ธปท. จะเห็นแก่ชาติหรือธนาคารพาณิชย์

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

เมื่อปี 2542 ธนาคารแห่งประเทศไทย อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประเมินเองได้ ถ้าทรัพย์ราคาไม่เกิน 50 ล้านบาท นัยว่าธนาคารแบกรับค่าจ้างประเมินไม่ไหวในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจนั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงการใช้ผู้ประเมิน in house มีต้นทุนแพงกว่าต่างหาก เหตุผลที่อ้างเป็นไปไม่ได้เลย เพราะการ Outsourcing ให้บริษัทประเมินภายนอกทำ อย่างไรก็ถูกกว่า ไม่ต้องรับผิดชอบพนักงานอะไรมาก แต่น่าแปลก ธนาคารแห่งประเทศไทย กลับยอมทำตามที่ธนาคารเสนอโดยดุษฎีได้อย่างไร

ล่าสุดในปี 2559 ปรากฏว่ามีหลักเกณฑ์การประเมินราคาหลักประกันของสถาบันการเงินตามนโยบายธนาคารแห่งประเทศไทย โดยกำหนดชัดเจนว่า

          1.   ทรัพย์สินไม่เกิน 10 ล้าน สามารถใช้ผู้ประเมินนอกหรือผู้ประเมินภายในสถาบันการเงินได้เลย

          2.   กรณีที่จะเลือกใช้ผู้ประเมินนอกหรือผู้ประเมินภายในสถาบันการเงิน ให้สถาบันการเงินพิจารณาจากผลจากการจัดระดับความเสี่ยงรวม และผลจากการจัดการจัดระดับความเสี่ยด้านเครดิตของสถาบันการเงิน จากรายงานการตรวจสอบล่าสุดที่ได้รับจากธนาคารแห่งประเทศไทย

          2.1 กรณีสถาบันการเงินมีผลจัดระดับความเสี่ยงรวมอยู่ในระดับ 1 หรือ 2 และมีผลการจัดระดับความเสี่ยงอยู่ในระดับต่ำ ค่อนข้างต่ำ ปานกลาง และได้รับความเห็นชอบระบบงานประเมินราคาจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้สถาบันการเงิน สามารถกำหนดแนวทางการเลือกใช้ผู้ประเมินนอกหรือผู้ประเมินราคาภายในธนาคารฯ ได้เองโดยทำหนังสือขอความเห็นชอบมายังธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ทางธนาคารแห่งประเทศไทยจะเป็นผู้พิจารณาอนุมัติอีกครั้ง

          2.2 กรณีสถาบันการเงินไม่เข้าข่ายตามข้อ 2.1 แต่มีผลการจัดระดับความเสี่ยงด้านเครดิตในระดับต่ำ ค่อนข้างต่ำ ปานกลาง สถาบันการเงิน สามารถทำการประเมินราคาโดยเลือกใช้ผู้ประเมินนอกหรือผู้ประเมินราคาภายในธนาคารฯ เองก็ได้ เว้นแต่กรณีดังต่อไปนี้ สถาบันการเงินต้องใช้ผู้ประเมินราคาภายนอก

          2.2.1 สำหรับสถาบันที่มีกองทุนน้อยกว่า 8,000 ล้านบาท ให้ใช้ผู้ประเมินราคาภายนอกสำหรับการประเมินมูลค่าหลักประกันของลูกหนี้ที่มีราคาตามบัญชีสูงกว่า 50 ล้านบาท

          2.2.2 สำหรับสถาบันที่มีกองทุนตั้งแต่ 8,000 ล้านบาทขึ้นไป ให้ใช้ผู้ประเมินราคาภายนอกสำหรับการประเมินมูลค่าหลักประกันของลูกหนี้ที่มีราคาตามบัญชีสูงกว่า 100 ล้านบาท

สรุปถ้าทรัพย์สินที่ประเมินไม่เกิน 10 ล้านบาท สถาบันการเงินใช้ผู้ประเมินราคาภายในหรือจะใช้ผู้ประเมินภายนอกได้แต่ถ้าเกินจากนี้ต้องดูเงื่อนไขจากข้อที่ 2.1 และ 2.2

