริงภายในเดือน ส.ค.ซึ่งเร็วกว่าแผนเดิมที่มีกำหนดเปิดให้บริการในเดือน ก.ย.2562 ส่วนเส้นทางบางซื่อ-ท่าพระ ยังคงเป็นไปตามกำหนดการเดิมคือเปิดให้บริการในปี 2563

ด้านนายภคพงศ์ ศิริกันทรมาส ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวถึงความคืบหน้าของโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายหัวลำโพง-บางแค และเตาปูน-ท่าพระ ด้านงานก่อสร้างโยธามีความคืบหน้าไปกว่า 99.26% ทั้งนี้มีความเป็นไปได้ว่า ช่วงหัวลำโพง-บางแค จะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการได้เร็วกว่าแผน โดยจะเปิดให้บริการในวันที่ 12 ส.ค.2562 โดยจะมีการเปิดทดลองก่อนล่วงหน้า 2 เดือน คือเดือน มิ.ย.นี้.

ที่มา: ไทยรัฐ, 9/8/2561

นายจ้างหักเงินพนักงานที่มีสายถือว่าผิดกฎหมาย ลูกจ้างสามารถร้องเรียนได้ที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน

จากกรณีที่ ทนายรัชพล ศิริสาคร โพสต์ข้อความผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก สายตรงกฎหมาย โดยระบุข้อความว่า “เชื่อว่าในสถานประกอบกิจการต่างๆ ลูกจ้างคงจะโดนหักเงินจากนายจ้างมิใช่น้อย ซึ่งจริงๆแล้ว ตามกฎหมายเขาห้ามนายจ้างหักเงินมั่วๆ โดยเฉพาะเมื่อมาสาย

นายจ้างจะ หักเงินเดือน ได้แค่ที่กฎหมายกำหนด ใน พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน มาตรา 76 ระบุว่า ห้ามมิให้นายจ้างหักค่าจ้าง นายจ้างจะหักค่าจ้างได้กรณีดังนี้ – หักภาษีหรือชำระเงินอื่นๆ ที่กฎหมายกำหนด – หักค่าสหภาพ – ชำระหนี้สหกรณ์ – หักเงินประกันบางประเภท หรือหักค่าเสียหายโดยลูกจ้างต้องยินยอม – หักเงินสะสม

ดังนั้นมาสายหักเงินไม่ได้ ใครโดนก็ไปร้องเรียนได้ที่ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานครับ หากฝ่าฝืนมีโทษสูงสุด คุก 6 เดือน ปรับ 1 แสน ตามมาตรา 144

ที่มา: ข่าวสด, 7/8/2561

'อธิบดีกรมสรรพากร' ออกประกาศหักเงินเดือน 'ขรก.-ลูกจ้างประจำ' ชำระหนี้ กยศ.

เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการหักเงินได้พึงประเมิน เพื่อชำระเงินกู้ยืมคืนกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 โดยอาศัยอำนาจตามความในวรรคหนึ่งของมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ.2560 อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ให้พนักงานหรือลูกจ้างซึ่งเป็นผู้กู้ยืมเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาหักเงินได้พึงประเมิน เพื่อชำระเงินกู้ยืมคืนให้กองทุน ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ในประกาศนี้ "กองทุน" หมายความว่า กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ.2560

"เงินกู้ยืม" หมายความว่า เงินกู้ยืมตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ.2560

ข้อ 2 ให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นกระทรวงทบวง กรม สำนักงาน หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐ ตามกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม หักเงินได้พึงประเมินของข้าราชการ และลูกจ้างประจำในสังกัด ซึ่งเป็นผู้กู้ยืมเงิน ตามจำนวนที่กองทุนแจ้งให้ทราบ แล้วนำส่งผ่านระบบของกรมบัญชีกลางตามกฎหมายว่าด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจ่ายเงินบางประเภทตามงบประมาณรายจ่าย เพื่อให้กรมบัญชีกลางโอนเงินดังกล่าวให้กรมสรรพากรผ่านบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ชื่อบัญชี "กรมสรรพากร 1 เพื่อรับชำระเงินคืนกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา" โดยใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป

ที่มา: VoiceTV, 7/8/2561

13 อาชีพ เสี่ยงตกงาน ธุรกิจไทยพึ่ง AI แทนพนักงาน

เป็นที่น่าจับตาอย่างยิ่งสำหรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) เนื่องเพราะการนำเครื่องจักรมาพัฒนาให้มีความเฉลียวฉลาดเหมือนกับมนุษย์นั้นกำลังได้รับความสนใจไปทั่วโลก โดยเฉพาะการนำ AI มาใช้ทดแทนแรงงานมนุษย์ สำหรับในประเทศไทยนั้น AI ได้ถูกพัฒนาไปไกลชนิดที่หลายคนนึกไม่ถึง โดยบางอุตสาหกรรมมีโรงงานที่ได้นำ AI  มาใช้ในกระบวนการผลิตทั้ง 100% แล้ว ขณะที่บางสายงานได้ทำการศึกษา พัฒนา และเตรียมที่จะนำหุ่นยนต์มาใช้เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

รศ.ดร.คมสัน มาลีสี คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) สถาบันที่มีการศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์อันดับต้นๆของประเทศไทย ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาด้าน AI ของไทยไว้อย่างน่าสนใจว่า ประเทศไทยก็เช่นเดียวกับนานาประเทศ ที่หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่เป็นกลไกสำคัญในการปฎิวัติอุตสาหกรรม และการพัฒนาประเทศด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ไปสู่ ไทยแลนด์ 4.0 ความก้าวหน้าของหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติจะเป็นตัวขับเคลื่อนและปรับเปลี่ยนหลายธุรกิจอุตสาหกรรม  

อีกทั้งการที่เราก้าวสู่การเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ที่แม้ด้านหนึ่งจะส่งผลให้การค้าในภูมิภาคมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งการแข่งขันทางการค้าก็เพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน ดังนั้นการนำ AI มาใช้ในการกระบวนการผลิตเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันจึงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการให้ความสนใจ

“ปัญหาการขาดแคลนแรงงานก็เป็นปัญหาหนึ่งที่ผู้ประกอบการในบางอุตสาหกรรมประสบอยู่ ซึ่ง AI จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ได้ ปัจจุบันแม้แต่ธุรกิจก่อสร้างก็มีการนำ AI มาใช้ เช่น ใช้ในการยกอุปกรณ์ก่อสร้างหนักๆ ขณะที่โรงงานต่างๆได้นำ AI มาใช้บางแล้ว แต่ที่มากที่สุดเห็นจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่ง โดยผู้ผลิตยานยนต์บางรายมีการใช้ AI แทนแรงงานมนุษย์ถึง 100 %  และเชื่อว่าในอีก 1-2 ปีข้างหน้าอุตสาหกรรมยายนยนต์ อุตสาหกรรมิเล็กทรอนิค และอุตสาหกรรมไฟฟ้าในประเทศไทยจะถูกเปลี่ยนจากการใช้แรงงานคนมาเป็นแขนจักรกลทั้งหมด ” รศ.ดร.คมสัน ระบุ

ด้วยกระแสการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวประเทศไทยจึงมีความจำเป็นต้องศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อรองรับกับความต้องการเพิ่มขึ้น ซึ่งในส่วนของภาครัฐเองก็มีนโยบายที่จะให้การสนับสนุนหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ โดยกำหนดให้เป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่รัฐบาลส่งเสริมการลงทุน พัฒนาบุคคลากร และการผลิตในประเทศไทย ทั้งนี้สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ระบุว่าได้มีมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ โดยมีเป้าหมายให้อุตสาหกรรมไทยมีผลผลิตมวลรวมสูงขึ้น 50 % มีผู้ประกอบการ SI (System Integrater) ซึ่งให้บริการวิเคราะห์ ออกแบบและติดตั้งระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ เกิดขึ้นอย่างน้อย 1,400 ราย และมีการลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้น 200,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี ซึ่งจะสามารถช่วยลดการนำเข้าหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติจากต่างประเทศได้ถึง 30% หรือคิดเป็นมูลค่าถึง8 หมื่นล้านบาท อีกทั้งสามารถส่งออกนวตกรรม AI ไปขายยังต่างประเทศได้ภายในปี 2569  ในส่วนของสถาบันการศึกษาในฐานะที่เป็นผู้ผลิตบุคลากรออกมาช่วยพัฒนาประเทศ ต่างก็ตื่นตัวในเรื่องนี้ เร่งสร้างบุคลากรที่จะเข้ามาออกแบบกลไกและพัฒนาระบบเพื่อให้เหมาะกับการนำไปใช้ในสายงานต่างๆ

สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันที่มีความโดดเด่นด้านนวัตกรรมAI ก็ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเรื่องนี้เช่นกัน โดยคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เปิดเผยว่า นอกจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ พระจอมเกล้าฯลาดกระบัง จะมีการพัฒนาหลักสูตรด้าน AI เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของตลาดแล้ว เรายังได้ร่วมกับ มหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล ประเทศอังกฤษ และคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดหลักสูตรปริญญาตรี สองปริญญาข้ามสถาบัน (Double degree) ด้านวิศวกรรมหุ่นยนต์ และ หลักสูตรด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ (Electrical & Computer Engineering: ECE) ซึ่งจะช่วยให้การเรียนการสอนมีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น และคาดว่าจะเปิดรับนักศึกษารุ่นแรกได้ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2561 นี้

นอกจากนั้นยังได้รับการสนับสนุนจากเอบีบีกรุ๊ป บริษัทด้านวิศวกรรมที่มีเครือข่ายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในการสร้างศูนย์ Robotics Center ซึ่งศูนย์นี้จะมุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรมในการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมอื่น ๆ โดยจะแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการได้ในปลายเดือนสิงหาคม 2561นี้

ทั้งนี้จากการสำรวจพบว่า ปัจจุบันภาคธุรกิจที่มีการนำเทคโนโลยี AI มาใช้มากที่สุด ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ บริการการแพทย์ และบริการทางการเงิน โดยในส่วนของอุตสาหกรรมยานยนต์นั้นกำลังจะเปลี่ยนจากการใช้แรงงานคนไปสู่จักรกลหุ่นยนต์ โดยได้มีการนำนวัตกรรมแขนกลอุตสาหกรรม มาประสานเข้ากับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เชื่อมโยงระบบซอฟแวร์เข้ากับแขนกล ซึ่งทำหน้าที่หยิบเอาชิ้นส่วนต่างๆมาประกอบ โดยยังมีคนเป็นผู้ควบคุมอีกชั้นหนึ่ง ต่างจากอดีตซึ่งภาคอุตสาหกรรมไทยใช้เครื่องจักรร่วมกับแรงงาน แต่แน่นอนว่าในส่วนของแรงงานระดับล่างของอุตสาหกรรมยานยนต์ย่อมได้นับผลกระทบอย่างแน่นอน

ขณะที่บริการการแพทย์ก็มีการนำนวัตกรรมAI มาใช้อย่างกว้างขวางเช่นกัน โดยปัจจุบันทั้งโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนต่างก็นำหุ่นยนต์มาใช้ในการช่วยรักษาผู้ป่วย โดยเฉพาะหุ่นยนต์ผ่าตัด ซึ่งมีความแม่นยำสูง สามารถผ่าตัดในเคสที่มีความซับซ้อน ช่วยลดความเจ็บปวดจากการผ่าตัดเนื่องจากแผลจะมีขนาดเล็กกว่าการผ่าตัดด้วยแพทย์ อาทิ หุ่นยนต์ผ่าตัดสมอง ของโรงพยาบาลรามาธิบดี ,หุ่นยนต์ดาวินชี ซึ่งโรงพยาบาล ศิริราชลงทุ่มเงินหลายร้อยล้านบาทเพื่อนวัตกรรมนี้ หรือ หุ่นยนต์ผู้ช่วยศัลยแพทย์ผ่าตัดกระดูกสันหลัง ของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ นอกจากนั้นยังมีหุ่นยนต์พยาบาล ที่ช่วยเดินส่งเอกสารและสิ่งของ ซึ่งโรงพยาบาลมงกุฏวัฒนอยู่ระหว่างการทดลองใช้อีกด้วย อย่างไรก็ดีแม้จะมีการนำ AI มาใช้ในบริการทางการแพทย์ แต่บุคลากรด้านนี้ก็ยังมีความจำเป็นอยู่ เพราะ AI ไม่สามารถเข้ามาทำหน้าที่ได้ทั้งหมด

ส่วนบริการทางการเงิน นั้นนอกจากจะมีการนำAI มาใช้ในการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆของลูกค้าเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาและออกผลิตภัณฑ์การเงินใหม่ๆที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแล้ว ยังนำมาใช้ให้บริการฝาก ถอน และรับชำระค่าบริการต่างๆ แทนพนักงาน ที่เรารู้จักกันในนามโมบายแบงก์กิ้งนั่นเอง

นอกจากนี้ AI ยังถูกนำไปใช้ในธุรกิจอื่นๆอีกมาก เนื่องจากนวัตกรรมดังกล่าวสามารถทดแทนมนุษย์ในการทำงานหนัก งานที่ต้องการความแม่นยำสูง และงานเสี่ยงอันตราย ช่วยเพิ่มปริมาณการผลิต ช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพ ตอบสนองความต้องการที่แตกต่าง ลดต้นทุน และลดการสูญเสีย อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และสามารถส่งมอบงานหรือสินค้าได้ตรงต่อเวลาอีกด้วย ดังนั้นจึงมีการคาดการณ์ว่าในอนาคตอันใกล้ AI จะเข้ามาทดแทนแรงงานมนุษย์ในหลายธุรกิจของไทย ซึ่งส่งผลให้เกิดการปรับลดพนักงานตามมา ได้แก่

1.อุตสาหกรรมยานยนต์ เนื่องจากมีการนำ AI มาใช้ในทุกขั้นตอนการผลิต ความจำเป็นในการว่าจ้าง พนักงานจึงลดลง โดยฉพาะพนักงานระดับล่างที่อยู่ในสายการผลิตนั้นสุ่มเสี่ยงที่จะตกงานมากที่สุด

2.อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิค จะมีการนำระบบแขนจักรกลมาใช้ในกระบวนการผลิต แทนแรงงานมนุษย์ ทำให้แรงงานค่อยๆหมดความหมายไปไหนที่สุด

3.ธุรกิจการเงิน ซึ่งบุคลากรได้แก่ พนักงานธนาคารและประกันภัย นั้นคาดว่าทุกธนาคารต่างลงทุนใช้ AI เพื่อบริหารบิ๊กดาต้า นำมาวิเคราะห์สร้างกลยุทธ์บริการลูกค้าที่โดนใจ รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ พนักงานมีความจำเป็นน้อยลงจึงมีการยุบสาขา และลดพนักงานลง

4.Call Center และพนักงานขายผ่านทางโทรศัพท์ ซึ่งในระยะเวลาอันใกล้จะถูก AI เข้ามาแทนที่ โดยไม่ต้องใช้พนักงานอีกต่อไป

5.พนักงานบัญชี อาชีพนี้ถูกคาดการณ์ว่าจำนวนพนักงานลดลง 8% ในปี 2024 เนื่องจากการเก็บรายรับ รายจ่าย การลงบัญชี จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ ซึ่งจะเห็นได้ว่าปัจจุบันมีโปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปออกมาขายมากมายทำให้เจ้าของกิจการสามารถลงบัญชีได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องจ้างพนักกงานบัญชี

6.เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล เอไอช่วยให้ระบบที่ใช้คนและงานเอกสารเป็นพื้นฐาน ใช้เวลาและงบประมาณสูง ผ่านระบบคำนวณค่าตอบแทนอัตโนมัติช่วยประหยัดเวลาในการจัดสรรสวัสดิการและค่าตอบแทนให้พนักงานจำ เช่น โปรแกรม Ultipro และ Workday ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย

7.พนักงานต้อนรับ ระบบโทรศัพท์อัตโนมัติและระบบการลงตารางสามารถแทนที่ตำแหน่งพนักงานต้อนรับได้เป็นอย่างดี จึงมีแนวโน้มว่าในอนาคตบริษัทต่างๆอาจหันมาใช้ระบบอัตโนมัติแทนการจ้างพนักงาน

8.พนักงานขายโฆษณา การใช้สื่อโฆษณาปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงจากสื่อเดิมไปเป็นสื่อดิจิทัลมากขึ้น และสื่อใหม่เหล่านี้สามารถสร้างระบบให้ผู้ใช้บริการซื้อโฆษณาได้ด้วยตัวเอง จึงไม่มีพนักงานขายมาเกี่ยวข้องในสื่อดิจิทัล ในอนาคตพนักงานขายโฆษณาจึงมีความจำเป็นลดลง

9.พนักงานพิสูจน์อักษร เนื่องจากปัจจุบันโปรแกรมพิสูจน์อักษรถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย จากฟังก์ชั่นพื้นฐานอย่าง Microsoft word ไปจนถึงโปรแกรมตรวจพิสูจน์อักษรอย่าง Grammarly และ Hemingway App และยังมีเทคโนโลยีอีกมากมายที่ช่วยให้นักเขียนสามารถตรวจพิสูจน์อักษรได้ด้วยตัวเอง แนวโน้มการจ้างงานพนักงานพิสูจน์อักษรจึงลดลง

10.เจ้าหน้าที่คอมพิวเตอร์ หลายๆองค์กรเริ่มใช้ Bots และการตอบแบบอัตโนมัติ ในการช่วยแก้ปัญหาให้พนักงานและลูกค้าในอนาคต ทั้งวิธีการใช้ มีคำแนะนำเป็นขั้นเป็นตอนในการแก้ปัญหาเบื้องต้น จึงไม่แปลกใจที่ในอนาคตความต้องการบุคลากรด้านนี้จึงน้อยลง

11.พนักงานขายสินค้าตามห้าง ปัจจุบันเริ่มมีห้างสรรพสินค้า และซูเปอร์มาร์เก็ตที่ไม่ต้องมีพนักงาน ขณะที่ร้านขายเฟอร์นิเจอร์หลายๆบริษัท ได้เพิ่มความเป็นส่วนตัวและอำนวยความสะดวก ให้ลูกค้าเลือกสินค้าที่ต้องการแล้วสามารถจ่ายเงินได้ด้วยตัวเอง ส่วนผู้บริโภคในปัจจุบันก็สามารถหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจจากอินเทอร์เน็ตด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาพนักงานขายของตามห้างอีกต่อไป

12.คนเดินหนังสือ,พนักงานส่งของ ในอนาคตพนักงานส่งของอาจจะถูกแทนที่ด้วยโดรนหรือหุ่นยนต์ ซึ่งแม้ตอนนี้อาจยังไม่ความเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานยังไม่เรียบร้อย แต่เชื่อว่าปรากฎการณ์ดังกล่าวจะเห็นผลชัดเจน ภายใน 2024

13.นักวิจัยการตลาด แม้นักวิจัยการตลาด ถือเป็นหน้าที่สำคัญในการสร้างข้อความและคอนเทนท์ให้สินค้าบริการต่างๆ แต่ระบบอัตโนมัติ สามารถสร้างข้อมูลเหล่านี้ได้มากกว่าและง่ายกว่า เช่น GrowthBot สามารถรวบรวมงานวิจัยการตลาดในหัวข้อที่คุณสนใจและคู่แข่งในอุตสาหกรรมนั้นๆ ซึ่งแจ้งผ่านทางคำสั่งทาง Slack (โปรแกรมแชทสำเร็จรูปเจ้าหนึ่ง) ได้ทันที ในอนาคตนักวิจัยตลาดจึงเสี่ยงที่จะตกงานเช่นกัน

“ปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้ว่า AI เป็นกลไกสำคัญที่สามารถตอบโจทย์ทั้ง ผู้ประกอบการ ผู้บริบริโภค และการตลาดยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับพฤติกรรมของผู้บริโภค AI จึงถูกนำมาใช้แทนบุคลากรที่เป็นมนุษย์ในหลายๆตำแหน่ง แต่บุคลกรเหล่านี้ก็สามารถปรับเปลี่ยนไปทำหน้าที่อื่นเพื่อช่วยพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ” รศ.ดร.คมสัน ระบุ

ที่มา: MGR Online, 8/8/2561

มาเลย์จัดหนักจับคนไทยไปทำงานผิด ก.ม. สิ้น ส.ค.โทษหนักปรับจำคุก 5 ปี

นายปิยะพันธุ์ อติแพทย์ กงสุลไทย ณ เมืองปีนัง ประเทศมาเลเซีย เตือนคนไทยที่เข้ามาทำงานผิดกฎหมาย หรือไม่มีใบอนุญาตทำงาน ให้รีบรายงานตัวที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ที่ใกล้ที่สุดในประเทศมาเลเซีย ทั้งนี้สถานเอกอัครราชทูตไทยฯ ได้รับข้อมูลยืนยันจาก Director of Enforcement Unit ตม. มาเลเซีย เกี่ยวกับนโยบายการอนุญาตให้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายในมาเลเซียแสดงตัวเพื่อชำระค่าปรับ 400 ริงกิต และเดินทางออกนอกมาเลเซียได้โดยไม่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ได้รับการยืนยันว่า นโยบายดังกล่าว จะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ส.ค. 2561 และจะไม่มีการต่ออายุอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในมาเลเซียเกินกำหนด 30 วันแล้ว ให้รีบไปแสดงตัวต่อหน่วยงาน ตม. มาเลเซีย

หากพ้นกำหนดดังกล่าว จะไม่สามารถเลือกชำระค่าปรับได้อีก และหากถูกทางการมาเลเซียจับกุม จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย มีโทษตามกฎหมาย คือ ถูกปรับไม่ต่ำกว่า 10,000 ริงกิต หรือจำคุกไม่เกิน 5 ปี

ปัจจุบัน ตม. มาเลเซีย เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสถานประกอบการต่าง ๆ โดยมีจำนวนครั้งในการออกตรวจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยระหว่างวันที่ 1 ม.ค. - 30 ก.ค. มีคนไทยซึ่งเป็นลูกจ้างถูกจับกุมแล้ว 1,563 คน และคนไทยที่เป็นนายจ้างถูกจับกุมและดำเนินคดีแล้ว 7 คน

ที่มา: ไทยรัฐ, 7/8/2561

ม.ค.-ก.ค. 2561 ส่งแรงงานไทยไปต่างประเทศกว่า 39,000 คน

กรมการจัดหางาน เผยตัวเลขการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศ ช่วง 7 เดือนปี 2561 มีจำนวน 39,926 คน โดยเดินทางไปไต้หวันมากสุด 12,608 คน ส่วนใหญ่ทำงานประเภทอุตสาหกรรม ก่อสร้าง และ คนงานทั่วไป

“นายอนุรักษ์ ทศรัตน์” อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางานมีภารกิจในการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ โดยส่งเสริมให้แรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศอย่างมีศักดิ์ศรีและมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยมุ่งส่งเสริมการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในประเทศที่มีศักยภาพ มีโอกาสได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือ เพื่อนำกลับมาใช้ในประเทศโดยเฉพาะในสาขาที่มีความจำเป็นต่อการพัฒนาเสริมสร้างศักยภาพของประเทศ เช่น ไต้หวัน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี และอิสราเอล เป็นต้น

ซึ่งการเดินทางไปทำงานต่างประเทศที่ถูกต้องมี 5 วิธี ได้แก่ 1.บริษัทจัดหางานจัดส่ง 2.กรมการจัดหางานจัดส่ง(รัฐจัดส่ง) 3.นายจ้างพาลูกจ้างไปทำงานต่างประเทศ 4.นายจ้างส่งลูกจ้างไปฝึกงานในต่างประเทศ 5.คนหางานเดินทางไปทำงานต่างประเทศด้วยตนเอง โดยในปี 2561 มีเป้าหมายจัดส่ง 40,000 คน ในกว่า 10 ประเทศ

ภาพรวมช่วง 7 เดือนปี 2561 (มกราคม – กรกฎาคม 2561) จัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศแล้ว จำนวน 39,926 คน คิดเป็น 99.81 % โดยจัดส่งไปทำงานไต้หวันมากที่สุด จำนวน 12,608 คน รองลงมาคือ สวีเดน ญี่ปุ่น เกาหลี อิสราเอล ตามลำดับ ทำงานอุตสาหกรรม ก่อสร้าง และคนงานทั่วไป

การไปทำงานในต่างประเทศต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของกฎหมาย และต้องเดินทางไปทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งต้องศึกษาเงื่อนไขในสัญญาจ้างงานอย่างละเอียด โดยสัญญานั้นจะต้องผ่านการรับรองจากสำนักงานแรงงานไทยหรือสถานทูต/สถานกงสุลไทยประจำประเทศนั้นๆ

ทั้งนี้ หากผู้ใดหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางานหรือส่งไปฝึกงานต่างประเทศได้ มีความผิดตามกฎหมาย มีโทษจำคุก 3-10 ปี หรือปรับ 60,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งหากคนหางานมีข้อสงสัยในการไปทำงานต่างประเทศ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, 7/8/2561

กสร.ย้ำนายจ้าง ต้องจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างอย่างน้อยเดือนละครั้ง

นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยถึงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ว่าในกรณีที่มีการคำนวณค่าจ้างให้กับลูกจ้างเป็นรายเดือน รายวัน รายชั่วโมง หรือระยะเวลาอื่นที่ไม่เกินหนึ่งเดือน หรือตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย นายจ้างจะต้องจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้างไม่น้อยกว่าเดือนละ 1 ครั้ง อย่างไรก็ตามถ้านายจ้างและลูกจ้างได้มีการตกลงกันเป็นอย่างอื่นซึ่งเป็นประโยชน์แก่ลูกจ้าง เช่น กำหนดให้มีการจ่ายค่าจ้างทุก 15 วัน หรือสัปดาห์ละครั้ง ก็ให้เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้

อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มว่า สำหรับกรณีที่มีการคำนวณค่าจ้างนอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้น ให้จ่ายตามกำหนดเวลาที่นายจ้างและลูกจ้างได้ตกลงกัน กสร.จึงขอให้นายจ้างปฏิบัติให้ถูกต้อง หากฝ่าฝืนจะมีความผิดโดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ นายจ้างหรือลูกจ้างที่มีข้อสงสัยสอบถามได้ที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 ถึง 10 สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด หรือโทรศัพท์สายด่วน 1506 กด 3

ที่มา: กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน, 6/8/2561

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net