Skip to main content
sharethis

เอ็นจีโอสิทธิฯ แรงงานข้ามชาติ ชี้ปัญหาความจริงที่ยังไม่ได้ถูกค้นหาโดยกระบวนการยุติธรรม หลังศาลจังหวัดปัตตานี ยกคำร้องกรณีแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมาขอให้มีการไต่สวนการจับกุมและควบคุมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เหตุถูกส่งออกไปนอกราชอาณาจักรตามระเบียบต่อไปแล้ว

24 ส.ค.2561 จากเมื่อวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองสนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน) ตำรวจท่องเที่ยว และเจ้าหน้าที่สำนักงานจัดหางานเข้าจับกุมคนงานหญิงชาวเมียนมา 2 คน ซึ่งใช้เวลายามว่างจากการทำงานประจำมาเป็นอาสาสมัครสอนหนังสือให้กับลูกหลานคนงานข้ามชาติกว่า 80 คน ที่สำนักสงฆ์แหลมนก ต.บานา อ.เมือง จ.ปัตตานี ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความถูกต้องและชอบธรรมของการกระทำดังกล่าวต่อเจ้าหน้าที่ที่ทำการจับกุมนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา เครือข่ายประชากรข้ามชาติและมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.) ออกแถลงการณ์ระบุว่า วันดังกล่าว (23 ส.ค. 61) เวลา 09.00 น. ศาลจังหวัดปัตตานี ได้นัดไต่สวนคำร้องกรณีที่มีการจับกุมและควบคุมตัวแรงงานข้ามชาติหญิงชาวเมียนมา 2 คน โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลได้ออกหมายเรียกสารวัตรตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดปัตตานี ผู้เกี่ยวข้องกับการคุมขังแรงงานมาให้การในชั้นไต่สวน ซึ่งผู้คุมได้แถลงต่อศาลได้นำตัวผู้ถูกคุมขังทั้งสองไปยังตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดระนองแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 20 ส.ค.2561 เวลาประมาณ 18.00 น. เพื่อดำเนินการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรตามระเบียบต่อไปแล้ว ดังนั้น ขณะนี้ผู้ถูกคุมขังทั้งสองไม่ได้ถูกคุมขังอยู่ที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดปัตตานีแต่อย่างใด ดังนั้น ศาลจึงมีความเห็นว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไต่สวนคำร้องต่อไป จึงมีคำสั่งยกคำร้อง

เกี่ยวกับคดีนี้ แถลงการณ์ทั้ง 2 องค์กร ระบุว่า เจ้าหน้าที่กล่าวหาว่า แรงงานข้ามชาติทั้งสอง ทำงานนอกเหนือจากที่กฎหมายอนุญาต และดำเนินการเปรียบเทียบปรับขณะที่แรงงานทั้งสองถูกสั่งให้ลงนามในเอกสารภาษาไทยที่ตนไม่สามารถอ่านได้ และจะมีการดำเนินการผลักดันทั้ง 2 คน กลับไปยังประเทศต้นทางตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และยังได้ออกคำสั่งห้ามเข้ามาทำงานในประเทศไทยอีกเป็นเวลา 2 ปี นอกจากนี้ ยังมีชาวเมียนมาที่ถือวีซ่านักท่องเที่ยวและขอเข้าเยี่ยมชมการเรียนการสอนที่วัดถูกจับปรับในข้อหาเดียวกัน

แถลงการณ์ทั้ง 2 องค์กร ระบุอีกว่า จุดเริ่มต้นของการใช้กลไกทางกระบวนการยุติธรรม เพื่อการคุ้มครองสิทธิ ในครั้งนี้ สืบเนื่องจาก การดำเนินการของพนักงานเจ้าหน้าที่นั้นขาดการตรวจสอบข้อเท็จจริงถึงการทำงานของหญิงชาวเมียนมาทั้ง 2 คน  รวมถึงการละเลยข้อเท็จจริงที่ว่า การสอนหนังสือให้เด็กๆ ในชุมชน มิได้เป็นการดำเนินการอย่างเป็นทางการ การเข้ามาให้ความรู้ด้านการศึกษาและวัฒนธรรมแก่เด็กๆ ในชุมชน เป็นการทำโดยจิตอาสา มิได้รับค่าตอบแทนหรือค่าจ้างแต่อย่างใด ดังนั้น การยื่นคำร้องตามมาตรา 90 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จึงเป็นกระบวนการขอให้ศาลไต่สวนเพื่อแสวงหาความจริงว่าการควบคุมตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งนั้น เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แต่การแสวงหาข้อเท็จจริงประเด็นนี้กลับยุติลงด้วย “การส่งตัวหญิงชาวเมียนมาทั้ง 2 คนออกไปนอกราชอาณาจักรแล้ว” ซึ่งการ “ปล่อยตัว” ในลักษณะนี้ ย่อมไม่ใช่การคืนเสรีภาพให้แก่ผู้ร้องตามเจตนารมณ์ของมาตรา 90

สำหรับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 90 ระบุว่า เมื่อมีการอ้างว่าบุคคลใดถูกคุมขังในคดีอาญาหรือในกรณีอื่นใดโดยมิชอบด้วยกฎหมาย บุคคลเหล่านี้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลท้องที่ที่มีอำนาจพิจารณาคดีอาญาขอให้ปล่อย คือ ผู้คุมขังเอง พนักงานอัยการ พนักงานสอบสวนผู้บัญชาการเรือนจำหรือพัศดี สามี ภริยา หรือญาติของผู้นั้นหรือบุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์ของผู้ถูกคุมขัง และเมื่อได้รับคำร้องแล้วให้ศาลไต่สวนฝ่ายเดียวโดยด่วน ถ้าศาลเห็นว่า คำร้องนั้นมีมูลศาลมีอำนาจสั่งผู้คุมขังให้นำตัวผู้ถูกคุมขังมาศาลโดยพลันและถ้าผู้คุมขังแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลไม่ได้ว่าการคุมขังเป็นการชอบด้วยกฎหมาย ให้ศาลสั่งปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังไปทันที

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net