การกระทำอย่างนี้ธนาคารก็กินรวบ สิ่งที่เกิดขึ้น ก็เท่ากับธนาคารประเมินกันเองได้ แล้วอย่างนี้ ความเป็นกลางไปอยู่ที่ไหน  ธนาคารต่างๆ จึงพยายาม "ดูด" ผู้ประเมินค่าทรัพย์สินจากบริษัทประเมินค่าทรัพย์สินต่าง ๆ เพื่อเตรียมตัวจะประเมินค่าทรัพย์สินเอง  ประมาณว่าแต่ละธนาคารใหญ่ๆ มีผู้ประเมินค่าทรัพย์สินเอง ดังนี้

          1. ธนาคารกรุงเทพ 80 คน

          2. ธนาคารกรุงไทย 100 คน

          3. ธนาคารทหารไทย 120 คน

          4. ธนาคารไทยพาณิชย์ 200 คน (เมื่อก่อนใช้ ‘nominee’ คือ บจก.สยามพิธิพัฒน์ เดี๋ยวนี้ประเมินเองแล้ว)

          5. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 170 คน

          6. ธนาคารยูโอยี 50 คน

          7. ธนาคารกสิกรไทย 400 คน(เมื่อก่อนใช้ ‘nominee’ คือ บจก.โปรเกรส’ เดี๋ยวนี้ประเมินเองแล้ว)

          8. ธนาคารธนชาต 20 คน (ใช้หัวแปลนเอสเตท)

ถ้าต่อไปแทบทุกธนาคารทำเอง แล้วบริษัทประเมินจะอยู่รอดได้อย่างไร ความเป็นธรรมจะมีไหมในการอำนวยสินเชื่อ. ข้อครหาว่า เมื่อใดธนาคารจะปล่อยกู้ ก็จะประเมินต่ำๆ เมื่อจะขายทรัพย์สิน ก็จะประเมินราคาไว้สูงลิ่ว และอาจจะเข้าอีหรอบเดิม คือถ้าปล่อยกู้ให้ญาติมิตร ก็อาจประเมินราคาไว้สูงหรือต่ำเกินไป ซึ่งเคยทำให้ธนาคารเจ๊งมาแล้ว เป็นต้น

สมัยเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ธนาคารโลกได้มาศึกษาแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยและเสนอให้ไทยใช้บริการการประเมินค่าทรัพย์สินของภาคเอกชนที่เป็นอิสระ ไม่ใช่ให้ธนาคารประเมินกันเอง ในอดีตที่ผ่านมาธนาคารบางแห่งอำนวยสินเชื่อไปโดยที่ฝ่ายประเมินของธนาคารเองยังอยู่ระหว่างเดินทางเพื่อไปประเมินทรัพย์สินแปลงนั้นอยู่เลย นี่คือสาเหตุที่ไทยเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ แต่ 20 ปีให้หลัง เรากลับกำลังจะก้าวไปสู่วิกฤติโดยสถาบันการเงินทั้งหลายจะประเมินค่าทรัพย์สินเอง อย่างนี้แบงก์ไทยจะเจ๊งอีกรอบหรือไม่ เป็นนิมิตหมายว่าต่อไปธนาคารต่าง ๆ จะประสบปัญหาเพราะความไม่โปร่งใสอีกหรือไม่

นี่เท่ากับเป็นการทำลายวิชาชีพประเมินค่าทรัพย์สินให้ไม่ให้เป็นอิสระ และกลายเป็นเพียงเครื่องมือของสถาบันการเงิน ถ้ารัฐบาจะควบควบบริษัทประเมินให้เป็นอิสระ สามารถทำได้โดยเริ่มต้นที่การประกันทางวิชาชีพ เช่น ในปัจจุบันบริษัทประเมินบางแห่งเริ่มประกันเป็นเงิน 100,000 บาทสำหรับการคุ้มครองถึง 30 ล้านบาท นอกจากนั้นผู้ประเมินค่าทรัพย์สินที่เป็นบุคคลเองก็ต้องทำการประกันทางวิชาชีพ การนี้จะทำให้บริษัทต่าง ๆ มีความระมัดระวังมากขึ้น ในขณะเดียวกันผู้ใช้บริการทั้งประชาชนทั่วไปและสถาบันการเงินทั้งหลายก็จะมีความมั่นใจ วิชาชีพที่เป็นอิสระก็จะได้รับการพัฒนา

นี่ยังอาจสะท้อนว่า ธปท. และธนาคารพาณิชย์ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม ขาดธรรมาภิบาลหรือไม่ ธปท. ต้องลองทบทวนดูให้จงหนัก

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท